==== มางงกันดีกว่า..... อธิบาย UEFA Nations League 2018-2019 ====

กระทู้สนทนา
จาก idea ของพลาตินี่ & Co สรุปว่า 54 ทีมชาติยุโรปจะมาเตะ UEFA Nations League กันแบบนี้ครับ

0. การเตะระบบลีกทั้งหมดจะเกิดขึ้นครั้งแรกในเดือน กันยา-พฤศจิ 2018 หลังบอลโลกที่รัสเซีย โดยจะเตะกันทุกๆ 2 ปี

1. แบ่งเป็น 4 ดิวิชั่น (Division A B C D) โดยดิวิชั่น A สูงสุด D ต่ำสุด แต่ละดิวิชั่นแบ่งเป็น 4 กรุ๊ป (Group 1 2 3 4) เสมอภาค

2. แต่ละกรุ๊ปในดิวิชั่น A และ B จะมีแค่กรุ๊ปละ 3 ทีม (ดังรูป)

3. ส่วนกรุ๊ป 3 และ 4 ในดิวิชั่น C จะซวยหน่อย มี 4 ทีม เตะเยอะกว่าเพื่อน

4. ทุกกรุ๊ปในดิวิชั่น D จะมี 4 ทีม

5. ชาติใหญ่ๆ (Top 12) อยู่ดิวิชั่น A หมด รวมถึงชาติใหญ่ๆรองลงมาจะอยุ่ดิวิชั่น B

6. แปลว่าดิวิชั่นของชาติใหญ่ๆที่แต่ละกรุ๊ปมี 3 ทีมจะเตะทั้งหมด 4 นัด (เหย้า-เยือน) ส่วนดิวิชั่น D และ กรุ๊ป 3, 4 ของดิวิชั่น C ที่มีกรุ๊ปละ 4 ทีมจะเตะทั้งหมด 6 นัด

7. แมตช์ที่จะเตะกัน 4-6 นัดนี้ จะเตะในช่วงระหว่างเดือน กันยา-พฤศจิ 2018 (3 เดือน เข้าใจว่าเดือนละ 2 นัด รวมเป็น 6)

8. แชมป์ทั้ง 4 กรุ๊ปของดิวิชั่น A จะไปเตะชิงแชมป์ Nations League กันในเดือน มิถุนายน 2019 (ยังไม่แน่ใจว่าเจอกันหมดแบบลีก หรือเตะน็อคเอาท์)

9. ทีมบ๊วยของแต่ละกรุ๊ปจะตกลงไปเล่นในดิวิชั่นต่ำกว่า เช่น A ตกไป B, B ตกไป C

แปลว่า สมมติว่า กรุ๊ป 2 ดิวิชั่น A มีทีมอย่าง สเปน อิตาลี สวีเดน ถ้าอิตาลีเกิดกินบ๊วยกลุ่ม งวดถัดไป (2020) อิตาลีจะต้องไปเล่นในดิวิชั่น B แทน





----- พักเรื่อง Nations League ไว้ก่อน -----


10. บอลยูโร 2020 (ยูโรครั้งพิเศษ - เจ้าภาพหลายประเทศ) ยังคงมีการเตะคัดเลือกตามเดิม คือจะเริ่มเตะในเดือน มีนา-พฤจิ 2019 (แปลว่าหลังรู้ผล 4 ทีมสุดท้ายใน Nations League)

11. รอบคัดเลือกยูโร 2020 จะแบ่งเป็นกลุ่มละ 5 ทีม 6 กลุ่ม, กลุ่มละ 6 ทีม 4 กลุ่ม (รวมเป็น 10 กลุ่ม 54 ทีม)

12. แปลว่ารอบคัดเลือกยูโร 2020 จะเตะกัน 8-10 นัด

13. 10 นัดนี้จะเตะกันในเดือนมีนา, มิถุนา, กันยา, ตุลา, พฤศจิ 2019 ทั้งหมด 5 เดือน แปลว่าเตะกันเดือนละ 2 นัด

14. ยูโร 2020 รอบสุดท้ายจะมีทั้งหมด 24 ทีม

15. แชมป์และรองแชมป์ของแต่ละกลุ่ม ทั้งหมด 10 กลุ่มในรอบคัดเลือกยูโร 2020 จะเข้ารอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติ

16. แปลว่าเหลือโควต้าอีก 24 - (2x10) = 4 ทีม

17. โควต้าที่เหลืออีก 4 ทีมนี้ จะมาจากการเตะ play-off ซึ่งมีทีมที่เข้าร่วมทั้งหมด 16 ทีม

18. Play-off นี้จะไม่ใช่การเตะตัดเชือกเป็นรอบๆกันตามปกติ แต่ทั้ง 16 ทีมจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม

19. 4 ทีมในแต่ละกลุ่มจะไม่ได้เตะเจอกันหมดแบบลีก แต่จะจับคู่ เตะน็อคเอาท์กันที่สนามเป็นกลาง แปลว่าแต่ละกลุ่มมีรอบรอง 2 คู่ที่สนามกลาง และรอบชิง 1 คู่ ที่สนามกลาง

20. แชมป์แต่ละกลุ่มทั้ง 4 กลุ่มจะได้โควต้าเข้ารอบสุดท้าย UEFA Euro 2020

21. ถ้ายังจำกันได้ Nations League มีทั้งหมด 4 ดิวิชั่น ดิวิชั่นละ 4 กรุ๊ป รวมเป็นทั้งหมด 4 x 4 = 16 มินิลีก

22. แชมป์ของแต่ละมินิลีกใน Nations League นี้ จะได้สิทธิ์มาเตะเพลย์ออฟ เพื่อเข้าไปเตะ Euro 2020 ดังข้อ 17-18 ที่ได้กล่าวไป

23. แต่ถ้าทีมที่ได้แชมป์มินิลีกใน Nations League นี้ ผ่านเข้ารอบ Euro 2020 ไปด้วยวิธีการปกติแล้วล่ะ? สิทธิจะตกไปอยู่กับทีมที่มีลำดับดีที่สุดรองลงไปแทน

24. ถ้าทั้ง 3 ทีมในกรุ๊ปมินิลีก ต่างล้วนผ่านเข้ารอบไปด้วยวิธีการปกติแล้วล่ะ? สิทธิจะไปตกอยู่กับทีมที่มี Ranking ของฟีฟ่าสูงที่สุดในดิวิชั่นรองลงมา

เช่นถ้ากรุ๊ป 1 ของดิวิชั่น A มี เยอรมัน อังกฤษ เดนมาร์ก ล้วนผ่านเข้ารอบไปด้วยวิธีการรอบคัดเลือกปกติแล้ว สิทธิจะไปตกอยู่กับทีมที่มี Ranking สูงสุดในจำนวน 12 ทีมของดิวิชั่น B ที่ยังไม่ผ่านเข้ารอบไปด้วยวิธีปกติ สมมติว่าในดิวิชั่น B รัสเซีย ranking ฟีฟ่าดีสุด และยังไม่ผ่านเข้ารอบคัดเลือกไป รัสเซียจะได้สิทธิไปเตะเพลย์ออฟโดยอัตโนมัติ

25. แปลว่า Play-off จะเตะกันทั้งหมดสองนัด (รอบรอง กับ รอบชิง) จะเตะกันในเดือน มีนา 2020





+++ โดยสรุป +++


- Nations League มีความสัมพันธ์กับ Euro คือเป็นทัวร์นาเมนต์ที่เอาไว้คัดทีมเพลย์ออฟ โควต้า 4 ที่สุดท้ายใน 24 ทีมบอลยูโร

- ถ้วยแชมป์ Nations League ที่เอา 4 ทีมไปเตะกันในปีเลขคี่ระหว่างบอลโลกกับบอลยูโร ดูจะเป็นถ้วยที่ไม่ค่อยมีความหมาย ได้ไปก็เท่านั้น เพราะไม่บอกสถานะอะไร (คหสต.จขกท. แชมป์ยูโร = แชมป์ยุโรป, แชมป์บอลโลก = แชมป์โลก, แชมป์ Nations League = ???)

- รอบคัดเลือกบอลยูโร ยังมีเหมือนเดิม แต่จะร่นช่วงเตะลง จากที่จะเตะช่วงปี 2018-19 เพื่อไปแข่งยูโร 2020 จะร่นการเตะเหลือแค่ช่วงปี 2019 โดยเอาปี 2018 ไปเตะ UEFA Nations League แทน

- จากการเตะ Play-off ในเดือนมีนา 2020 น่าจะแปลว่า การจับสลากสายรอบสุดท้ายจะเกิดขึ้นก่อนการแข่งจริงในเดือนมิถุนา 2020 แค่ 2 เดือน (ปกติจะจับกันปลายปี 2019) >> การขายตั๋วน่าจะวุ่นวายพอสมควร (จขกท.)

- ข้อดีของ Nations League ที่ยูฟ่าเคลมมา คือ การเอานัด friendly ที่เคยเตะๆกันแบบไร้ความหมาย มาทำเป็นทัวร์นาเมนต์ที่มีความหมายซะ

- ทีมในดิวิชั่นสูงๆ อย่าง A และ B เนื่องจากมีแค่ 3 ทีมในแต่ละกรุ๊ป จะทำให้มีวันเหลือ (ดิวิชั่นล่างๆเตะกันเยอะกว่า) วันว่างเหล่านี้ ทีมใหญ่ๆสามารถไปอุ่นเครื่องกับทีมอื่นๆได้เหมือนเดิม (อย่างอุ่นกับทีมนอกทวีป)

- ทีมเล็กๆที่ในรอบคัดเลือกปกติจะโดนกระจายให้ไปอยู่ในประมาณ 10 กลุ่ม ซึ่งก็จะโดนทีมใหญ่ๆถล่มเอาๆ ใน Nations League จะถูกจัดมาให้กระจุกอยู่ด้วยกันในแค่ 4 กลุ่ม แปลว่าทีมเล็กๆจะได้เจอกันเอง และมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้น

- ทีมเล็กๆถ้าคว้าแชมป์กรุ๊ปในดิวิชั่น D ได้ จะได้สิทธิ์เตะเพลย์ออฟยูโรอัตโนมัติ แปลว่าทีมอย่างจอร์เจีย สมมติได้แชมป์กรุ๊ป 1 ในดิวิชั่น D จะได้สิทธิเตะเพลย์ออฟ ซึ่งขอแค่ชนะเกมน็อคเอาท์แค่สองนัด ก็จะได้ไปเตะยูโรทันที (เข้าใจว่ารอบเพลย์ออฟก็น่าจะมีการจัดแบบให้โควต้าดิวิชั่นละทีมในแต่ละกลุ่ม)

- แฟนบอลได้ดูเกมที่มีความหมายมากขึ้น ดีกว่าซื้อตั๋วเข้าดูนัดอุ่นเครื่อง

- ระบบนี้จะไม่กระทบต่อตารางการแข่งของฟุตบอลลีก

- การเอา UEFA Nations League 2020-2021 ไปเป็นส่วนหนึ่งของการเตะคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 ยังไม่แน่ชัด

แปลและเรียบเรียงจาก http://www.uefa.com/community/news/newsid=2079553.html
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่