สรุปผลการปฎิบัติธรรม นั่งสมาธิเดินจงกลมของผม นั่งแล้วไม่เห็นอะไรเลย การนั่งสมาธิมันน่าจะขัดกับหลักธรรมชาติของมนุษย์

หลายท่านบอกว่าให้ลองไปนั่ง ไปปฎิบัติธรรม ตอนนี้ปิดเทอมพอมีเวลาว่าง ใช้เวลาไปประมาณสัปดาห์กว่าๆ ตกวันละสอง ชม บางวันก็ไม่ถึง
ได้ทดลองนั่งสมาธิและเดินจงกรมแล้วขอรายงานผลดังนี้

1.นั่งสมาธิแล้ว นั่งได้ไม่นาน ใช้ตั้งนาฬิกาเรียกเมื่อครบ ครึ่ง ชม ไม่เห็นดวงแก้ว ไม่เห็นอดีตชาติใดๆทั้งสิ้น มีแต่ความดำมืดว่างเปล่า
ก็เป็นดังที่ผมคาดไว้ คนปกติจะไปเห็นดวงแก้ว เห็นนู่นนี่ได้อย่างไร

2.ลองเดินจงกรมกำหนด ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ สนุกดีแต่เอนมันจะล้ม ดีกว่านั่งสมาธิ ชอบๆ ทำแล้วรู้สึกจิตใจสงบดี

3. การนั่งสมาธิในความเห็นผมมันขัดกับหลักธรรมชาติ จิตใจของมนุษย์คิดนู่นนั่นนี่ตลอดเวลา ดีแล้ว เพราะเป็นมนุษย์ต้องคิด เพราะการคิดของมนุษย์นั่นแหละ ทำให้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีเจริญก้าวไกล สร้างสิ่งต่างๆมากมาย เช่น รถยนต์ เราไม่ต้องเดินไปนู่นนี่เพราะมนุษย์คิดและสร้างรถขึ้นมา ดังนั้นจะไปหยุดคิดทำไม ให้ลำบาก

4.ลองปฎิบัติแล้วก็โอเคนะ แต่คิดว่าเอาเวลาไปอ่านหนังสือศึกษาศิลปะวิทยาดีกว่ามานั่งหยุดคิด เป็นมนุษย์ต้องคิดมากๆ อ่านมากๆ
สนใจพุทธคิดว่าไปหาหนังสือพวกพุทธปรัชญาเถรวาทจะได้ประโยชน์กว่า

5.เรื่องการสวดมนต์ เอาหนังสือทำวัตรมา อ่านที่เป็นภาษาไทยได้ความรู้ดี คิดว่าควรสวดกันเป็นภาษาไทยมากกว่าเพราะสวดเป็น บาลีเพราะไม่รู้เรื่อง เหมือนนกแก้วพูด ไม่ก่อใให้เกิดประโยชน์ใดๆ ผมเลยลองสวดเป็นภาษาไทย ก็โอเคนะ รู้เรื่องด้วย และเหมือนอ่านออกเสียงคนอื่นได้ยิน ซาบซึ้ง บุญก็ตกแก่เราอีก

จบแล้วครับ หลายคนในห้องนี้บอกว่าให้ลองไปปฎิบัติเอง จะรู้ดี ซึ่งตอนนี้ผมได้ลองไปปฎิบัติแล้วจึงมารายงานผลให้ฟังครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
แน่นอนอยู่แล้วครับ...การนั่งสมาธิมันขัดกับหลักธรรมชาติ....เพราะโดยทั่วไปธรรมชาติของจิตที่มีกิเลสครอบงำมันจะพาคิดปรุงฟุ้งอยู่ตลอดเวลาตามที่กิเลสในใจจะผลักดันพาให้คิด ให้พูด ให้ทำตลอดเวลา....คิดถึงคนโน้น คิดถึงคนนี้ คิดอยากได้โน้น คิดอยากได้นี้  สารพัดจะคิดอยาก  เพราะขึ้นชื่อว่ากิเลสตัณหาย่อมไม่มีวันอิ่มพอ  มีแต่จะทะยานอยากแสวงหาไม่จบสิ้น



การนั่งสมาธิ  ก็คือการบังคับจิตใจตนเองที่โลดโผนโจนทะยานไปตามแรงปราถนาของกิเลสที่ครอบงำในจิตใจ ให้หยุด  ให้นิ่ง  ไม่ให้คิดปรุงฟุ้งซ่าน  กล่าวโดยย่อคือการปลดเปลื้องตนเองจากการเป็นทาสของกิเลสในชั่วขณะหนึ่ง.....เมื่อจิตนิ่งรวมลงสู่ฐานของสมาธิเมื่อไหร่  จิตจะเป็นอิสระ ไม่อยู่ในความครอบงำของกิเลสทั้งปวง  ถึงเวลานั้นเราจะอัศจรรย์ในความจริงของความมีชาติภพ  การเวียนว่ายตายวน  ความเป็นจริงของสรรพชีวิตที่อยู่ในวัฎสงสารเพราะกิเลสอวิชาครอบงำอยู่ภายในจิตใจ  



แต่ทว่า มีมนุษย์น้อยรายนักแลที่จะปลดเปลื้องตนเองให้เป็นอิสระจากกิเลสได้  แม้แต่ในชั่วขณะหนึ่งก็ตาม  เพราะอำนาจกิเลสที่มันครอบงำจิตใจสัตว์โลกมาช้านานเป็นอนันตกาลนั้นมีอำนาจมาก  จนไม่อาจจะฝืนต้านแรงกิเลสเหล่านั้นได้  ครั้นจะตะเกียกตะกายประกาศตัวไปไทไม่ขออยู่ภายใต้การบัญชาของกิเลสอีกต่อไป  ก็พากันอ่อนแอเกียจคร้านท้อถอยหยิบโหย่งกันเสียหมด  ด้วยอำนาจของกิเลสที่พาให้เป็นไป  ขอนอนตายจมกับกองกิเลสเช่นนี้ต่อไปตราบเท่าอนันตกาล  



ความเพียรพยายามเพียงเท่าเส้นผม ไฉนเลยจะถอดถอนกิเลสกองเท่าภูเขาได้.....พูดมาให้อายกิเลสมันเปล่าๆ.....ผู้ที่หาญกล้าประกาศตัวเป้นไทต่อกิเลสนั้น ท่านเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เอาชีวิตเป็นเดิมพันทั้งสิ้น.....ไม่ได้ภาวนาหยิบโหย่งเหมือน จขกท. หรอกครับ.....



ธรรมอันเป็นเครื่องมือสังหารกิเลสนั้นมีอยู่จริง  แต่ก็มีอยู่จริงเฉพาะกับ "คนจริง" ที่หาญกล้าท้าตายเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อฝ่าฟันเอาชนะกิเลสเท่านั้น.....แล้วท่านละ...เป็น "คนจริง" เหมือนท่านเหล่านั้นหรือเปล่า....หรือเป็นเพียงคนหยิบโหย่งสิ้นท่าไม่เอาไหน แล้วมาประกาศความสิ้นท่าไม่เอาไหนของตนให้เป็นที่อับอายต่อผู้อื่นเท่านั้น



ลองพิจารณาดูนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่