ทริปนี้เริ่มจากมีใครคนหนึ่งแชร์หน้าเฟชบุคว่า ไปบาหลีกันไหม ด้วยความเป็นคนใจง่าย พิมตอบไปภายใน30วิ ว่า "ไป"ตารงตารางเวลาไม่ได้ดูเลยอะไรยังไง คร่าวๆที่รู้คือบาหลี ภูเขาไฟ และบุโรพุธโธ เริ่มที่บาหลี จองคนขับรถไว้ตั้งแต่แรก เลยเป็นทริปแบบชิลๆสบายๆ
วันที่1
เริ่มที่ Tanah lot วัดที่เป็นผาหินยืนลงในทะเล ช่วงเย็นไป Temple of lake ฝนตกครึ่ม หมอกลงตลอด เห็นวิวแบบหมอกๆไม่เห็นภูเขาด้านหลัง ชาวคณะตากล้องเราเลยไม่ค่อยจะได้ภาพแดดๆแสงจัดๆเท่าไร คืนแรกนอนที่ Ubud ย่านเมืองtourism town จะได้หาข้อมูลไปเมืองต่อไปหลังจากบาหลี ค่าที่พักคนละ200บาท เชคอินก็ออกมาเดินสำรวจเมืองและมื้อดินเนอร์มื้อแรกที่บาหลีของเรา และเป็น มื้อที่หรูหราที่สุดของทริป สนราคาคนละ 70000 รูเปีย คิดเป็นเงินไทยราวๆ200บาท ได้อาหารจานโตคนละหนึ่งจานและน้ำผลไม้ปั่น น้ำเปล่า และwelcome drink ประจำชาติ เบียร์!! Bintang
วันที่2
เริ่มเช้าด้วยความสดใส ลัลลาเดินตลาด จน อดดูบาลองแดนซ์ ที่ถกเถียงกันคอเป็นเอ็นว่าจะดูไม่ดู สุดท้ายเวลาก็ช่วยตัดสินให้ว่า ไม่ทันก็ขำๆกันไป นาขั้นบันได!! ก็เหมือนๆทุกที่ที่เห็นๆ แต่ชอตเด็ดอยู่ที่ ตอนเดินข้ามไปอีกฝั่ง สะพานข้าม มองลงไปเห็นเป็นหน้าผามีน้ำตกเล็กๆไหล ใต้เท้าเราเป็นเหวลึกๆ เรายืนอยู่บนสะพานไม้ไผ่ ที่ดูท่าไม่ได้แข็งแรงอะไร ก็หวิวๆดีนะ ต่อด้วยวัดน้ำพุศักสิทธิ เป็นคนไม่ค่อยจะอินกับอะไรพวกนี้ แต่ก็แอบ สตันกับฝรั่งคนหนึ่ง ถือดอกไม้และธูปหอมมาทำพิธีเยี่ยงคนถิ่น อุ้มลูกสาวไม่เกินขวบลงไป ทำพิธี เป็นเรื่องของจิตใจและศรัทธา วัดสุดท้าย Mother temple พอบ่ายฝนตก ก็ได้ บรรยากาศ วัดในสายฝน คนขับรถบอกว่าผมต้องลงไปด้วยเพราะว่ามีมาเฟียวัด ก็เดินถ่ายรูปกันไปเรื่อย จนถึงด้านบนสุดของวัด มีเพื่อนในกลุ่มเดินเข้าไปก่อน นั่งเตรียมทำพิธีอยู่เราก็เอาๆด้วยมานี้ยังไม่ได้ถึงศรัธาเลย ก็ทำตามเขาบอกไป นู้นนี้ ตอนนั้นอินมาก แสงสว่างแห่งจิตวิญญาณ ทำพิธีเสรจพรามณ์บอกใส่เงินลงพานดอกไม้ เอาเราก็ใส่ไป2000รูเปีย เพื่อนข้างเห็นเราใส่ก็ชัก5000กลับใส่เท่ากัน ทันไดนั้นพรามณ์ก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาว่า โอ้ววไม่นะคุณต้องใส่ขั้นต่ำ50000รูเปีย ศรัทธาที่มีกระเจิดกระเจิง พรามร์ก็ พล่ามนั้นนี้ แต่มันคงเห็นเราทำหน้างงๆ เลยถามว่าเข้าใจไหม พร้อมใจกันส่ายหัว เกิดจะหง่อยภาษากันขึ้นมาทันที แต่สุดท้ายก็ สมยอมจ่ายมันไป 6คน200000 คิดเป็นเงินไทยคนละ100บาท แต่มีคนหนึ่งในกลุ่มน่าสงสารมากจ่ายเท่ากันแต่ไม่มีรูปในคลิป (อันนี้เป็นเรื่องแซวกันจนจบทริป) คืนนี้เราจะไปนอนกันที่ หาดkuta เพราะพรุ่งนี้เช้าเรามีแผนกัน ที่พักที่kuta ราคาที่คนละ250บาท มีแอร์
วันที่3
เช้านี้เรามีนัดมาเรียนเล่นเซิร์ฟกัน มาถึงบาหลีทั่งทีจะพลาดได้ไงกับกิจกรรมที่ขึ้นชื่อระดับโลกที่ใครๆต้องกล่าวถึง คลื่นที่นี้ลูกโต สมคำเล่าลือ เช้านั้นเรายังไม่มี ที่เรียนก็ออกเดินหา ถามราคา จนมาได้ คนสอน ข้างๆชายหาด Herman surf ราคาอยู่ที่ คนละ400บาท ราคานี้รวม กระดาน ชุด และครูสอนตัวๆ 1ชม เยนว่ายน้ำไม่เป็น นั้นไม่ใช่ อุปสรรค ถึงจะมีคนบอกว่า กราฟฟิคไทยที่ตายล่าสุดเพราะว่ายน้ำไม่เป็น แต่ไปเล่นเซิร์ฟ ไม่ได้ทำให้รู้สึกกล้ว 2-3รอบแรกกว่าจะยืนขึ้นได้ หัวทิ่มหัวตำ( มีคลิปด้วยนะ รอบที่ยืนสวยๆไม่มีถ่าย จับภาพทีไรหัวทิ่มตลอด) สนุกดี มันๆ เสียดายที่มีเวลาเล่นได้แค่เท่านั้น เพราะต้องออกเดินทางต่อ ต้องไปข้ามเรือเพื่อเดินทางต่อ ข้ามฝั่งไปฝั่ง ชวา คืนนี้พักที่ ทางขึ้น kawah ijen แต่ทีเด็ดอยู่ที่ต้องตื่นตีหนึ่ง เพื่อเดินเท้าขึ้นไป
วันที่4
วันนี้เริ่มต้นไวตื่นมาเตรียมตัวกันเที่ยงคืนครึ่ง จุดหมายเรา ภูเขาไฟ kawah Ijen ก่อนนอนหาข้อมูลไว้ นี้เป็นการเดินทางไปเยือนภูเขาไฟเป็นครั้งแรกความปลอดภัยสำคัญเสมอ(ถึงแม้ ใครๆจะมองว่าเยนทำอะไรเสี่ยงแต่ทุกอย่างเบสออน เซฟตี้เฟิร์สค่ะ) ที่นี้ยังมีควัน กาซ ซัลเฟอร์ พุ่งออกมาตลอดเวลา ต้องเตรียมผ้าปิดจมูก trekking 3ชม.เดินไปมึดๆ แต่ดาวสวยดี ระหว่างทางเดินก็มี คนงานแบกแร่ เดินคุยมาด้วยตลอดทาง ได้ยินฮีพูด ภาษาอังกฤษ ตอนแรกหันขวับไปดูคิดว่าเป็นฝรั่งมังค่า Lukishบอกว่าเขาไม่ได้เรียนหนังสือ เขาเรียนจากประสบการณ์เขาแบกแร่มา 15ปีแล้ว มีเพื่อนอยู่ทั่วโลก คนแบกแร่ที่นี้เขาแบบกกัน ทีละ80-100kgs ส่วนLukish บอกว่าเขาแบกแค่80kgs ที่Ijen เขามาดู Blue flame กันว่ากันว่ามี2ที่ในโลก ที่Ijen จะเห็นในช่วงเวลา 4:20 จนก่อนฟ้าสว่าง แสงนี้ไม่ได้เห็นกันทุกวัน เป็นอีกหนึ่งความโชคดีที่ได้เห็น พอฟ้าสว่างคิดว่าหมดแล้วไฮไลท์ของที่นี้ กลับต้องเซอรไพส์และหลงไหลไปกับความงามของภูเขาไฟ ที่ทุกชอต ทุกชัตเตอร์ สวยจริง นี้ขนาดเบลอเดินกลับก่อน ที่จะดูช่วงพีคที่แสงมา เพื่อจะเห็นLake กลางปล่องภูเขาไฟ ยังฟิน มิรู้ลืมขนาดนี้ กลับมานอน พักและเดินทางต่อ คืนนี้เราจะไปนอนกันที่ Bromo นั่งรถกันอีก ถึงหมู่บ้าน เข้าที่พักนอนชาร์ตพลังลุยต่อ ตีสาม
วันที่5
เช้านี้เรานัดรถจีฟเพื่อพาเราไปBromo จะมีจุดชมวิวที่เป็นพีคเพื่อมองBromoยามแสงแรก และเห็นภูเขาไฟที่ยังแอคทีฟอยู่เป็นแบคกราว สุเมรุ ด้วยความพีคนี้ มวลมหาชนมหาศาลมาก จะได้รูปเด็ดต้องรอจนสายๆคนไปหมด เราเป็นจีฟคันสุดท้ายของจุดชมวิว คนขับจีฟแอบ รมเสียที่ช้า พอมาตรงปากปล่อง คนขับบอกให้เวลา แค่ครึ่งชม เชอะ เราแคร์ที่ไหน จัดไปสะเกือบ3ชม. Bromoเป็นอีกที่ ที่สวยด้วยบรรยากาศรอบๆ ตอนขาขึ้นมีบริการขี่มาขึ้นไป1 สเตปและเดินต่อ ค่าม้าก็เริ่มที่75000 และลดเรื่อยๆเหลือ20000 แต่ก็เดิน มันมีอะไรให้ดูระยะแค่ 1-2 กม ชิลๆ ตอนลงแอบเห็นมีรอยเท้าเดินลงข้างๆ เอาหละอยากเดินลงเองบ้าง ไม่ลงบันไดที่เขาทำไว้ แต่มีคนเปรี้ยวกว่า"สไลด์ลง" นางเลยเอาผ้าปิดกระเป๋ามาลองก้นและสไลด์ลงจากปากปล่องBromo ก็สนุกๆดี แต่ผู้รวมทริปได้หวาดเสียวแทน กลับที่พัก เก็บของเตรียมเดินทางต่อไป หมดBromo ทริปเราก็สบายๆหละ หร๋าาา มาต่อน้ำตก มาดาคูริปุระ คนขับบอกว่าต้องมีไกด์ ท้องถิ่นเพราะเดินไปลำบากอันตราย ด้วยความ งก ไม่เป็นไรฉันเดินไปได้ ก็คนขับบอกค่าไกด์ท้องถิ่นคนละ 100000 แหม่แพงไปนะ พอลงรถ เหล่าไกด์ท้องก็มารุมๆ ตอนนั้นคิดหละอะไรที่อันตราย ก็ค่อยๆสลัดไกด์ หลุดไปจนเหลือ สองคน และมีผู้กล้าทำให้ง่ายขึ้น เทอบอกกับไกด์ว่า เราไม่ต้องการไกด์เราเดินไปได้ เรามีประสบการณ์สูง ทุกคนในทริป สตันไปกับคำพูดของเทอ ใจก็อยากจะขำกันแทบแย่ แต่หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ข้ามขำไปก่อน สุดท้ายเหลือลุงไกด์แก่ ตกลงราคาที่ 40000 รูเปียโอ้วไม่นะ น้ำตกไปยากจริง ความสวยงามสมค่าราคาความลำบาก ฟินๆวินๆกันไป ออกมาจ่ายค่าไกด์ลุงไป 100000รูเปีย คิดเป็นเงินไทย300บาท แต่เสียงเฮ้ของไกด์ เหมือนได้รับแสนบาท(ยังมีคนแซวทีจ่ายค่าไกด์ที่ต้องเดินเท้าฝ่าดงหินไปน้ำตกแค่นี้ทำเป็นอิดออดไม่อยากจ่ายที่จ่ายให้อีนักบวช 200000ไม่ได้อะไรเลยยอมจ่ายได้555 ) ออกจากน้ำตกมุ่งหน้าสู่ สุราบายา คืนนี้เราต้องเข้าไปนอน ที่เมืองสุราบายา เพื่อพรุ่งนี้เช้าเราจะได้นั่งรถไฟไปยอคยากาต้า เข้าที่พักค่ำๆและเดินหาที่แลกเงิน ไปๆมาๆได้เดินชมห้าง สุราบายา ชมเมืองกันไป
วันที่6
ตื่นกันแต่เช้า นั่งรถไฟรอบ8โมง ไปยอคยา ถึงยอคยาเกือบบ่ายโมงจัดเหมารถต่อไปยังปราสาท พรัมบานัน เนื่องด้วยตัวปราสาท ได้รับผลจากการปะทุของภูเขาไฟเมื่อเดือนก่อนเลยมีจุดที่ปิดปรับปรุง เดินชมถ่ายรูป สาวไทยฮอตมากที่อินโด สาวๆที่ไปด้วยถูกขอถ่ายรูปทั้งรูปคู่รูปหมู่ ทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาวและชายมีอายุ ก็ขำๆฮากันไป จากนั้นออกเดินทางกันต่อ คืนนี้เราจะพักกันที่ยาน บุโรพุทโธ เพื่อให้เช้าพรุ่งนี้ตื่นแล้วเดินเข้าไปชม พระอาทิตยามเช้าที่ บุโรพุทโธ ได้ที่พักที่ใกล้มากก เด็กที่ รร บอกเช้าเราจะมองเห็นบุโรพุธโธ จากระเบียงที่พัก (จริงหรอ)กลางคืนไปเดินเล่นกัน หาข้าวกินและได้เพลงชาติ อินโด มา หมี่ โกเร็ง นาซิ โกเร็ง อายัม สาโต สาเต๊ะ ฮ่าๆๆ ทั้งหมดนี้คือชื่ออาหารอินโดที่กินกันมาทั้งทริป ตอนสั่งอาหาร คนขายส่งกระดาษกับปากกามาให้ ด้วยความฉลาดปราดเปรืองของจิต เลยจัดไป bakmie ayam sato แกรมม่าไม่เน้น แม่ค้าขั้นงง
จะกินอะไรกันแน่ ดีนะได้ชาวบ้านที่พูดอังกฤษได้มาช่วยแม่ค้าไว้ เกือบได้สามจานแล้วไหม
วันที่7
ตื่นกันตีห้า ออกมาดู บุโรพุธโธ จากระเบียงที่พัก เห็นจริงอย่างเขาว่า แต่เป็นเพียงยอดปราสาทอยู่ไกลๆ คงต้องไปดูใกล้ๆสินะ รีบจัดแจงเพื่อเข้าบุโรพุทโธแต่เช้า เก็บภาพและความทรงจำ และหาทางไปต่อ เดียง พลาโต ตอนนี้มีสองสิ่งที่เราต้องทำคือหารถไปเดียง และจองตั๋วรถไฟกลับสุราบายา บิงโก หวยมาออกที่ Mr Johny คนขับรถและไกด์พาเที่ยว เดียง ราคาสูง แต่ก็ดูชำนาญ และให้ความรู้ จนคนในทริปขั้นไม่อยากจะถามอะไร เพราะถามที ฮีตอบมาเป็นชุด ถึงเดียงกัน สี่ห้าโมงเยน แต่หมอกลงหนามาก แวะกินข้าวหาที่พัก หมอกจางหน่อยๆ เลยขอให้เขาพาไป วัดฮินดูเก่า บรรยากาศ สวยแบบหล่อนๆ อันซีน อเมซิงจริง เข้านอนแต่วัน สองสามทุ่ม หลังจากที่ล้าสะสมมาหลายวัน แต่เจ้ากรรม อากาศที่เดียง8-10องศา หนาวไปนะ
วันที่8
ตั้งใจพลาด sunriseทัวร์เพราะเหนื่อยและหมอกลงหนามาก ไปคงไม่เห็นแสง ออกเดินทางเที่ยวในเดียงต่อ บ่อโคลนเดือด,ทะเลสาบสองสี เดียงเป็นอีกเมืองที่ สวยงามด้วย ภูมิทัศน์ อากาศ ธรรมชาติ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ไปเสพความเป็นเดียง Johney บอกว่าเดียงเปนภาษา สันสกฤต แปลว่า เมืองของเทพ ออกจากเดียงกันบ่ายโมง เดินทางเข้า ยอคยา เพื่อหาตั๋วรถไฟกลับสุราบายาให้ทัน ไฟลท์ บ่าย4โมงของพรุ่งนี้ ได้ตั๋วรถไฟแบบเส้นยาแดง รถรอบตี1เราเลยตัดสินใจ ไประเริงเมืองยอคยากัน ที่ผับ ลิควิด คุณพระช่วยเนื่องด้วยเป็นคืนวันเสาร์ ผับเลยเปิดช้ากว่าปกติ เราเลยไปนั่งกินอาหารแบบ local กัน ไก่ทอดปูเสื่อ ผับเปิดห้าทุ่ม เรามีเวลาเสพ ผับ ยอคยาสไตล์เพียง1ชม บรรยากาศยังไม่พีคเราก็ต้อง ออกจากผับกันแล้ว คืนนี้เราต้องนอนบนรถไฟกันสินะ
วันที่9
เช้านี้ที่สถานีรถไฟสุราบายา ตอนซื้อตั๋วไม่มีตัวเลือกไดเหลือแล้วเป็นรอบเดี่ยวที่มี ที่ให้ เป็นรถไฟชั้นไม่ดีเท่าไร คนในทริปบอกโหดสุด ของทริป คือนั่งรถไฟกลับมา สุราบายา เราปักหลักกันที่ สถานีสักพักและค่อยย้ายก้นไปที่สนามบินก็ลัลลากัน อ้าวสนามบินสำหรับไฟลท์ต่างประเทศย้ายไปอีกที่ เราก็เดินหา ชัตเตอร์ บัสเพื่อไปยัง T2 พวกแทกซี่ก็รุมล้อมบอกว่า T2 อยู่ไกลยังงั้นยังงี้ ค่าชัตเตอรบัสต้องจ่าย เจ้าหน้าที่ก็ชี้โบ้ชี้เบ้ ไม่รู้เรื่องกันสักทีว่า ชัตเตอร์บัส มันต้องขึ้นตรงไหน จิตก็ปรี๊ดสิค่ะ เดินไปเหวี่ยงใส่เจ้าหน้าที่ในห้องอินฟอเมชั่น จนเขาบอกโอเคเดี่ยวผมจะพาคุณไปเอง เดินออกมา รถมาพอดี ฮึๆ พอมาถึงT2 คือแบบไม่ควรจะเรียกว่าT2 นี้มันสนามบินใหม่อีกแห่งชัดๆ ไกลกันมากกกก เราเชคอิน ออนไลน์กันมาแล้ว ก็แสกน บาร์โค๊ด ปริ้นตั๋ว มีเพื่อนแยกกันจองมา ไปเชคอินที่เคาเตอร์ โดนจ่ายภาษีสนามบินอีก 150000 เป็นฉัน ฉันจะไม่จ่าย พอตอนจะเข้าเกท พนักงานมันบ้งเบ้งให้ไปที่เคาเตอร์คือคิดในใจจะไม่ยอม จ่ายแล้วตอนตัดบัตรเคดิต จะมาเก็บอีกได้ไง ตอนเข้าแถวเลยเอะใจขอใบเสร็จมาดู ถึงบางอ้อว่า สนามบินประเทศนี้ มันให้มาจ่ายที่สนามบินเท่านั้นดีนะไม่เหวี่ยงไปก่อนไม่งั้นนะ หน้าแตกยับแน่ ขึ้นเครื่องกลับไทย โดยสวัสดิภาพ
Indonesia 12เท้าก้าวเดิน 4เมือง 100พันภูเขาทะเลวัดวาโบราณสถาน 10,000แสนเรื่องราว(เล่า)
วันที่1
เริ่มที่ Tanah lot วัดที่เป็นผาหินยืนลงในทะเล ช่วงเย็นไป Temple of lake ฝนตกครึ่ม หมอกลงตลอด เห็นวิวแบบหมอกๆไม่เห็นภูเขาด้านหลัง ชาวคณะตากล้องเราเลยไม่ค่อยจะได้ภาพแดดๆแสงจัดๆเท่าไร คืนแรกนอนที่ Ubud ย่านเมืองtourism town จะได้หาข้อมูลไปเมืองต่อไปหลังจากบาหลี ค่าที่พักคนละ200บาท เชคอินก็ออกมาเดินสำรวจเมืองและมื้อดินเนอร์มื้อแรกที่บาหลีของเรา และเป็น มื้อที่หรูหราที่สุดของทริป สนราคาคนละ 70000 รูเปีย คิดเป็นเงินไทยราวๆ200บาท ได้อาหารจานโตคนละหนึ่งจานและน้ำผลไม้ปั่น น้ำเปล่า และwelcome drink ประจำชาติ เบียร์!! Bintang
วันที่2
เริ่มเช้าด้วยความสดใส ลัลลาเดินตลาด จน อดดูบาลองแดนซ์ ที่ถกเถียงกันคอเป็นเอ็นว่าจะดูไม่ดู สุดท้ายเวลาก็ช่วยตัดสินให้ว่า ไม่ทันก็ขำๆกันไป นาขั้นบันได!! ก็เหมือนๆทุกที่ที่เห็นๆ แต่ชอตเด็ดอยู่ที่ ตอนเดินข้ามไปอีกฝั่ง สะพานข้าม มองลงไปเห็นเป็นหน้าผามีน้ำตกเล็กๆไหล ใต้เท้าเราเป็นเหวลึกๆ เรายืนอยู่บนสะพานไม้ไผ่ ที่ดูท่าไม่ได้แข็งแรงอะไร ก็หวิวๆดีนะ ต่อด้วยวัดน้ำพุศักสิทธิ เป็นคนไม่ค่อยจะอินกับอะไรพวกนี้ แต่ก็แอบ สตันกับฝรั่งคนหนึ่ง ถือดอกไม้และธูปหอมมาทำพิธีเยี่ยงคนถิ่น อุ้มลูกสาวไม่เกินขวบลงไป ทำพิธี เป็นเรื่องของจิตใจและศรัทธา วัดสุดท้าย Mother temple พอบ่ายฝนตก ก็ได้ บรรยากาศ วัดในสายฝน คนขับรถบอกว่าผมต้องลงไปด้วยเพราะว่ามีมาเฟียวัด ก็เดินถ่ายรูปกันไปเรื่อย จนถึงด้านบนสุดของวัด มีเพื่อนในกลุ่มเดินเข้าไปก่อน นั่งเตรียมทำพิธีอยู่เราก็เอาๆด้วยมานี้ยังไม่ได้ถึงศรัธาเลย ก็ทำตามเขาบอกไป นู้นนี้ ตอนนั้นอินมาก แสงสว่างแห่งจิตวิญญาณ ทำพิธีเสรจพรามณ์บอกใส่เงินลงพานดอกไม้ เอาเราก็ใส่ไป2000รูเปีย เพื่อนข้างเห็นเราใส่ก็ชัก5000กลับใส่เท่ากัน ทันไดนั้นพรามณ์ก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาว่า โอ้ววไม่นะคุณต้องใส่ขั้นต่ำ50000รูเปีย ศรัทธาที่มีกระเจิดกระเจิง พรามร์ก็ พล่ามนั้นนี้ แต่มันคงเห็นเราทำหน้างงๆ เลยถามว่าเข้าใจไหม พร้อมใจกันส่ายหัว เกิดจะหง่อยภาษากันขึ้นมาทันที แต่สุดท้ายก็ สมยอมจ่ายมันไป 6คน200000 คิดเป็นเงินไทยคนละ100บาท แต่มีคนหนึ่งในกลุ่มน่าสงสารมากจ่ายเท่ากันแต่ไม่มีรูปในคลิป (อันนี้เป็นเรื่องแซวกันจนจบทริป) คืนนี้เราจะไปนอนกันที่ หาดkuta เพราะพรุ่งนี้เช้าเรามีแผนกัน ที่พักที่kuta ราคาที่คนละ250บาท มีแอร์
วันที่3
เช้านี้เรามีนัดมาเรียนเล่นเซิร์ฟกัน มาถึงบาหลีทั่งทีจะพลาดได้ไงกับกิจกรรมที่ขึ้นชื่อระดับโลกที่ใครๆต้องกล่าวถึง คลื่นที่นี้ลูกโต สมคำเล่าลือ เช้านั้นเรายังไม่มี ที่เรียนก็ออกเดินหา ถามราคา จนมาได้ คนสอน ข้างๆชายหาด Herman surf ราคาอยู่ที่ คนละ400บาท ราคานี้รวม กระดาน ชุด และครูสอนตัวๆ 1ชม เยนว่ายน้ำไม่เป็น นั้นไม่ใช่ อุปสรรค ถึงจะมีคนบอกว่า กราฟฟิคไทยที่ตายล่าสุดเพราะว่ายน้ำไม่เป็น แต่ไปเล่นเซิร์ฟ ไม่ได้ทำให้รู้สึกกล้ว 2-3รอบแรกกว่าจะยืนขึ้นได้ หัวทิ่มหัวตำ( มีคลิปด้วยนะ รอบที่ยืนสวยๆไม่มีถ่าย จับภาพทีไรหัวทิ่มตลอด) สนุกดี มันๆ เสียดายที่มีเวลาเล่นได้แค่เท่านั้น เพราะต้องออกเดินทางต่อ ต้องไปข้ามเรือเพื่อเดินทางต่อ ข้ามฝั่งไปฝั่ง ชวา คืนนี้พักที่ ทางขึ้น kawah ijen แต่ทีเด็ดอยู่ที่ต้องตื่นตีหนึ่ง เพื่อเดินเท้าขึ้นไป
วันที่4
วันนี้เริ่มต้นไวตื่นมาเตรียมตัวกันเที่ยงคืนครึ่ง จุดหมายเรา ภูเขาไฟ kawah Ijen ก่อนนอนหาข้อมูลไว้ นี้เป็นการเดินทางไปเยือนภูเขาไฟเป็นครั้งแรกความปลอดภัยสำคัญเสมอ(ถึงแม้ ใครๆจะมองว่าเยนทำอะไรเสี่ยงแต่ทุกอย่างเบสออน เซฟตี้เฟิร์สค่ะ) ที่นี้ยังมีควัน กาซ ซัลเฟอร์ พุ่งออกมาตลอดเวลา ต้องเตรียมผ้าปิดจมูก trekking 3ชม.เดินไปมึดๆ แต่ดาวสวยดี ระหว่างทางเดินก็มี คนงานแบกแร่ เดินคุยมาด้วยตลอดทาง ได้ยินฮีพูด ภาษาอังกฤษ ตอนแรกหันขวับไปดูคิดว่าเป็นฝรั่งมังค่า Lukishบอกว่าเขาไม่ได้เรียนหนังสือ เขาเรียนจากประสบการณ์เขาแบกแร่มา 15ปีแล้ว มีเพื่อนอยู่ทั่วโลก คนแบกแร่ที่นี้เขาแบบกกัน ทีละ80-100kgs ส่วนLukish บอกว่าเขาแบกแค่80kgs ที่Ijen เขามาดู Blue flame กันว่ากันว่ามี2ที่ในโลก ที่Ijen จะเห็นในช่วงเวลา 4:20 จนก่อนฟ้าสว่าง แสงนี้ไม่ได้เห็นกันทุกวัน เป็นอีกหนึ่งความโชคดีที่ได้เห็น พอฟ้าสว่างคิดว่าหมดแล้วไฮไลท์ของที่นี้ กลับต้องเซอรไพส์และหลงไหลไปกับความงามของภูเขาไฟ ที่ทุกชอต ทุกชัตเตอร์ สวยจริง นี้ขนาดเบลอเดินกลับก่อน ที่จะดูช่วงพีคที่แสงมา เพื่อจะเห็นLake กลางปล่องภูเขาไฟ ยังฟิน มิรู้ลืมขนาดนี้ กลับมานอน พักและเดินทางต่อ คืนนี้เราจะไปนอนกันที่ Bromo นั่งรถกันอีก ถึงหมู่บ้าน เข้าที่พักนอนชาร์ตพลังลุยต่อ ตีสาม
วันที่5
เช้านี้เรานัดรถจีฟเพื่อพาเราไปBromo จะมีจุดชมวิวที่เป็นพีคเพื่อมองBromoยามแสงแรก และเห็นภูเขาไฟที่ยังแอคทีฟอยู่เป็นแบคกราว สุเมรุ ด้วยความพีคนี้ มวลมหาชนมหาศาลมาก จะได้รูปเด็ดต้องรอจนสายๆคนไปหมด เราเป็นจีฟคันสุดท้ายของจุดชมวิว คนขับจีฟแอบ รมเสียที่ช้า พอมาตรงปากปล่อง คนขับบอกให้เวลา แค่ครึ่งชม เชอะ เราแคร์ที่ไหน จัดไปสะเกือบ3ชม. Bromoเป็นอีกที่ ที่สวยด้วยบรรยากาศรอบๆ ตอนขาขึ้นมีบริการขี่มาขึ้นไป1 สเตปและเดินต่อ ค่าม้าก็เริ่มที่75000 และลดเรื่อยๆเหลือ20000 แต่ก็เดิน มันมีอะไรให้ดูระยะแค่ 1-2 กม ชิลๆ ตอนลงแอบเห็นมีรอยเท้าเดินลงข้างๆ เอาหละอยากเดินลงเองบ้าง ไม่ลงบันไดที่เขาทำไว้ แต่มีคนเปรี้ยวกว่า"สไลด์ลง" นางเลยเอาผ้าปิดกระเป๋ามาลองก้นและสไลด์ลงจากปากปล่องBromo ก็สนุกๆดี แต่ผู้รวมทริปได้หวาดเสียวแทน กลับที่พัก เก็บของเตรียมเดินทางต่อไป หมดBromo ทริปเราก็สบายๆหละ หร๋าาา มาต่อน้ำตก มาดาคูริปุระ คนขับบอกว่าต้องมีไกด์ ท้องถิ่นเพราะเดินไปลำบากอันตราย ด้วยความ งก ไม่เป็นไรฉันเดินไปได้ ก็คนขับบอกค่าไกด์ท้องถิ่นคนละ 100000 แหม่แพงไปนะ พอลงรถ เหล่าไกด์ท้องก็มารุมๆ ตอนนั้นคิดหละอะไรที่อันตราย ก็ค่อยๆสลัดไกด์ หลุดไปจนเหลือ สองคน และมีผู้กล้าทำให้ง่ายขึ้น เทอบอกกับไกด์ว่า เราไม่ต้องการไกด์เราเดินไปได้ เรามีประสบการณ์สูง ทุกคนในทริป สตันไปกับคำพูดของเทอ ใจก็อยากจะขำกันแทบแย่ แต่หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ข้ามขำไปก่อน สุดท้ายเหลือลุงไกด์แก่ ตกลงราคาที่ 40000 รูเปียโอ้วไม่นะ น้ำตกไปยากจริง ความสวยงามสมค่าราคาความลำบาก ฟินๆวินๆกันไป ออกมาจ่ายค่าไกด์ลุงไป 100000รูเปีย คิดเป็นเงินไทย300บาท แต่เสียงเฮ้ของไกด์ เหมือนได้รับแสนบาท(ยังมีคนแซวทีจ่ายค่าไกด์ที่ต้องเดินเท้าฝ่าดงหินไปน้ำตกแค่นี้ทำเป็นอิดออดไม่อยากจ่ายที่จ่ายให้อีนักบวช 200000ไม่ได้อะไรเลยยอมจ่ายได้555 ) ออกจากน้ำตกมุ่งหน้าสู่ สุราบายา คืนนี้เราต้องเข้าไปนอน ที่เมืองสุราบายา เพื่อพรุ่งนี้เช้าเราจะได้นั่งรถไฟไปยอคยากาต้า เข้าที่พักค่ำๆและเดินหาที่แลกเงิน ไปๆมาๆได้เดินชมห้าง สุราบายา ชมเมืองกันไป
วันที่6
ตื่นกันแต่เช้า นั่งรถไฟรอบ8โมง ไปยอคยา ถึงยอคยาเกือบบ่ายโมงจัดเหมารถต่อไปยังปราสาท พรัมบานัน เนื่องด้วยตัวปราสาท ได้รับผลจากการปะทุของภูเขาไฟเมื่อเดือนก่อนเลยมีจุดที่ปิดปรับปรุง เดินชมถ่ายรูป สาวไทยฮอตมากที่อินโด สาวๆที่ไปด้วยถูกขอถ่ายรูปทั้งรูปคู่รูปหมู่ ทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาวและชายมีอายุ ก็ขำๆฮากันไป จากนั้นออกเดินทางกันต่อ คืนนี้เราจะพักกันที่ยาน บุโรพุทโธ เพื่อให้เช้าพรุ่งนี้ตื่นแล้วเดินเข้าไปชม พระอาทิตยามเช้าที่ บุโรพุทโธ ได้ที่พักที่ใกล้มากก เด็กที่ รร บอกเช้าเราจะมองเห็นบุโรพุธโธ จากระเบียงที่พัก (จริงหรอ)กลางคืนไปเดินเล่นกัน หาข้าวกินและได้เพลงชาติ อินโด มา หมี่ โกเร็ง นาซิ โกเร็ง อายัม สาโต สาเต๊ะ ฮ่าๆๆ ทั้งหมดนี้คือชื่ออาหารอินโดที่กินกันมาทั้งทริป ตอนสั่งอาหาร คนขายส่งกระดาษกับปากกามาให้ ด้วยความฉลาดปราดเปรืองของจิต เลยจัดไป bakmie ayam sato แกรมม่าไม่เน้น แม่ค้าขั้นงง จะกินอะไรกันแน่ ดีนะได้ชาวบ้านที่พูดอังกฤษได้มาช่วยแม่ค้าไว้ เกือบได้สามจานแล้วไหม
วันที่7
ตื่นกันตีห้า ออกมาดู บุโรพุธโธ จากระเบียงที่พัก เห็นจริงอย่างเขาว่า แต่เป็นเพียงยอดปราสาทอยู่ไกลๆ คงต้องไปดูใกล้ๆสินะ รีบจัดแจงเพื่อเข้าบุโรพุทโธแต่เช้า เก็บภาพและความทรงจำ และหาทางไปต่อ เดียง พลาโต ตอนนี้มีสองสิ่งที่เราต้องทำคือหารถไปเดียง และจองตั๋วรถไฟกลับสุราบายา บิงโก หวยมาออกที่ Mr Johny คนขับรถและไกด์พาเที่ยว เดียง ราคาสูง แต่ก็ดูชำนาญ และให้ความรู้ จนคนในทริปขั้นไม่อยากจะถามอะไร เพราะถามที ฮีตอบมาเป็นชุด ถึงเดียงกัน สี่ห้าโมงเยน แต่หมอกลงหนามาก แวะกินข้าวหาที่พัก หมอกจางหน่อยๆ เลยขอให้เขาพาไป วัดฮินดูเก่า บรรยากาศ สวยแบบหล่อนๆ อันซีน อเมซิงจริง เข้านอนแต่วัน สองสามทุ่ม หลังจากที่ล้าสะสมมาหลายวัน แต่เจ้ากรรม อากาศที่เดียง8-10องศา หนาวไปนะ
วันที่8
ตั้งใจพลาด sunriseทัวร์เพราะเหนื่อยและหมอกลงหนามาก ไปคงไม่เห็นแสง ออกเดินทางเที่ยวในเดียงต่อ บ่อโคลนเดือด,ทะเลสาบสองสี เดียงเป็นอีกเมืองที่ สวยงามด้วย ภูมิทัศน์ อากาศ ธรรมชาติ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ไปเสพความเป็นเดียง Johney บอกว่าเดียงเปนภาษา สันสกฤต แปลว่า เมืองของเทพ ออกจากเดียงกันบ่ายโมง เดินทางเข้า ยอคยา เพื่อหาตั๋วรถไฟกลับสุราบายาให้ทัน ไฟลท์ บ่าย4โมงของพรุ่งนี้ ได้ตั๋วรถไฟแบบเส้นยาแดง รถรอบตี1เราเลยตัดสินใจ ไประเริงเมืองยอคยากัน ที่ผับ ลิควิด คุณพระช่วยเนื่องด้วยเป็นคืนวันเสาร์ ผับเลยเปิดช้ากว่าปกติ เราเลยไปนั่งกินอาหารแบบ local กัน ไก่ทอดปูเสื่อ ผับเปิดห้าทุ่ม เรามีเวลาเสพ ผับ ยอคยาสไตล์เพียง1ชม บรรยากาศยังไม่พีคเราก็ต้อง ออกจากผับกันแล้ว คืนนี้เราต้องนอนบนรถไฟกันสินะ
วันที่9
เช้านี้ที่สถานีรถไฟสุราบายา ตอนซื้อตั๋วไม่มีตัวเลือกไดเหลือแล้วเป็นรอบเดี่ยวที่มี ที่ให้ เป็นรถไฟชั้นไม่ดีเท่าไร คนในทริปบอกโหดสุด ของทริป คือนั่งรถไฟกลับมา สุราบายา เราปักหลักกันที่ สถานีสักพักและค่อยย้ายก้นไปที่สนามบินก็ลัลลากัน อ้าวสนามบินสำหรับไฟลท์ต่างประเทศย้ายไปอีกที่ เราก็เดินหา ชัตเตอร์ บัสเพื่อไปยัง T2 พวกแทกซี่ก็รุมล้อมบอกว่า T2 อยู่ไกลยังงั้นยังงี้ ค่าชัตเตอรบัสต้องจ่าย เจ้าหน้าที่ก็ชี้โบ้ชี้เบ้ ไม่รู้เรื่องกันสักทีว่า ชัตเตอร์บัส มันต้องขึ้นตรงไหน จิตก็ปรี๊ดสิค่ะ เดินไปเหวี่ยงใส่เจ้าหน้าที่ในห้องอินฟอเมชั่น จนเขาบอกโอเคเดี่ยวผมจะพาคุณไปเอง เดินออกมา รถมาพอดี ฮึๆ พอมาถึงT2 คือแบบไม่ควรจะเรียกว่าT2 นี้มันสนามบินใหม่อีกแห่งชัดๆ ไกลกันมากกกก เราเชคอิน ออนไลน์กันมาแล้ว ก็แสกน บาร์โค๊ด ปริ้นตั๋ว มีเพื่อนแยกกันจองมา ไปเชคอินที่เคาเตอร์ โดนจ่ายภาษีสนามบินอีก 150000 เป็นฉัน ฉันจะไม่จ่าย พอตอนจะเข้าเกท พนักงานมันบ้งเบ้งให้ไปที่เคาเตอร์คือคิดในใจจะไม่ยอม จ่ายแล้วตอนตัดบัตรเคดิต จะมาเก็บอีกได้ไง ตอนเข้าแถวเลยเอะใจขอใบเสร็จมาดู ถึงบางอ้อว่า สนามบินประเทศนี้ มันให้มาจ่ายที่สนามบินเท่านั้นดีนะไม่เหวี่ยงไปก่อนไม่งั้นนะ หน้าแตกยับแน่ ขึ้นเครื่องกลับไทย โดยสวัสดิภาพ