พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเก่าแก่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาเป็นระยะเวลากว่า 60 ปีแล้ว
เป็นพรรคการเมืองที่ต่อสู้เพื่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด
ตามที่สมาชิกพรรคเข้าใจและภาคภูมิใจ
โดยเฉพาะผู้นำและกรรมการบริหารพรรคในอดีตได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นจริงมาแล้ว
การจะดำรงความเป็นพรรคที่ประชาชนผู้สนับสนุนเข้าใจและภูมิใจ จำเป็นอย่างยิ่งที่…
พรรคจะต้องรักษาปรัชญา อุดมการณ์และภาระกิจของพรรคโดยเคร่งครัด
พรรคจะต้องยืนหยัดในจุดยืนของพรรคตามอุดมการณ์การเป็นพรรคการเมือง..
ที่ยึดหลักการประชาธิปไตยโดยไม่ถูกปัจจัยแวดล้อมชักจูงให้หวั่นไหว
ถึงแม้การยึดอุดมการณ์ในช่วงใดช่วงหนึ่งของเวลาในแต่ละเหตุการณ์…
จะทำให้พรรคสูญเสียคะแนนเสียงจากมวลชนบางส่วนไปบ้าง
แต่พรรคต้องไม่ลืมหรือละทิ้ง การแสดงบทบาท
“ผู้นำ”
ในการจรรโลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยไทยให้ถาวรสืบไป
พรรคจึงจำเป็นต้องรักษา
“ความเป็นพรรคประชาธิปัตย์” อย่างเคร่งครัด
ไม่หวั่นไหวต่อปัจจัยแวดล้อมที่กดดันและชักจูงให้พรรคกระทำการที่ขัดต่อหลักการที่ยึดถือ
จะมีประโยชน์อันใด ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ กำหนดแนวทางของพรรคโดยยึดกระแสเป็นหลัก
การปฏิบัติเช่นนั้น ก็เปรียบเสมือนบุคคลที่ขาด “หัวใจ” ที่จะดำรงชีวิตสืบไป
จะเป็นได้ก็เพียงพรรคการเมืองทุนนิยม ที่มีเป้าหมายสูงสุดคือ “อำนาจ” และ “เงิน” เท่านั้น
ไร้เกียรติและศักดิ์ศรีในการเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่มีอายุยืนยาวกว่า 60 ปี
ซึ่งไม่ต่างกับพรรคการเมืองอื่นๆที่มีอยู่ดาษดื่นในวันนี้เลย
เหตุการณ์บ้านเมืองเราซึ่งมีความขัดแย้งรุนแรงระหว่างประชาชนสองฝ่ายในวันนี้
ความขัดแย้งทวีความรุนแรง เพราะต่างฝ่าย
“ไม่ยอมเสียสละ” เพื่อส่วนรวม
ต่างฝ่ายต่างอ้าง “ประชาชน” และ “อนาคตของชาติ” อย่างเข้มข้นในการรณรงค์
ทั้งๆที่ถ้าทั้งสองฝ่ายเห็นแก่ “ประชาชน” และ “อนาคตของชาติ” จริงดั่งที่กล่าวอ้าง
การเจรจา การตกลงในวิถีที่จะนำไปสู่เป้าประสงค์ที่ประกาศย่อมเกิดขึ้นไปแล้ว
แต่การณ์กลับเป็นตรงข้าม!!
เพราะทั้งสองฝ่ายกลับปลุกระดมมวลชนเพื่อใช้
“กำลัง”ในการตัดสิน
“แพ้-ชนะ”
โดยมี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ร่วมมือ…ยำประเทศ จะโดยตั้งใจหรือไม่…ก็ตาม
พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศบอยคอตการเลือกตั้ง ครั้งที่ผ่านมา
เป็นครั้งที่สองนับแต่กำเนิดของพรรค !
ประชาชนผิดหวังกับการตัดสินใจของพรรคในครั้งนั้น…จะมากหรือน้อย ย่อมไม่เป็นประเด็น
แต่ประเด็นคือ…
พรรคประชาธิปัตย์ ได้ละทิ้งหลักการและอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไปแล้ว
ในขณะนี้ปัญหายืดเยื้อ…โดยคู่ขัดแย้งมิได้แสดงเจนารมณ์ในการแก้ไขใดๆเลย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์
“รัฐล้มเหลว” เกือบจะสมบูรณ์แบบ
ซึ่งเป็นสภาวการณ์
“หายนะ” ของเศรษฐกิจชาติในวันนี้และอนาคตอย่างไม่มีข้อสงสัย
จึงเป็นหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะแสดงตนเข้า
“ช่วยชาติ” ในทันที
หรือจะเรียกว่า
“กู้ชาติ” ก็ย่อมได้
เพราะเป็นการ
“กู้ชาติ” ของแท้ ไม่ใช่
“จมชาติ” แล้วอ้างว่า
“กู้ชาติ” แต่อย่างใด
หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ จักต้องแสดงภาวะผู้นำพรรคการเมือง
ที่กล้าตัดสินใจเข้าแก้วิกฤติชาติในวันนี้โดยละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตน ส่วนของพรรค
ตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ชาติ โดยปราศจากความหวั่นไหวในคะแนนเสียงจากผู้สนับสนุน
ซึ่งเป็นมวลมหาประชาชนของ กปปส.ในวันนี้
ช่วยจรรโลงระบอบประชาธิปไตยของไทยไว้
นี่จึงเป็นภาระกิจที่แท้จริงของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้
ประกาศลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยแสดงภาวะผู้นำ เรียกประชุมบรรดาพรรคการเมืองทั้งหมด
เข้าร่วมหารือในแนวทางการปฏิรูปประเทศ เพื่อทำสัตยาบรรณร่วมกัน
ถ้าแต่ละพรรคเห็นดีด้วยและปฏิบัตกันพร้อมเพรียง
ประโยชน์จะตกแก่
“ประชาชนและอนาคตของชาติ” อย่างแท้จริง
นี่คือการปฏิบัติการของพรรคที่สมเกียรติและรับผิดชอบต่อบ้านเมือง…อย่างที่สุด
โดยไม่ต้องกังวลถึงมวลมหาประชาชนและแกนนำ กปปส.
เพราะในที่สุดเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปทุกฝ่ายจะเข้าใจในเจตนารมณ์พรรค
ประชาชนจะหันกลับมาสนับสนุนพรรคอย่างภาคภูมิใจเช่นเดิม…และมากกว่าเดิม
ด้วยความปรารถนาดี
โพ้นฟ้า
๐๐๐๐๐ สารถึงพรรคประชาธิปัตย์ ๐๐๐๐๐
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเก่าแก่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาเป็นระยะเวลากว่า 60 ปีแล้ว
เป็นพรรคการเมืองที่ต่อสู้เพื่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด
ตามที่สมาชิกพรรคเข้าใจและภาคภูมิใจ
โดยเฉพาะผู้นำและกรรมการบริหารพรรคในอดีตได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นจริงมาแล้ว
การจะดำรงความเป็นพรรคที่ประชาชนผู้สนับสนุนเข้าใจและภูมิใจ จำเป็นอย่างยิ่งที่…
พรรคจะต้องรักษาปรัชญา อุดมการณ์และภาระกิจของพรรคโดยเคร่งครัด
พรรคจะต้องยืนหยัดในจุดยืนของพรรคตามอุดมการณ์การเป็นพรรคการเมือง..
ที่ยึดหลักการประชาธิปไตยโดยไม่ถูกปัจจัยแวดล้อมชักจูงให้หวั่นไหว
ถึงแม้การยึดอุดมการณ์ในช่วงใดช่วงหนึ่งของเวลาในแต่ละเหตุการณ์…
จะทำให้พรรคสูญเสียคะแนนเสียงจากมวลชนบางส่วนไปบ้าง
แต่พรรคต้องไม่ลืมหรือละทิ้ง การแสดงบทบาท “ผู้นำ”
ในการจรรโลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยไทยให้ถาวรสืบไป
พรรคจึงจำเป็นต้องรักษา “ความเป็นพรรคประชาธิปัตย์” อย่างเคร่งครัด
ไม่หวั่นไหวต่อปัจจัยแวดล้อมที่กดดันและชักจูงให้พรรคกระทำการที่ขัดต่อหลักการที่ยึดถือ
จะมีประโยชน์อันใด ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ กำหนดแนวทางของพรรคโดยยึดกระแสเป็นหลัก
การปฏิบัติเช่นนั้น ก็เปรียบเสมือนบุคคลที่ขาด “หัวใจ” ที่จะดำรงชีวิตสืบไป
จะเป็นได้ก็เพียงพรรคการเมืองทุนนิยม ที่มีเป้าหมายสูงสุดคือ “อำนาจ” และ “เงิน” เท่านั้น
ไร้เกียรติและศักดิ์ศรีในการเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่มีอายุยืนยาวกว่า 60 ปี
ซึ่งไม่ต่างกับพรรคการเมืองอื่นๆที่มีอยู่ดาษดื่นในวันนี้เลย
เหตุการณ์บ้านเมืองเราซึ่งมีความขัดแย้งรุนแรงระหว่างประชาชนสองฝ่ายในวันนี้
ความขัดแย้งทวีความรุนแรง เพราะต่างฝ่าย “ไม่ยอมเสียสละ” เพื่อส่วนรวม
ต่างฝ่ายต่างอ้าง “ประชาชน” และ “อนาคตของชาติ” อย่างเข้มข้นในการรณรงค์
ทั้งๆที่ถ้าทั้งสองฝ่ายเห็นแก่ “ประชาชน” และ “อนาคตของชาติ” จริงดั่งที่กล่าวอ้าง
การเจรจา การตกลงในวิถีที่จะนำไปสู่เป้าประสงค์ที่ประกาศย่อมเกิดขึ้นไปแล้ว
แต่การณ์กลับเป็นตรงข้าม!!
เพราะทั้งสองฝ่ายกลับปลุกระดมมวลชนเพื่อใช้ “กำลัง”ในการตัดสิน “แพ้-ชนะ”
โดยมี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ร่วมมือ…ยำประเทศ จะโดยตั้งใจหรือไม่…ก็ตาม
พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศบอยคอตการเลือกตั้ง ครั้งที่ผ่านมา
เป็นครั้งที่สองนับแต่กำเนิดของพรรค !
ประชาชนผิดหวังกับการตัดสินใจของพรรคในครั้งนั้น…จะมากหรือน้อย ย่อมไม่เป็นประเด็น
แต่ประเด็นคือ…พรรคประชาธิปัตย์ ได้ละทิ้งหลักการและอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไปแล้ว
ในขณะนี้ปัญหายืดเยื้อ…โดยคู่ขัดแย้งมิได้แสดงเจนารมณ์ในการแก้ไขใดๆเลย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ “รัฐล้มเหลว” เกือบจะสมบูรณ์แบบ
ซึ่งเป็นสภาวการณ์ “หายนะ” ของเศรษฐกิจชาติในวันนี้และอนาคตอย่างไม่มีข้อสงสัย
จึงเป็นหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะแสดงตนเข้า “ช่วยชาติ” ในทันที
หรือจะเรียกว่า “กู้ชาติ” ก็ย่อมได้
เพราะเป็นการ “กู้ชาติ” ของแท้ ไม่ใช่ “จมชาติ” แล้วอ้างว่า “กู้ชาติ” แต่อย่างใด
หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ จักต้องแสดงภาวะผู้นำพรรคการเมือง
ที่กล้าตัดสินใจเข้าแก้วิกฤติชาติในวันนี้โดยละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตน ส่วนของพรรค
ตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ชาติ โดยปราศจากความหวั่นไหวในคะแนนเสียงจากผู้สนับสนุน
ซึ่งเป็นมวลมหาประชาชนของ กปปส.ในวันนี้
ช่วยจรรโลงระบอบประชาธิปไตยของไทยไว้
นี่จึงเป็นภาระกิจที่แท้จริงของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้
ประกาศลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยแสดงภาวะผู้นำ เรียกประชุมบรรดาพรรคการเมืองทั้งหมด
เข้าร่วมหารือในแนวทางการปฏิรูปประเทศ เพื่อทำสัตยาบรรณร่วมกัน
ถ้าแต่ละพรรคเห็นดีด้วยและปฏิบัตกันพร้อมเพรียง
ประโยชน์จะตกแก่ “ประชาชนและอนาคตของชาติ” อย่างแท้จริง
นี่คือการปฏิบัติการของพรรคที่สมเกียรติและรับผิดชอบต่อบ้านเมือง…อย่างที่สุด
โดยไม่ต้องกังวลถึงมวลมหาประชาชนและแกนนำ กปปส.
เพราะในที่สุดเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปทุกฝ่ายจะเข้าใจในเจตนารมณ์พรรค
ประชาชนจะหันกลับมาสนับสนุนพรรคอย่างภาคภูมิใจเช่นเดิม…และมากกว่าเดิม
ด้วยความปรารถนาดี
โพ้นฟ้า