ไม่รู้เป็นเหมือนกันไหม ...
ในทีมที่เราเชียร์ ... มันมักจะมีนักเตะที่เราไม่ค่อยชอบเสมอ ...
เราเป็นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะกับลิเวอร์พูล
จริงๆเราเป็นคนไม่เรื่องมาก และเป็นแฟนบอลที่ขี้เกียจพอสมควร
คือ มีให้ดูก็ดู ซื้อใครมาก็ซื้อ จ้างใครมาเป็นโค้ชก็จ้างไปเถอะ
ไม่ค่อยต่อต้าน หรือ นึกอยากได้คนนั้นคนนี้มาแทน
ต่อให้ไอ้ที่เล่นอยู่ หรือ ไอ้ที่คุมอยู่จะแย่ขนาดไหน
ใจก็ยังคิดว่า
"เออ ... ช่างเถอะ เชียร์ไปเรื่อยๆแบบนี้หล่ะ ... "
ทุกปีในตลาดซื้อขาย เราเลยไม่เคยนึกอยากได้ใครเป็นพิเศษ
ฤดูกาลทีผ่านมาก็เหมือนเดิม เรามีข่าวกับนักเตะหลายคน ทั้งไอ้ีที่ดังและไม่ดัง
แต่เรากลับรู้สึก ...
อืม ... จะดีเหรอวะ ...
คือเป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก
จริงๆทีมเราประสบปัญหานักเตะฟอร์มกากมาตลอด
โดยเฉพาะ 2-3 ฤดูกาลหลัง
ซื้อนักเตะมาใช้ไม่ถูกจุด,ซื้อมาแพง,เล่นไม่คุ้ม
ดูไป ... เบื่อไป ... บ่นมันไป ... ด่ามันไป ...
แต่ถามว่า จะให้เอาใครมาแทนไอ้พวกอ่อนๆเหล่านี้ดี
บอกเลยว่า... "คิดไม่ออก"
อันที่จริง ไม่เคยคิดว่าอยากได้ใครมาแทนด้วยซ้ำ
ไม่รู้เป็นเหมือนกันไหม ...
มีนักเตะหลายคนที่เราเห็นแล้วรู้สึกไม่ถูกชะตา
อย่างมาชเชอเราโน ... ครอมแคม (เราเรียกไอ้ครองแครงตลอด) ... ดาวนิ่ง ... จอนโจ้
เท่าที่ผ่านมาก็มี 4 คนนี้ที่เราคิดออกได้ัทันที ถ้าถามว่าไม่ค่อยชอบขี้หน้าใคร
แต่มันก็แปลกตรงที่...
ตอนที่ 4 คนนี้อยู่กับทีม เราไม่เคยคิดอยากได้ใครมาแทนเลย
ความรู้สึกคือ ... ไม่ว่าใครพอสวมเสื้อแดงแล้วเรารู้สึกรักไปซะหมด
มันก็ค่อนข้างย้อนแย้งนะ
เราอาจจะคิดไปเองนะ แต่เมื่อใครสวมเสื้อทีมเราแล้ว
เขาจะเป็นนักเตะของเราไปตลอด เป็นสมาชิกครอบครัวคนนึง
ฟังดูเว่อร์ๆ แต่เราก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
และรู้สึกแบบนี้มานานมาก
ทุกวันนี้พอทีมไปเล่นเจอนักเตะแบบ ปีเตอร์ เคร้าซ์ หรือ รีเซ่
เรายังแอบน้ำตาซึมๆเลย คือ ภาพตอนพวกเขาอยู่ทีมเรามันย้อนมาหมด
ตอนรีเซ่ เอาเสื้อมาให้เจอร์ราร์ดเซนต์
เราก็คิดว่า .. กลับมาอยู่ด้วยกันก็ได้นะ
ตอนดูบอลเยอรมัน เห็นฮูเปียคุมเลเวอร์ฯ
เรายังรู้สึก .. นั่นมันนานแล้วจริงๆสินะ
ตอนเห็นอลอนโซ อินสตราแกรมว่า กำลังเชียร์ ลิเวอร์พูลอยู่บ้านที่สเปน
เราก็คิดถึง ... ตอนที่แฟนๆทำเพลง Welcome Home ให้คุณชาย ที่นี่ต้อนรับคุณเสมอ
ตอนเราอ่านคอลัมน์ของ หลุยส์ กาเซียในนิตยสาร ลิเวอร์พูล
เราคิดไม่ออกว่า .. กาเซีย ออกจากทีมเราไปนานแค่ไหน
เพราะเหมือนเค้าอยู่กับเราตลอดเลย...
ตอนเคร็ก เบลลามี่ บอกจะรีไทร์
เรายังน้ำตาไหลเลย ทั้งที่ตอนแกอยู่ เป็นนักเตะเจ้าปัญหาพอๆกับซัวเรซ (อาจจะยิ่งกว่า)
แต่เราแค่รู้สึกว่า "..อะไรวะพี่ พี่จะรีบไปไหน.."
ฟินแนนเป็นนักเตะอีกคนที่เราชอบมาก ..
ตอนพี่แกเจอดีลฟ้าผ่า เราเองก็ช็อคมาก
มาจนถึงตอนนี้ มานั่งนึกถึงภาพวันเก่าๆ ยังน้ำตาซึมๆเลย
มันมียุคที่เราไม่มีถ้วย แต่เราก็มีทีม ...
ระหว่างนั้น มันก็มีนักเตะที่เราทั้งชอบและไม่ชอบ
เข้ามาและจากไป
บางคนยังอยู่ เราเองก็ยังอยู่ .. รอคนใหม่ๆเข้ามาเหมือนทุกๆปี
ไม่รู้เป็นเหมือนกันไหม ...
ตอนที่ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ย้ายเข้ามา
เราไม่ค่อยถูกชะตากับหมอนี่เลยจริงๆ
อาจเพราะมาจากทีมในลีกเดียวกัน และเป็นทีมท็อปๆด้วย
สเตอร์ริดจ์มาอยู่กับทีมตอนตลาดฤดูหนาวฤดูกาลที่แล้ว
ด้วยสไตล์เรา ไม่ชอบ ก็เฉยๆ ไม่ได้อยากไล่
ใครใส่เสื้อเราถือเป็นคนของเรา
ฤดูกาลที่แล้ว เราเลยค่อนข้างเฉยๆกับสเตอร์ริดจ์มาก
ไม่ชอบ แต่ก็ไม่เกลียด
ฤดูกาลนี้ เราเริ่มต้นฤดูกาลแบบที่ไม่มีหลุยส์ ซัวเรซ
หน้าเป้าอีกตัวที่มีคือ ยาโก้ อัสปาส ซึ่ง ร็อดเจอร์ก็ยังไม่วางใจให้ลงเล่นบ่อยนัก
สเตอร์ริดจ์เลยรับหน้าที่ปั่นสกอร์เสียส่วนใหญ่
โอเค ... สเตอร์ริดจ์ยิงให้ทีมทุกนัด เก็บ 3 แต้มมาได้เกือบตลอด
แต่อย่างว่าอ่ะนะ ... คนไม่ใช่ ทำอะไรก็ผิด
ตอนนั้นเรามองว่า "สเตอร์ริดจ์ก็เหมือนเล่นรอซัวเรซกลับมา"
หลายคนนั่งนับวันรอซัวเรซกลับมา แม้สเตอร์ริดจ์ยังคงปั่นสกอร์ให้ต่อเนื่อง
เราเองเป็นหนึ่งในนั้น ยิ่งเห็นพี่หลุยส์นั่งดูบอลจากบนสแตนด์ยิ่งอยากให้แกกลับมาเร็วๆ
"สเตอร์ริดจ์ ... เองยิงรอพี่หลุยส์ไปก่อนละกัน"
พอพี่หลุยส์กลับมานัดแรกในเกมแดงเดือดของถ้วยลีกส์คัพ
ร็อดเจอร์สเปลี่ยนไปเล่น 3-5-2 หน้าเป้า 2 ตัว
เกมนัดเราแพ้แมนฯยู ตกรอบ การเล่นของซัวเรซยังดูเกร็งๆอยู่บ้าง
เพราะเจอพักมานาน ... สเตอร์ริดจ์เองก็ดูจะอึดอัดยามเล่นเป็นหน้าคู่
หลังจากนั้น เราก็เก็บประตูได้มากกว่าที่เคย
ตอนมีแค่สเตอร์ริดจ์ เรามักชนะด้วยสกอร์ 1-2 ลูก
แต่พอซัวเรซกลับมา เรายิงได้มากกว่าเดิม วันที่ซัวเรซแฮทริค สเตอร์ริดจ์เองก็ช่วยซัวเรซยิง
จนเกิดเป็นคำเรียก คู่หู SAS
แรกๆมันก็มีปัญหาหลายอย่าง ...
ร็อดเจอร์สยังคงยืนยันให้สเตอร์ริดจ์และซัวเรซลงคู่กัน
ทั้งในแผน 3-5-2,3-4-1-2 และ 4-4-2
ปัญหาที่ว่าคือ แม้ 2 คนนี้จะช่วยกันยิงก็จริง .. แต่ก็มีบางครั้งที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว
เลือกยิงเองแทนที่จะส่งให้เพื่อน
หลายครั้งพลาดสกอร์เพราะความอยากเด่นของตัวเอง
สเตอร์ริดจ์เองก็เจอโจมตีในลักษณะนี้มาตลอดในระยะหลังๆ
อันที่จริง สเตอร์ริดจ์เจอปัญหานี้มาตั้งแต่สมัยเขาอยู่เชลซีแล้ว
เราเองเริ่มชอบสเตอร์ริดจ์ขึ้นมาแล้วในช่วงหลังๆมานี้ (เริ่มชอบเฮนโด้ด้วยเหมือนกัน)
เรามีโรคแปลกๆอีกอย่าง คือ หูเบามาก
ไม่ว่ากัปตันบอกว่า ใครดี เราก็จะคิดว่าคนนั้นดีจริงๆ ทุกครั้ง
ไม่ว่ากัปตันพูดอะไร เราเชื่อหมด ...
พอกัปตัน เอออวยสเตอร์ริดจ์ให้ฟังบ่อยๆ
เราก็เริ่มเคลิ้ม
"ไอ้หริดมันต้องเป็นเด็กดีแน่ๆเลย แค่ความมุ่งมั่นกับเกมมากเกินไป"
ทุกครั้งเวลาแข่งเสร็จ
สเตอร์ริดจ์จะอัพอินสตราแกรม ...
บอกความรู้สึกในเกมนั้นๆ ดีใจ เสียใจ .. ยิ่งใหญ่ .. ไม่ลืมเลือน .. อะไรก็ว่าไป
เกมล่าสุด เราได้เห็นการเล่นของหลุยส์ ซัวเรซ และ สเตอร์ริดจ์ที่ดูจะไม่เข้าขากันอย่างแรง
มีหลายลูกที่ หลุยส์ควรผ่านบอลให้สเตอร์ริดจ์ แต่ดันเลือกยิงเอง
แม้แต่ตอนที่หลุยส์หันไปบ่นสเตอร์ริดจ์ที่ดีดบอลให้แรงเกินไป
จนมันไปโดนหน้าขาแทนที่จะเป็นเท้า
ทำให้เราพลาดสกอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า
สเตอร์ริดจ์บนสนาม ไม่ได้อยู่ในสถานะที่โวยวายใครได้
แม้เขาจะถูกบ่นจากคู่หูหลายครั้ง แต่เมื่อถูกตัดโอกาส แดเนียลก็ไม่เคยออกอาการให้เห็น
ลูกแรกที่ซัวเรซเลือกยิงเอง แทนที่จะส่งให้สเตอร์ริดจ์ที่โบกมือขอบอล
หลุยส์ยิงเองและพลาด .. แดเนียลไม่ว่าอะไร หลุยส์โบกมือขอโทษให้ครั้งนึง
โอกาสมีมากมาย แต่คู่หู SAS ก็ทำมันไม่ได้
มันไม่ใช่เนื่องการหมั่นไส้ หรือการไม่ไว้วางใจกัน
แต่เป็นเรื่องของความมุ่งมั่น
ซัวเรซและสเตอร์ริดจ์ให้สัมภาษณ์เสมอ ว่า "มันไม่มีอะไรนอกจาก เราต่างอยากทำเพื่อทีม"
เมื่อเป็นสกอร์ได้ เราก็อยากทำประตูเอง
บนสนามมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย มีหลายอย่างที่เราคิดไม่ถึง
สเตอร์ริดจ์ถูกเปลี่ยนตัวออกในท้ายครึ่งหลัง ด้วยเหตุผลทางด้านแทคติค
โดยเป็นราฮีม สเตอร์ลิงที่ลงมาแทน
นัดนี้เป็นนัดที่ 31 ท้ายฤดูกาลเข้าไปแล้ว แต่เราก็พึ่งรู้สึกตัว ...
ที่ผ่านมาเราไม่เคยมองว่าสเตอร์ริดจ์เป็นผู้เล่นคนสำคัญเลย
ในที่นี้หมายถึง สำคัญในความหมายเดียวกับซัวเรซ และ เจอร์ราร์ด
เกมนี้ สเตอร์ริดจ์ทำปีประตูให้ทีม ด้วยลูกยิงเสียบ 3 เหลี่ยมสุดสวย
ซัวเรซวิ่งไปรอเผื่อได้บอล แต่เห็นบอลเป็นประตูไปแล้ว เลยยกมือขึ้นเฮแทน
สเตอร์ริดจ์หันกลับมาดีใจ กัปตันวิ่งไปกอดเขา
ตอนนั้นเรารู้สึก..
"เห้ย ไอ้นี่ เป็นนักเตะเรา"
ไม่ใช่แค่นักเตะที่ใส่เสื้อสีแดงบนหน้าอกปักตราสโมสรลิเวอร์พูล
แต่เป็นคนของที่นี่จริงๆ คนของเราจริงๆ
สเตอร์ริดจ์เคยบอกว่า
เขาไม่ใช่คนหยิ่ง แม้หน้าตาจะทำให้คนรู้สึกแบบนั้น แต่เขาไม่เคยสนใจเรื่องที่คนอื่นว่าร้าย
เพราะทุกคนที่สโมสรรู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร เขาเป็นคนธรรมดาจนคุณคิดไม่ถึง
มีหลายอย่างยืนยันได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ เขาชอบนั่ง tube ไปไหนมาไหนเสมอ แทนที่จะใช้รถส่วนตัว
เขาบอกว่า เจอร์ราร์ดเป็นเจมส์ บอนด์ ไม่ใช่เพราะเคัาดูเหมือนเจมส์ บอนด์
แต่เป็นเพราะเขาทำได้ทุกอย่าง บนสนามซ้อม ในห้องแต่งตัว บนสนามจริง
เขาเป็นทุกๆอย่าง
สมัยอยู่เชลซี
เพียงเพราะอยากให้มาต้าเข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้เร็วๆ
สเตอร์ริดจ์มอบฉายา "จอห์นนี่ คิลล์" ให้มาต้า (พ้องจากชื่อสเปนของมาต้า)
นอกจากจะเรียก ฆวน หลายคนในห้องแต่งตัวยังเรียกมาต้าว่า จอห์นนี่อีกด้วย
เป็นฉายาที่มาต้าจดจำได้ขึ้นใจ เหมือนความประทับใจอย่างแรกๆในอังกฤษ
ตอนอยู่ลิเวอร์พูล
สเตอร์ริดจ์บอกว่ามีความสุขที่ได้เล่นทีมชาติในเวลาที่มีนักเตะลิเวอร์พูลเป็นตัวจริงถึง 5 คน
เขาโตมาเกมทีมชาติพร้อมๆกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง
เขากับน้องริ่งสนิทกันมาก จนเรียกได้ว่าเป็นน้องชายคนนึง
เขาเองรู้จักกับเกล็น จอห์นสันมานาน ไม่ต้องพูดถึงเจอร์ราร์ด เขาเป็นทุกๆอย่างมานานแล้ว
'ผมไม่ได้ย้ายทีมเพราะหิวเงิน ถ้าบอกว่าผมย้ายไปอยู่แต่ทีมใหญ่ๆล่ะก็
ผมย้ายเพื่อหาโอกาสในการลงเล่น
สมัยที่ผมอยู่ซิตี้ เราไม่ได้เป็นทีมที่ร่ำรวย เมื่อผมจากมา ทีมถึงร่ำรวย
ผมย้ายมาเชลซีไม่ใช่เพราะเงิน แต่เป็นเพราะพสกเขาสัญญาว่าจะให้ผมลงเล่น
ผมอยากติดตามและเรียนรู้จากดร็อกบา และ อเนลก้า
เมื่อดร็อกบาไม่อยู่ ผมหวังว่าตัวเองจะได้เล่นแทนเค้า แต่เมื่อไม่ใช่
มันไม่ได้เป็นแบบที่เคยคิด ผมขอสโมสรย้ายไปโบลตันแบบยืมตัว
ผมอยากลงเล่น ผมต้องการเล่นฟุตบอล สโมสรตกลงปล่อยตัวผมไปโบลตัน
นั่นเป็นประสบการณ์ที่สุดยอด ผมได้เล่นแบบที่ผมต้องการ
ผมอยากขอบคุณที่ทุกคนให้ผมไปโบลตัน
มันทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์อันยอดเยี่ยมจริงๆ
เมื่อผมกลับมา โบอาสให้ผมลงเล่นมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่แบบที่ผมคิด
ผมเองรู้สึกตกต่ำมาก รู้สึกแย่กับตัวเอง
ตอนคุณเป็นเด็ก คุณอยากจะเล่นฟุตบอลไปเรื่อยๆจนกว่าแม่จะเรียก
ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่เคยพอ ผมยังเป็นแบบนั้นอยู่
ตอร์เรสและเบนายูนพูดไว้เหมือนๆกัน ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่สุดยอด
เป็นสโมสรที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยอยู่
แฟนๆจะทำให้เรารู้สึกมหัศจรรย์
กับลิเวอร์พูลเราตั้งเป้าหมายที่การไปเล่นแชมเปี้ยนลีกส์ตอนต้นฤดูกาล
แต่ทุกวันนี้เราเลยจุดนั้นมาแล้ว หลายคนบอกว่า เราจะคว้าแชมป์ลีกส์
ผมคิดแบบนั้นอยู่ตลอด และจะทำให้ได้ด้วย.."
สเตอร์ริดจ์บอกว่า เขาไม่ได้ย้ายมาที่นี่เพราะต้องการเงิน หรือเหรียญรางวัล
สมัยอยู่เชลซี เขาได้แชมป์ลีก, แชมป์เปี้ยนลีกส์ และ เอฟเอคัพ อีก 2 สมัย
พูดง่ายๆว่าเขาได้มาหมดทุกถ้วยแล้ว
ที่ต้องต้องการคือ แค่ทำความฝันตัวเอง
การได้เล่นฟุตบอลแบบที่ต้องการ
และที่นี่ทำให้มันกลายเป็นจริง
"Perfect fit for me
มันจะมีนักเตะคนนึงที่เราไม่ค่อยชอบเสมอ
และสำหรับบางคน ... กว่าจะรู้ตัว
เราก็หลงรักเขาไปแล้วเรียบร้อย
ขอบคุณที่มาอยู่กับเรานะ
Daniel Sturridge
[Liverpool] ไม่รู้เป็นเหมือนกันไหม ... ในทีมที่เราเชียร์ ... มันมักจะมีนักเตะที่เราไม่ค่อยชอบเสมอ ...
ในทีมที่เราเชียร์ ... มันมักจะมีนักเตะที่เราไม่ค่อยชอบเสมอ ...
เราเป็นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะกับลิเวอร์พูล
จริงๆเราเป็นคนไม่เรื่องมาก และเป็นแฟนบอลที่ขี้เกียจพอสมควร
คือ มีให้ดูก็ดู ซื้อใครมาก็ซื้อ จ้างใครมาเป็นโค้ชก็จ้างไปเถอะ
ไม่ค่อยต่อต้าน หรือ นึกอยากได้คนนั้นคนนี้มาแทน
ต่อให้ไอ้ที่เล่นอยู่ หรือ ไอ้ที่คุมอยู่จะแย่ขนาดไหน
ใจก็ยังคิดว่า
"เออ ... ช่างเถอะ เชียร์ไปเรื่อยๆแบบนี้หล่ะ ... "
ทุกปีในตลาดซื้อขาย เราเลยไม่เคยนึกอยากได้ใครเป็นพิเศษ
ฤดูกาลทีผ่านมาก็เหมือนเดิม เรามีข่าวกับนักเตะหลายคน ทั้งไอ้ีที่ดังและไม่ดัง
แต่เรากลับรู้สึก ...
อืม ... จะดีเหรอวะ ...
คือเป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก
จริงๆทีมเราประสบปัญหานักเตะฟอร์มกากมาตลอด
โดยเฉพาะ 2-3 ฤดูกาลหลัง
ซื้อนักเตะมาใช้ไม่ถูกจุด,ซื้อมาแพง,เล่นไม่คุ้ม
ดูไป ... เบื่อไป ... บ่นมันไป ... ด่ามันไป ...
แต่ถามว่า จะให้เอาใครมาแทนไอ้พวกอ่อนๆเหล่านี้ดี
บอกเลยว่า... "คิดไม่ออก"
อันที่จริง ไม่เคยคิดว่าอยากได้ใครมาแทนด้วยซ้ำ
ไม่รู้เป็นเหมือนกันไหม ...
มีนักเตะหลายคนที่เราเห็นแล้วรู้สึกไม่ถูกชะตา
อย่างมาชเชอเราโน ... ครอมแคม (เราเรียกไอ้ครองแครงตลอด) ... ดาวนิ่ง ... จอนโจ้
เท่าที่ผ่านมาก็มี 4 คนนี้ที่เราคิดออกได้ัทันที ถ้าถามว่าไม่ค่อยชอบขี้หน้าใคร
แต่มันก็แปลกตรงที่...
ตอนที่ 4 คนนี้อยู่กับทีม เราไม่เคยคิดอยากได้ใครมาแทนเลย
ความรู้สึกคือ ... ไม่ว่าใครพอสวมเสื้อแดงแล้วเรารู้สึกรักไปซะหมด
มันก็ค่อนข้างย้อนแย้งนะ
เราอาจจะคิดไปเองนะ แต่เมื่อใครสวมเสื้อทีมเราแล้ว
เขาจะเป็นนักเตะของเราไปตลอด เป็นสมาชิกครอบครัวคนนึง
ฟังดูเว่อร์ๆ แต่เราก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
และรู้สึกแบบนี้มานานมาก
ทุกวันนี้พอทีมไปเล่นเจอนักเตะแบบ ปีเตอร์ เคร้าซ์ หรือ รีเซ่
เรายังแอบน้ำตาซึมๆเลย คือ ภาพตอนพวกเขาอยู่ทีมเรามันย้อนมาหมด
ตอนรีเซ่ เอาเสื้อมาให้เจอร์ราร์ดเซนต์
เราก็คิดว่า .. กลับมาอยู่ด้วยกันก็ได้นะ
ตอนดูบอลเยอรมัน เห็นฮูเปียคุมเลเวอร์ฯ
เรายังรู้สึก .. นั่นมันนานแล้วจริงๆสินะ
ตอนเห็นอลอนโซ อินสตราแกรมว่า กำลังเชียร์ ลิเวอร์พูลอยู่บ้านที่สเปน
เราก็คิดถึง ... ตอนที่แฟนๆทำเพลง Welcome Home ให้คุณชาย ที่นี่ต้อนรับคุณเสมอ
ตอนเราอ่านคอลัมน์ของ หลุยส์ กาเซียในนิตยสาร ลิเวอร์พูล
เราคิดไม่ออกว่า .. กาเซีย ออกจากทีมเราไปนานแค่ไหน
เพราะเหมือนเค้าอยู่กับเราตลอดเลย...
ตอนเคร็ก เบลลามี่ บอกจะรีไทร์
เรายังน้ำตาไหลเลย ทั้งที่ตอนแกอยู่ เป็นนักเตะเจ้าปัญหาพอๆกับซัวเรซ (อาจจะยิ่งกว่า)
แต่เราแค่รู้สึกว่า "..อะไรวะพี่ พี่จะรีบไปไหน.."
ฟินแนนเป็นนักเตะอีกคนที่เราชอบมาก ..
ตอนพี่แกเจอดีลฟ้าผ่า เราเองก็ช็อคมาก
มาจนถึงตอนนี้ มานั่งนึกถึงภาพวันเก่าๆ ยังน้ำตาซึมๆเลย
มันมียุคที่เราไม่มีถ้วย แต่เราก็มีทีม ...
ระหว่างนั้น มันก็มีนักเตะที่เราทั้งชอบและไม่ชอบ
เข้ามาและจากไป
บางคนยังอยู่ เราเองก็ยังอยู่ .. รอคนใหม่ๆเข้ามาเหมือนทุกๆปี
ไม่รู้เป็นเหมือนกันไหม ...
ตอนที่ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ย้ายเข้ามา
เราไม่ค่อยถูกชะตากับหมอนี่เลยจริงๆ
อาจเพราะมาจากทีมในลีกเดียวกัน และเป็นทีมท็อปๆด้วย
สเตอร์ริดจ์มาอยู่กับทีมตอนตลาดฤดูหนาวฤดูกาลที่แล้ว
ด้วยสไตล์เรา ไม่ชอบ ก็เฉยๆ ไม่ได้อยากไล่
ใครใส่เสื้อเราถือเป็นคนของเรา
ฤดูกาลที่แล้ว เราเลยค่อนข้างเฉยๆกับสเตอร์ริดจ์มาก
ไม่ชอบ แต่ก็ไม่เกลียด
ฤดูกาลนี้ เราเริ่มต้นฤดูกาลแบบที่ไม่มีหลุยส์ ซัวเรซ
หน้าเป้าอีกตัวที่มีคือ ยาโก้ อัสปาส ซึ่ง ร็อดเจอร์ก็ยังไม่วางใจให้ลงเล่นบ่อยนัก
สเตอร์ริดจ์เลยรับหน้าที่ปั่นสกอร์เสียส่วนใหญ่
โอเค ... สเตอร์ริดจ์ยิงให้ทีมทุกนัด เก็บ 3 แต้มมาได้เกือบตลอด
แต่อย่างว่าอ่ะนะ ... คนไม่ใช่ ทำอะไรก็ผิด
ตอนนั้นเรามองว่า "สเตอร์ริดจ์ก็เหมือนเล่นรอซัวเรซกลับมา"
หลายคนนั่งนับวันรอซัวเรซกลับมา แม้สเตอร์ริดจ์ยังคงปั่นสกอร์ให้ต่อเนื่อง
เราเองเป็นหนึ่งในนั้น ยิ่งเห็นพี่หลุยส์นั่งดูบอลจากบนสแตนด์ยิ่งอยากให้แกกลับมาเร็วๆ
"สเตอร์ริดจ์ ... เองยิงรอพี่หลุยส์ไปก่อนละกัน"
พอพี่หลุยส์กลับมานัดแรกในเกมแดงเดือดของถ้วยลีกส์คัพ
ร็อดเจอร์สเปลี่ยนไปเล่น 3-5-2 หน้าเป้า 2 ตัว
เกมนัดเราแพ้แมนฯยู ตกรอบ การเล่นของซัวเรซยังดูเกร็งๆอยู่บ้าง
เพราะเจอพักมานาน ... สเตอร์ริดจ์เองก็ดูจะอึดอัดยามเล่นเป็นหน้าคู่
หลังจากนั้น เราก็เก็บประตูได้มากกว่าที่เคย
ตอนมีแค่สเตอร์ริดจ์ เรามักชนะด้วยสกอร์ 1-2 ลูก
แต่พอซัวเรซกลับมา เรายิงได้มากกว่าเดิม วันที่ซัวเรซแฮทริค สเตอร์ริดจ์เองก็ช่วยซัวเรซยิง
จนเกิดเป็นคำเรียก คู่หู SAS
แรกๆมันก็มีปัญหาหลายอย่าง ...
ร็อดเจอร์สยังคงยืนยันให้สเตอร์ริดจ์และซัวเรซลงคู่กัน
ทั้งในแผน 3-5-2,3-4-1-2 และ 4-4-2
ปัญหาที่ว่าคือ แม้ 2 คนนี้จะช่วยกันยิงก็จริง .. แต่ก็มีบางครั้งที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว
เลือกยิงเองแทนที่จะส่งให้เพื่อน
หลายครั้งพลาดสกอร์เพราะความอยากเด่นของตัวเอง
สเตอร์ริดจ์เองก็เจอโจมตีในลักษณะนี้มาตลอดในระยะหลังๆ
อันที่จริง สเตอร์ริดจ์เจอปัญหานี้มาตั้งแต่สมัยเขาอยู่เชลซีแล้ว
เราเองเริ่มชอบสเตอร์ริดจ์ขึ้นมาแล้วในช่วงหลังๆมานี้ (เริ่มชอบเฮนโด้ด้วยเหมือนกัน)
เรามีโรคแปลกๆอีกอย่าง คือ หูเบามาก
ไม่ว่ากัปตันบอกว่า ใครดี เราก็จะคิดว่าคนนั้นดีจริงๆ ทุกครั้ง
ไม่ว่ากัปตันพูดอะไร เราเชื่อหมด ...
พอกัปตัน เอออวยสเตอร์ริดจ์ให้ฟังบ่อยๆ
เราก็เริ่มเคลิ้ม
"ไอ้หริดมันต้องเป็นเด็กดีแน่ๆเลย แค่ความมุ่งมั่นกับเกมมากเกินไป"
ทุกครั้งเวลาแข่งเสร็จ
สเตอร์ริดจ์จะอัพอินสตราแกรม ...
บอกความรู้สึกในเกมนั้นๆ ดีใจ เสียใจ .. ยิ่งใหญ่ .. ไม่ลืมเลือน .. อะไรก็ว่าไป
เกมล่าสุด เราได้เห็นการเล่นของหลุยส์ ซัวเรซ และ สเตอร์ริดจ์ที่ดูจะไม่เข้าขากันอย่างแรง
มีหลายลูกที่ หลุยส์ควรผ่านบอลให้สเตอร์ริดจ์ แต่ดันเลือกยิงเอง
แม้แต่ตอนที่หลุยส์หันไปบ่นสเตอร์ริดจ์ที่ดีดบอลให้แรงเกินไป
จนมันไปโดนหน้าขาแทนที่จะเป็นเท้า
ทำให้เราพลาดสกอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า
สเตอร์ริดจ์บนสนาม ไม่ได้อยู่ในสถานะที่โวยวายใครได้
แม้เขาจะถูกบ่นจากคู่หูหลายครั้ง แต่เมื่อถูกตัดโอกาส แดเนียลก็ไม่เคยออกอาการให้เห็น
ลูกแรกที่ซัวเรซเลือกยิงเอง แทนที่จะส่งให้สเตอร์ริดจ์ที่โบกมือขอบอล
หลุยส์ยิงเองและพลาด .. แดเนียลไม่ว่าอะไร หลุยส์โบกมือขอโทษให้ครั้งนึง
โอกาสมีมากมาย แต่คู่หู SAS ก็ทำมันไม่ได้
มันไม่ใช่เนื่องการหมั่นไส้ หรือการไม่ไว้วางใจกัน
แต่เป็นเรื่องของความมุ่งมั่น
ซัวเรซและสเตอร์ริดจ์ให้สัมภาษณ์เสมอ ว่า "มันไม่มีอะไรนอกจาก เราต่างอยากทำเพื่อทีม"
เมื่อเป็นสกอร์ได้ เราก็อยากทำประตูเอง
บนสนามมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย มีหลายอย่างที่เราคิดไม่ถึง
สเตอร์ริดจ์ถูกเปลี่ยนตัวออกในท้ายครึ่งหลัง ด้วยเหตุผลทางด้านแทคติค
โดยเป็นราฮีม สเตอร์ลิงที่ลงมาแทน
นัดนี้เป็นนัดที่ 31 ท้ายฤดูกาลเข้าไปแล้ว แต่เราก็พึ่งรู้สึกตัว ...
ที่ผ่านมาเราไม่เคยมองว่าสเตอร์ริดจ์เป็นผู้เล่นคนสำคัญเลย
ในที่นี้หมายถึง สำคัญในความหมายเดียวกับซัวเรซ และ เจอร์ราร์ด
เกมนี้ สเตอร์ริดจ์ทำปีประตูให้ทีม ด้วยลูกยิงเสียบ 3 เหลี่ยมสุดสวย
ซัวเรซวิ่งไปรอเผื่อได้บอล แต่เห็นบอลเป็นประตูไปแล้ว เลยยกมือขึ้นเฮแทน
สเตอร์ริดจ์หันกลับมาดีใจ กัปตันวิ่งไปกอดเขา
ตอนนั้นเรารู้สึก..
"เห้ย ไอ้นี่ เป็นนักเตะเรา"
ไม่ใช่แค่นักเตะที่ใส่เสื้อสีแดงบนหน้าอกปักตราสโมสรลิเวอร์พูล
แต่เป็นคนของที่นี่จริงๆ คนของเราจริงๆ
สเตอร์ริดจ์เคยบอกว่า
เขาไม่ใช่คนหยิ่ง แม้หน้าตาจะทำให้คนรู้สึกแบบนั้น แต่เขาไม่เคยสนใจเรื่องที่คนอื่นว่าร้าย
เพราะทุกคนที่สโมสรรู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร เขาเป็นคนธรรมดาจนคุณคิดไม่ถึง
มีหลายอย่างยืนยันได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ เขาชอบนั่ง tube ไปไหนมาไหนเสมอ แทนที่จะใช้รถส่วนตัว
เขาบอกว่า เจอร์ราร์ดเป็นเจมส์ บอนด์ ไม่ใช่เพราะเคัาดูเหมือนเจมส์ บอนด์
แต่เป็นเพราะเขาทำได้ทุกอย่าง บนสนามซ้อม ในห้องแต่งตัว บนสนามจริง
เขาเป็นทุกๆอย่าง
สมัยอยู่เชลซี
เพียงเพราะอยากให้มาต้าเข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้เร็วๆ
สเตอร์ริดจ์มอบฉายา "จอห์นนี่ คิลล์" ให้มาต้า (พ้องจากชื่อสเปนของมาต้า)
นอกจากจะเรียก ฆวน หลายคนในห้องแต่งตัวยังเรียกมาต้าว่า จอห์นนี่อีกด้วย
เป็นฉายาที่มาต้าจดจำได้ขึ้นใจ เหมือนความประทับใจอย่างแรกๆในอังกฤษ
ตอนอยู่ลิเวอร์พูล
สเตอร์ริดจ์บอกว่ามีความสุขที่ได้เล่นทีมชาติในเวลาที่มีนักเตะลิเวอร์พูลเป็นตัวจริงถึง 5 คน
เขาโตมาเกมทีมชาติพร้อมๆกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง
เขากับน้องริ่งสนิทกันมาก จนเรียกได้ว่าเป็นน้องชายคนนึง
เขาเองรู้จักกับเกล็น จอห์นสันมานาน ไม่ต้องพูดถึงเจอร์ราร์ด เขาเป็นทุกๆอย่างมานานแล้ว
'ผมไม่ได้ย้ายทีมเพราะหิวเงิน ถ้าบอกว่าผมย้ายไปอยู่แต่ทีมใหญ่ๆล่ะก็
ผมย้ายเพื่อหาโอกาสในการลงเล่น
สมัยที่ผมอยู่ซิตี้ เราไม่ได้เป็นทีมที่ร่ำรวย เมื่อผมจากมา ทีมถึงร่ำรวย
ผมย้ายมาเชลซีไม่ใช่เพราะเงิน แต่เป็นเพราะพสกเขาสัญญาว่าจะให้ผมลงเล่น
ผมอยากติดตามและเรียนรู้จากดร็อกบา และ อเนลก้า
เมื่อดร็อกบาไม่อยู่ ผมหวังว่าตัวเองจะได้เล่นแทนเค้า แต่เมื่อไม่ใช่
มันไม่ได้เป็นแบบที่เคยคิด ผมขอสโมสรย้ายไปโบลตันแบบยืมตัว
ผมอยากลงเล่น ผมต้องการเล่นฟุตบอล สโมสรตกลงปล่อยตัวผมไปโบลตัน
นั่นเป็นประสบการณ์ที่สุดยอด ผมได้เล่นแบบที่ผมต้องการ
ผมอยากขอบคุณที่ทุกคนให้ผมไปโบลตัน
มันทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์อันยอดเยี่ยมจริงๆ
เมื่อผมกลับมา โบอาสให้ผมลงเล่นมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่แบบที่ผมคิด
ผมเองรู้สึกตกต่ำมาก รู้สึกแย่กับตัวเอง
ตอนคุณเป็นเด็ก คุณอยากจะเล่นฟุตบอลไปเรื่อยๆจนกว่าแม่จะเรียก
ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่เคยพอ ผมยังเป็นแบบนั้นอยู่
ตอร์เรสและเบนายูนพูดไว้เหมือนๆกัน ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่สุดยอด
เป็นสโมสรที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยอยู่
แฟนๆจะทำให้เรารู้สึกมหัศจรรย์
กับลิเวอร์พูลเราตั้งเป้าหมายที่การไปเล่นแชมเปี้ยนลีกส์ตอนต้นฤดูกาล
แต่ทุกวันนี้เราเลยจุดนั้นมาแล้ว หลายคนบอกว่า เราจะคว้าแชมป์ลีกส์
ผมคิดแบบนั้นอยู่ตลอด และจะทำให้ได้ด้วย.."
สเตอร์ริดจ์บอกว่า เขาไม่ได้ย้ายมาที่นี่เพราะต้องการเงิน หรือเหรียญรางวัล
สมัยอยู่เชลซี เขาได้แชมป์ลีก, แชมป์เปี้ยนลีกส์ และ เอฟเอคัพ อีก 2 สมัย
พูดง่ายๆว่าเขาได้มาหมดทุกถ้วยแล้ว
ที่ต้องต้องการคือ แค่ทำความฝันตัวเอง
การได้เล่นฟุตบอลแบบที่ต้องการ
และที่นี่ทำให้มันกลายเป็นจริง
"Perfect fit for me
มันจะมีนักเตะคนนึงที่เราไม่ค่อยชอบเสมอ
และสำหรับบางคน ... กว่าจะรู้ตัว
เราก็หลงรักเขาไปแล้วเรียบร้อย
ขอบคุณที่มาอยู่กับเรานะ
Daniel Sturridge