จากมติชนสุดสัปดาห์ คอลัมน์สำเริงคดี ผู้เขียน ทรงวาด
อาการไม่กินเส้นกันของ แบรด พิตต์ (50) กับ ทอม ครูซ (51) เกิดขึ้นตั้งกะเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนที่พวกเขาร่วมแสดงในหนัง INTERVIEW WITH THE VAMPIRE
หลังจากนั้น สองพระเอกก็ไม่ยอมเล่นหนังประกบกันอีก
เมื่อปี 1994 หลังปิดกล้อง INTERVIEW WITH THE VAMPIRE ไปแล้ว แบรดเคยบอกว่าเขา
เกลียด หนังเรื่องนี้ และไม่ชอบบุลคิกของใครบางคน
"เขาคอยกวนประสาทผมอยู่เรื่อย" แบรดพูดถึงผู้ร่วมแสดง "แล้วเมื่อถึงจุดนึง ผมก็รู้สึกเคืองเขาจริงๆ เขาเป็นขั้วโลกเหนือ ไอ้ผมน่ะขั้วโลกใต้ เขาเป็นประเภทชอบตั้งใจเข้ามาหาคุณ ขณะที่ผมอาจพบคุณโดยบังเอิญมากกว่า" แบรดเม้าธ์ต่อ "ลึกลงไปแล้วมันมีการชิงดีชิงเด่นอยู่ตลอดเวลาของการพูดคุยที่ดูเหมือนสนุกสนาน"
ฝ่ายทอมเองก็รูสึกถูกคุกคามด้วยความสำเร็จอย่างรวดเร็วของแบรดในห้วงเวลาที่ผ่านมา
พระเอกเสือเตี้ยซึ่งสูง 170 ซ.ม. ต้องเพิ่มรองเท้าบู๊ตของเขาให้สูงขึ้นอีก 5 ซ.ม. เพื่อให้ใกล้เคียงกับความสูง 180 ซ.ม. ของแบรดด้วย
ระยะเวลายาวนานถึง 2 ทศวรรษ ไม่ได้ทำให้ความขุ่นข้องระหว่างกันลดลง
เมื่อปี 2008 แบรดเคยวิจารณ์หนังนาซีที่ทอมรับบทนำเรื่อง VALKYRIE ว่าเป็น "หนังพิลึก" ขณะที่หนังนาซีเรื่อง INGLOURIOUS BASTARD ที่เขาเล่นนั้นเรื่องราวเหนือกว่า และประสบผลสำเร็จด้านรายได้มากกว่าด้วย
ความเคืองใจไม่ได้จบอยู่แค่สองพระเอก เพราะคู่ชีวิตของแบรด คือ แองเจลีนา โจลี บังเอิญทำให้ทอมหลุดโผนักแสดงของเรื่อง SALT เนื่องจากมีการเปลี่ยนบทนำจากดาราชายไปเป็นฝ่ายหญิง เพราะโปรดิวเซอร์ที่ไปได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างในวงการ เกิดหวาดผวาว่าทอมจะใช้บารมีซุป'ตาร์ และเงินทองของเขาเข้ามาก้าวก่ายงานควบคุมการสร้าง
"ทอมอยากเล่นบทนั้นจริงๆ และไม่พอใจมากที่ทีมงานเปลี่ยนบทนำจากพระเอกไปเป็นนางเอกแทน" เพื่อนคนหนึ่งของเขาบอกกับ National Enquirer
และในรายงานข่าวเดียวกัน ปฏิกิริยาของแบรดหลังรับรู้เรื่องนี้ก็คือการเรียกขานทอมว่า "Dr.Strange"
ทว่า บัดนี้สองพระเอกเก๋าที่ย่างเข้าวัยกลางคน ความเจิดจ้าอย่างซุป'ตาร์ของพวกเขาเริ่มลดแรงจรัสลง
พวกเขาจึงยอมกลับมาปะทะบทเชือดเฉือนกันในหนังแข่งรถเรื่องใหม่ GO LIKE HELL โดยต่างก็อยากทำให้มันประสบความสำเร็จ
ทั้งอยากมีส่วนร่วมในการควบคุมสร้างสรรค์ หวังเปล่งรัศมีให้กับตัวเองอีกหน เพื่อยืดเวลาขาลงของตัวเองอออกไป
จึงไม่แน่ใจว่าถ้าจะมีการปะทะงัดข้อกันอีกระหว่างถ่ายทำ ก็อาจเป็นแค่กลเม็ดแบบนักมวยปล้ำที่ใช้เร้าความตื่นตาตื่นใจของแฟนหนังก็เป็นได้
เหตุที่แบรด พิตต์ ไม่กินเส้นกับ ทอม ครูซ!?
อาการไม่กินเส้นกันของ แบรด พิตต์ (50) กับ ทอม ครูซ (51) เกิดขึ้นตั้งกะเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนที่พวกเขาร่วมแสดงในหนัง INTERVIEW WITH THE VAMPIRE
หลังจากนั้น สองพระเอกก็ไม่ยอมเล่นหนังประกบกันอีก
เมื่อปี 1994 หลังปิดกล้อง INTERVIEW WITH THE VAMPIRE ไปแล้ว แบรดเคยบอกว่าเขา เกลียด หนังเรื่องนี้ และไม่ชอบบุลคิกของใครบางคน
"เขาคอยกวนประสาทผมอยู่เรื่อย" แบรดพูดถึงผู้ร่วมแสดง "แล้วเมื่อถึงจุดนึง ผมก็รู้สึกเคืองเขาจริงๆ เขาเป็นขั้วโลกเหนือ ไอ้ผมน่ะขั้วโลกใต้ เขาเป็นประเภทชอบตั้งใจเข้ามาหาคุณ ขณะที่ผมอาจพบคุณโดยบังเอิญมากกว่า" แบรดเม้าธ์ต่อ "ลึกลงไปแล้วมันมีการชิงดีชิงเด่นอยู่ตลอดเวลาของการพูดคุยที่ดูเหมือนสนุกสนาน"
ฝ่ายทอมเองก็รูสึกถูกคุกคามด้วยความสำเร็จอย่างรวดเร็วของแบรดในห้วงเวลาที่ผ่านมา
พระเอกเสือเตี้ยซึ่งสูง 170 ซ.ม. ต้องเพิ่มรองเท้าบู๊ตของเขาให้สูงขึ้นอีก 5 ซ.ม. เพื่อให้ใกล้เคียงกับความสูง 180 ซ.ม. ของแบรดด้วย
ระยะเวลายาวนานถึง 2 ทศวรรษ ไม่ได้ทำให้ความขุ่นข้องระหว่างกันลดลง
เมื่อปี 2008 แบรดเคยวิจารณ์หนังนาซีที่ทอมรับบทนำเรื่อง VALKYRIE ว่าเป็น "หนังพิลึก" ขณะที่หนังนาซีเรื่อง INGLOURIOUS BASTARD ที่เขาเล่นนั้นเรื่องราวเหนือกว่า และประสบผลสำเร็จด้านรายได้มากกว่าด้วย
ความเคืองใจไม่ได้จบอยู่แค่สองพระเอก เพราะคู่ชีวิตของแบรด คือ แองเจลีนา โจลี บังเอิญทำให้ทอมหลุดโผนักแสดงของเรื่อง SALT เนื่องจากมีการเปลี่ยนบทนำจากดาราชายไปเป็นฝ่ายหญิง เพราะโปรดิวเซอร์ที่ไปได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างในวงการ เกิดหวาดผวาว่าทอมจะใช้บารมีซุป'ตาร์ และเงินทองของเขาเข้ามาก้าวก่ายงานควบคุมการสร้าง
"ทอมอยากเล่นบทนั้นจริงๆ และไม่พอใจมากที่ทีมงานเปลี่ยนบทนำจากพระเอกไปเป็นนางเอกแทน" เพื่อนคนหนึ่งของเขาบอกกับ National Enquirer
และในรายงานข่าวเดียวกัน ปฏิกิริยาของแบรดหลังรับรู้เรื่องนี้ก็คือการเรียกขานทอมว่า "Dr.Strange"
ทว่า บัดนี้สองพระเอกเก๋าที่ย่างเข้าวัยกลางคน ความเจิดจ้าอย่างซุป'ตาร์ของพวกเขาเริ่มลดแรงจรัสลง
พวกเขาจึงยอมกลับมาปะทะบทเชือดเฉือนกันในหนังแข่งรถเรื่องใหม่ GO LIKE HELL โดยต่างก็อยากทำให้มันประสบความสำเร็จ
ทั้งอยากมีส่วนร่วมในการควบคุมสร้างสรรค์ หวังเปล่งรัศมีให้กับตัวเองอีกหน เพื่อยืดเวลาขาลงของตัวเองอออกไป
จึงไม่แน่ใจว่าถ้าจะมีการปะทะงัดข้อกันอีกระหว่างถ่ายทำ ก็อาจเป็นแค่กลเม็ดแบบนักมวยปล้ำที่ใช้เร้าความตื่นตาตื่นใจของแฟนหนังก็เป็นได้