26 มี.ค.57 แฉ..ขีปนาวุธมืดสอยเที่ยวบินมรณะ สู่การให้แร้งรุมจิกกินศพแทนเผา
แม้ว่าเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ER เที่ยวบิน MH370 จะหายไปเกือบ 20 วันแล้ว แต่มาเลย์เอง กลับยังอ้ำอึ้งๆ ที่จะบอกความจริงกับญาติผู้โดยสาร ครั้งก่อนเผยการตรวจวัด Doppler effect ของสัญญาณดาวเทียมจาก บ.อินมาร์แซท ของอังกฤษ ที่เครื่องบินลำนี้ได้ “ บินในวิถีโค้งจากเหนือลงใต้ “ เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ชั่วโมง พบสัญญาณ ping ครั้งสุดท้ายที่ทิศไต้ของมหาสมุทรอินเดีย มีระยะห่างจากเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลีย ราว 2,400 กิโลเมตร ครานี้เผยภาพถ่ายจากดาวเทียมอีก 2 หน่วยงาน คือ
1. ฝ่ายการทหารและเทคโนโลยีอวกาศของแอร์บัสกรุ๊ป สามารถพบวัตถุปริศนา 122 ชิ้น วัตถุบางชิ้นมีสีอ่อนสว่าง และเป็นของแข็ง บางชิ้นมีความยาว 1 เมตร ขณะที่ชิ้นอื่นๆ มีความยาวถึง 23 เมตร ลอยอยู่ในพื้นที่ 400 ตาราง กม. ในตอนไต้มหาสมุทรอินเดีย อยู่ห่างจากเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลียไปราว 2,557 กิโลเมตร
2. ดาวเทียมไทยโชต ที่หมุนรอบโลก ของจิสด้า ประเทศไทย มีขีดความสามารถถ่ายภาพได้ทั้งโลก ได้บันทึกภาพเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2557 เวลา 10.00 น.ตามเวลาประเทศไทย พบวัตถุลอยน้ำขนาดยาว 2 - 20 เมตร กว้าง 2 - 6 เมตร มีจำนวนมากกว่า 300 ชิ้น ในมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย ห่างฝั่งจากเมืองเพิร์ธ ประมาณ 2,700 กม. การถ่ายด้วยดาวเทียมแบบนี้ ค่าความคลาดเคลื่อนจะไม่เกิน 5 กม.
จากตำแหน่งที่พบล่าสุดนี้ มีข้อที่พิจารณาน่าสนใจต่อไปคือ
- โดยปกติในมหาสมุทรที่อยู่ห่างจากฝั่งมากขนาดนั้น ไม่ควรจะมีวัตถุแบบนี้ลอยอยู่อย่างแน่นอน วัตถุนี้ต้องเกิดจากมนุษย์แน่ๆ ถ้าไม่ใช่ซากเรือที่เคยล่มขนาดใหญ่ ก็ต้องเป็นซากเครื่องบิน คงไม่ใช้ซาก M79 ที่กองกำลังก่อการร้ายสากล ของแก๊งค์อั้งยี่แดง ที่ยิงโปรยไปทั่วเหมือนหมู่บ้านกระสุนตกปี 53 และ ปี 57 แน่ๆ
- ถ้าดูตรงพิกัดระบุบริเวณนี้ การกู้ซากเครื่องบิน หรือค้นหากล่องดำ (ถ้ายังอยู่) จะยากลำบากขึ้นสุดๆ เพราะตรงแถวนี้มันลึกมากถึงราว ราว 3,000 - 3,500 เมตร แถวนี้มนุษย์ไม่เคยมีการสำรวจหรือทำแผนที่โดยละเอียดมาก่อนเลย เป็นเหมือนแดนสนธยา และจะต้องเจออุปสรรคใหญ่ คือ เป็นแนวภูเขาไฟใต้ทะเล มีความขรุขระ คดโค้ง เต็มไปด้วยร่องขนาดเล็ก และยังไม่มีดินตะกอนทับถมมากนัก เพราะเป็นพื้นที่เกิดใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอยู่ตลอดเวลา ตามการไหลของแมกมาภูเขาไฟ ที่มีพลังมาก เพราะเป็นจุดที่แผ่นเปลือกโลกมาชนกันพอดี
- หากซากเครื่องบิน หรือกล่องดำ (ถ้ามีเหลือ) ไปตกบริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก ใต้ทะเลลึก ดังนั้นคาดว่าจะต้องอาศัยเทคโนโลยีแผนที่ 3 มิติ (3D mapping) โดยอาจจะใช้เรือที่ติดตั้งเครื่องมือสำรวจความลึก (Multibeam echo sounders) ตอนนี้ผ่านมาแล้วราว 20 วัน แบตเตอรีในกล่องดำ (ถ้าเหลือจริง) จะส่งสัญญาณระบุตำแหน่งของมันเป็นเวลา 30 วัน หลังจากสัมผัสกับน้ำ หลังจากนี้ก็หมดสภาพไป แล้วเวลาที่เหลือนี้จะหาเจอได้ทันหรือ แล้วจะโดนเผาเป็นจุลด้วยแมกม่าภูเขาไฟใต้ทะเลหรือไม่ มาเลย์นี่ลับๆ ล่อๆ นะนี่
- ระทางห่างจากฝั่งมากขนาดนี้ แถมกระแสลมจะแรงมาก มีพายุฝนคะนองแทบตลอดเวลา และท้องทะเลก็ต้องปั่นป่วนหนัก เครื่องบินเกิน 10 ลำ ที่บินออกไปค้นหา ครอบคลุมพื้นที่ราว 80,000 ตารางกิโลเมตร จะต้องผลัดเปลี่ยนสลับกันออกไปค้นหา และเผชิญความเสี่ยงมาก เผลอๆ มือไม่แน่จริง จะร่วงลงไปในทะเลซะเองอีกด้วย
- การกู้เครื่องบิน ต้องใช้เรือรบขนาดใหญ่มากจริงๆ และต้องใช้ เทคโนโลยีหุ่นยนต์ทันสมัยของลุงแซมช่วย การข่าวชวนขำ มาว่ากองทัพเรือลุงแซม ได้ส่งอุปกรณ์ไปช่วยค้นหากล่องดำ คือ ยานอัตโนมัติใต้น้ำ "บลูฟิน" มีความยาว 5 เมตร หนัก 800 กิโลกรัม ติดตั้งอุปกรณ์โซนาร์ ที่สามารถทำงานได้นานกว่า 24 ชั่วโมง เมื่อแล่นด้วยความเร็วต่ำ และได้ที่ความลึกถึงเกือบ 15,000 ฟุต..ขำมาก เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้เหมือนของเด็กเล่น ที่มักใช้ค้นหาแนวท่อน้ำมัน หรือท่อร้อยสาย ที่รั่วใต้ทะเล หรือค้นหาเครื่องบินตก ในที่คลื่นลมไปรุนแรงมากนัก และไม่มีแนวภูเขาไฟไต้ทะเล
- ลุงแซมถ่วงเวลาอีกแล้ว ถ้าเขาจริงใจ แค่สั่งเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ที่มีเยอะแยะ ที่จอดอยู่ที่ฐานทัพเขาที่เกาะดิเอโก กราเซีย ใกล้ๆ แถวนั้นเอง และมันก็วิ่งลาดตระเวนอยู่แถวมหาสมุทรอินเดียอยู่แล้ว หรือกลัวรัสเซียจะจับทิศพิกัดเรือดำน้ำพวกนี้ ที่ติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกล ติดหัวรบนิวเคลียร์ไว้
- ตอนนี้มันเริ่มยุ่งแล้ว เมื่อเรือตัดน้ำแข็งของจีน และสารพัดเรือ จะถูกส่งไปร่วมค้นหาซากเครื่องบิน เพื่อสืบหาความจริงว่าเหตุใดเครื่องบินลำนี้จึงออกนอกเส้นทาง และสูญหายไป แถมนักท่องเที่ยวคนจีน และผู้มีชื่อเสียงของเขา เริ่มยกเลิก บอยคอต การเดินทางไปเที่ยวมาเลย์ไปแล้วกว่า 50% ทำให้เกิดผลกระทบรายได้เข้าประเทศเขาอย่างมาก
การข่าวที่ก่อนที่เที่ยวบินปริศนา MH370 จะหายต๋อมไปนี้ ลุงแซมมีความสนในเทคโนโลยี ไมโครคอนโทรลเลอร์ Freescale ที่เป็นไมโครชิฟขนาดเล็กจิ๋ว เซมิคอนดักเตอร์ ที่มีขนาดเล็กมาก สามารถปฏิวัติวงการอาวุธของโลก มันถูกคิดค้นโดยชาวไต้หวัน และคาดว่าจะนำเทคโนโลยีนี้ไปขายและถ่ายทอดให้กับจีน โดยมีการวางแผนให้จัดอบรมกันที่สาขามาเลย์
แผนปฏิบัติการวินาศกรรมอำพราง จัดการโดยของ CIA จึงได้เริ่มขึ้น โดยพบมีการโทรฉุกเฉินระหว่างเที่ยวบินนี้ กับเจ้าหน้าที่ลุงแซมที่พิกัดสนามบินแห่งหนึ่งของชายชุดขาวไทย ทางฝั่งตะวันตกของประเทศ แล้วต่อมามีการควบคุมเครื่องบินไปลงจอดที่เกาะดิเอโก้ กราเซีย และเอาของนี้ไป ตามที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว ( ที่
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.224217974434904.1073741953.187529244770444&type=1 )
ที่น่าฉงนอีกจุด ตามที่เคยเล่าให้ฟัง คือ เครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ER ลำนี้ใช้เครื่องยนต์โรสรอยส์ของอังกฤษ บริษัทเขาติดตั้งระบบเฉพาะของเครื่องยนต์ทุกเครื่อง เพื่อเฝ้าติดตามพิกัด และตรวจสอบการทำงาน ของเครื่องยนต์เขาตลอดเวลาอย่างละเอียด ในขณะที่ทำการบิน ผ่านระบบสื่อสารดาวเทียมโดยเฉพาะ (ระบบนี้แยกต่างหากจากกล่องดำเครื่องบิน) เขาถึงรู้ว่า MH370 ยังคงบินต่อไปอีกอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง หลังหายไปจากจอเรด้าห์..แต่ตั้งแต่เครื่องบินหายไป จนบัดนี้ มาเลย์ไม่เคยสนใจจะติดต่อขอข้อมูลพิกัดเครื่องบิน จาก บ.โรสรอยส์เลย..ประหลาดมาก
ที่ชวนให้คิดอีกจุดคือ จากภาพถ่ายดาวเทียมของแอร์บัสกรุ๊ป ที่พบ 122 ชิ้น ลอยอยู่ในพื้นที่ 400 ตาราง กม. ในตอนไต้มหาสมุทรอินเดีย อยู่ห่างจากเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลียไปราว 2,557 กิโลเมตร , ส่วนดาวเทียมไทยโชต ของไทย พบมากกว่า 300 ชิ้น ระยะจากจุดเดียวกันประมาณ 2,700 กม. ตำแหน่งหลังนี้เลยไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่มาเลเซียพิกัด ไปอีกประมาณ 200 กม. ภาพถ่ายห่างกันวันเดียว แต่มันใกล้เกาะดิเอโก กราเซีย หนักเข้าไปอีก
ถ้าดูจากขนาดชิ้นส่วน และความกว้างพื้นที่ทะเลที่ชิ้นส่วนลอยรัศมี 400 ตาราง กม. มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่เครื่องบินตกลงกระแทกน้ำทะเล และชิ้นส่วนจะแตกกระจาย เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยซะกว้างขนาดนั้น ถ้าแบบลักษณะนี้แนวทางมันคล้ายการ “สอย” ครับ คือ เมื่อนำเครื่องลงจอดที่เกาะดิเอโก กราเซีย น่าจะมีการนำศพคนตายออกจากเครื่องเอาไปทำลายก่อนแล้ว แล้วก็เทคออฟเครื่องขึ้นอีกครั้ง โดยเขาฉลาดมากที่บินมาตรงจุดพบร่องรอยนี้ เพราะตรงนี้มันแดนสนธยาชัดๆ
เขาต้องเอานักบินเขาออกมาจากเครื่องก่อน แล้วปล่อยให้บินอัตโนมัติต่อไป จากนั้นมี 2 ทาง คือ
1. ขับจนน้ำมันหมด ไปตกจุดนั้น ตามข้อมูลเดิมก่อนหน้า และชิ้นส่วนแตกกระจาย เมื่อผ่านไปเกือบ 20 วัน ชิ้นส่วนจึงลอยกระจายรัศมีกว้าง
2. อาจสอยเครื่องบินลำนี้ด้วยขีปนาวุธจากเรือดำน้ำ หรือเรือพิฆาต ของเขาที่มีเยอะแยะใกล้เคียงแถวนั้นแหละ ชิ้นส่วนมันถึงแตกเป็นชิ้นที่มีขนาดแตกต่างกันขนาดนี้ และกระจายไปในวงรัศมีกว้างเหลือเกิน เพราะมันกระจายจากบนอากาศ เมื่อชิ้นส่วนที่หนักจมไปไต้ทะเล ก็จะโดนแมกม่าจากภูเขาใต้ทะเลเผากลบอีก ไอ้ที่เหลือลอยๆ อยู่ผิวน้ำบ้างก็เป็นแค่ชิ้นเบาๆ ที่เมื่อเก็บมาได้ ก็อาจจะไม่ได้หลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก..แผนนี้แสบทรวงจริงๆ !!
สรุปแล้วจุดพิกัดเครื่องบินตก ยังคงยืนยันข้อมูลเหมือนเดิมครั้งก่อนหน้า แต่รูปแบบของการตกลงมานี่แหละ มี 2 วิธีย่อยเพิ่มขึ้นมาตามข้างบน ตามสถานการณ์และหลักฐานที่พบจริง เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องลับชนิดสุดยอด ข้อมูลจึงมีความยากลำบากมาก ในการให้ได้มาและ 100% ในเวลาเพียงเท่านี้ แต่จากที่ให้ข้อมูลมาแต่แรก ก็ถือว่าคำนวนจุดตกได้ก่อนกว่ามาเลย์ซะอีกตั้งหลายวัน
เสธ.น้ำเงิน แฉ อเมริกา สอย MH370 ทำลายหลักฐาน
แม้ว่าเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ER เที่ยวบิน MH370 จะหายไปเกือบ 20 วันแล้ว แต่มาเลย์เอง กลับยังอ้ำอึ้งๆ ที่จะบอกความจริงกับญาติผู้โดยสาร ครั้งก่อนเผยการตรวจวัด Doppler effect ของสัญญาณดาวเทียมจาก บ.อินมาร์แซท ของอังกฤษ ที่เครื่องบินลำนี้ได้ “ บินในวิถีโค้งจากเหนือลงใต้ “ เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ชั่วโมง พบสัญญาณ ping ครั้งสุดท้ายที่ทิศไต้ของมหาสมุทรอินเดีย มีระยะห่างจากเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลีย ราว 2,400 กิโลเมตร ครานี้เผยภาพถ่ายจากดาวเทียมอีก 2 หน่วยงาน คือ
1. ฝ่ายการทหารและเทคโนโลยีอวกาศของแอร์บัสกรุ๊ป สามารถพบวัตถุปริศนา 122 ชิ้น วัตถุบางชิ้นมีสีอ่อนสว่าง และเป็นของแข็ง บางชิ้นมีความยาว 1 เมตร ขณะที่ชิ้นอื่นๆ มีความยาวถึง 23 เมตร ลอยอยู่ในพื้นที่ 400 ตาราง กม. ในตอนไต้มหาสมุทรอินเดีย อยู่ห่างจากเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลียไปราว 2,557 กิโลเมตร
2. ดาวเทียมไทยโชต ที่หมุนรอบโลก ของจิสด้า ประเทศไทย มีขีดความสามารถถ่ายภาพได้ทั้งโลก ได้บันทึกภาพเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2557 เวลา 10.00 น.ตามเวลาประเทศไทย พบวัตถุลอยน้ำขนาดยาว 2 - 20 เมตร กว้าง 2 - 6 เมตร มีจำนวนมากกว่า 300 ชิ้น ในมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย ห่างฝั่งจากเมืองเพิร์ธ ประมาณ 2,700 กม. การถ่ายด้วยดาวเทียมแบบนี้ ค่าความคลาดเคลื่อนจะไม่เกิน 5 กม.
จากตำแหน่งที่พบล่าสุดนี้ มีข้อที่พิจารณาน่าสนใจต่อไปคือ
- โดยปกติในมหาสมุทรที่อยู่ห่างจากฝั่งมากขนาดนั้น ไม่ควรจะมีวัตถุแบบนี้ลอยอยู่อย่างแน่นอน วัตถุนี้ต้องเกิดจากมนุษย์แน่ๆ ถ้าไม่ใช่ซากเรือที่เคยล่มขนาดใหญ่ ก็ต้องเป็นซากเครื่องบิน คงไม่ใช้ซาก M79 ที่กองกำลังก่อการร้ายสากล ของแก๊งค์อั้งยี่แดง ที่ยิงโปรยไปทั่วเหมือนหมู่บ้านกระสุนตกปี 53 และ ปี 57 แน่ๆ
- ถ้าดูตรงพิกัดระบุบริเวณนี้ การกู้ซากเครื่องบิน หรือค้นหากล่องดำ (ถ้ายังอยู่) จะยากลำบากขึ้นสุดๆ เพราะตรงแถวนี้มันลึกมากถึงราว ราว 3,000 - 3,500 เมตร แถวนี้มนุษย์ไม่เคยมีการสำรวจหรือทำแผนที่โดยละเอียดมาก่อนเลย เป็นเหมือนแดนสนธยา และจะต้องเจออุปสรรคใหญ่ คือ เป็นแนวภูเขาไฟใต้ทะเล มีความขรุขระ คดโค้ง เต็มไปด้วยร่องขนาดเล็ก และยังไม่มีดินตะกอนทับถมมากนัก เพราะเป็นพื้นที่เกิดใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอยู่ตลอดเวลา ตามการไหลของแมกมาภูเขาไฟ ที่มีพลังมาก เพราะเป็นจุดที่แผ่นเปลือกโลกมาชนกันพอดี
- หากซากเครื่องบิน หรือกล่องดำ (ถ้ามีเหลือ) ไปตกบริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก ใต้ทะเลลึก ดังนั้นคาดว่าจะต้องอาศัยเทคโนโลยีแผนที่ 3 มิติ (3D mapping) โดยอาจจะใช้เรือที่ติดตั้งเครื่องมือสำรวจความลึก (Multibeam echo sounders) ตอนนี้ผ่านมาแล้วราว 20 วัน แบตเตอรีในกล่องดำ (ถ้าเหลือจริง) จะส่งสัญญาณระบุตำแหน่งของมันเป็นเวลา 30 วัน หลังจากสัมผัสกับน้ำ หลังจากนี้ก็หมดสภาพไป แล้วเวลาที่เหลือนี้จะหาเจอได้ทันหรือ แล้วจะโดนเผาเป็นจุลด้วยแมกม่าภูเขาไฟใต้ทะเลหรือไม่ มาเลย์นี่ลับๆ ล่อๆ นะนี่
- ระทางห่างจากฝั่งมากขนาดนี้ แถมกระแสลมจะแรงมาก มีพายุฝนคะนองแทบตลอดเวลา และท้องทะเลก็ต้องปั่นป่วนหนัก เครื่องบินเกิน 10 ลำ ที่บินออกไปค้นหา ครอบคลุมพื้นที่ราว 80,000 ตารางกิโลเมตร จะต้องผลัดเปลี่ยนสลับกันออกไปค้นหา และเผชิญความเสี่ยงมาก เผลอๆ มือไม่แน่จริง จะร่วงลงไปในทะเลซะเองอีกด้วย
- การกู้เครื่องบิน ต้องใช้เรือรบขนาดใหญ่มากจริงๆ และต้องใช้ เทคโนโลยีหุ่นยนต์ทันสมัยของลุงแซมช่วย การข่าวชวนขำ มาว่ากองทัพเรือลุงแซม ได้ส่งอุปกรณ์ไปช่วยค้นหากล่องดำ คือ ยานอัตโนมัติใต้น้ำ "บลูฟิน" มีความยาว 5 เมตร หนัก 800 กิโลกรัม ติดตั้งอุปกรณ์โซนาร์ ที่สามารถทำงานได้นานกว่า 24 ชั่วโมง เมื่อแล่นด้วยความเร็วต่ำ และได้ที่ความลึกถึงเกือบ 15,000 ฟุต..ขำมาก เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้เหมือนของเด็กเล่น ที่มักใช้ค้นหาแนวท่อน้ำมัน หรือท่อร้อยสาย ที่รั่วใต้ทะเล หรือค้นหาเครื่องบินตก ในที่คลื่นลมไปรุนแรงมากนัก และไม่มีแนวภูเขาไฟไต้ทะเล
- ลุงแซมถ่วงเวลาอีกแล้ว ถ้าเขาจริงใจ แค่สั่งเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ที่มีเยอะแยะ ที่จอดอยู่ที่ฐานทัพเขาที่เกาะดิเอโก กราเซีย ใกล้ๆ แถวนั้นเอง และมันก็วิ่งลาดตระเวนอยู่แถวมหาสมุทรอินเดียอยู่แล้ว หรือกลัวรัสเซียจะจับทิศพิกัดเรือดำน้ำพวกนี้ ที่ติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกล ติดหัวรบนิวเคลียร์ไว้
- ตอนนี้มันเริ่มยุ่งแล้ว เมื่อเรือตัดน้ำแข็งของจีน และสารพัดเรือ จะถูกส่งไปร่วมค้นหาซากเครื่องบิน เพื่อสืบหาความจริงว่าเหตุใดเครื่องบินลำนี้จึงออกนอกเส้นทาง และสูญหายไป แถมนักท่องเที่ยวคนจีน และผู้มีชื่อเสียงของเขา เริ่มยกเลิก บอยคอต การเดินทางไปเที่ยวมาเลย์ไปแล้วกว่า 50% ทำให้เกิดผลกระทบรายได้เข้าประเทศเขาอย่างมาก
การข่าวที่ก่อนที่เที่ยวบินปริศนา MH370 จะหายต๋อมไปนี้ ลุงแซมมีความสนในเทคโนโลยี ไมโครคอนโทรลเลอร์ Freescale ที่เป็นไมโครชิฟขนาดเล็กจิ๋ว เซมิคอนดักเตอร์ ที่มีขนาดเล็กมาก สามารถปฏิวัติวงการอาวุธของโลก มันถูกคิดค้นโดยชาวไต้หวัน และคาดว่าจะนำเทคโนโลยีนี้ไปขายและถ่ายทอดให้กับจีน โดยมีการวางแผนให้จัดอบรมกันที่สาขามาเลย์
แผนปฏิบัติการวินาศกรรมอำพราง จัดการโดยของ CIA จึงได้เริ่มขึ้น โดยพบมีการโทรฉุกเฉินระหว่างเที่ยวบินนี้ กับเจ้าหน้าที่ลุงแซมที่พิกัดสนามบินแห่งหนึ่งของชายชุดขาวไทย ทางฝั่งตะวันตกของประเทศ แล้วต่อมามีการควบคุมเครื่องบินไปลงจอดที่เกาะดิเอโก้ กราเซีย และเอาของนี้ไป ตามที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว ( ที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.224217974434904.1073741953.187529244770444&type=1 )
ที่น่าฉงนอีกจุด ตามที่เคยเล่าให้ฟัง คือ เครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ER ลำนี้ใช้เครื่องยนต์โรสรอยส์ของอังกฤษ บริษัทเขาติดตั้งระบบเฉพาะของเครื่องยนต์ทุกเครื่อง เพื่อเฝ้าติดตามพิกัด และตรวจสอบการทำงาน ของเครื่องยนต์เขาตลอดเวลาอย่างละเอียด ในขณะที่ทำการบิน ผ่านระบบสื่อสารดาวเทียมโดยเฉพาะ (ระบบนี้แยกต่างหากจากกล่องดำเครื่องบิน) เขาถึงรู้ว่า MH370 ยังคงบินต่อไปอีกอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง หลังหายไปจากจอเรด้าห์..แต่ตั้งแต่เครื่องบินหายไป จนบัดนี้ มาเลย์ไม่เคยสนใจจะติดต่อขอข้อมูลพิกัดเครื่องบิน จาก บ.โรสรอยส์เลย..ประหลาดมาก
ที่ชวนให้คิดอีกจุดคือ จากภาพถ่ายดาวเทียมของแอร์บัสกรุ๊ป ที่พบ 122 ชิ้น ลอยอยู่ในพื้นที่ 400 ตาราง กม. ในตอนไต้มหาสมุทรอินเดีย อยู่ห่างจากเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลียไปราว 2,557 กิโลเมตร , ส่วนดาวเทียมไทยโชต ของไทย พบมากกว่า 300 ชิ้น ระยะจากจุดเดียวกันประมาณ 2,700 กม. ตำแหน่งหลังนี้เลยไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่มาเลเซียพิกัด ไปอีกประมาณ 200 กม. ภาพถ่ายห่างกันวันเดียว แต่มันใกล้เกาะดิเอโก กราเซีย หนักเข้าไปอีก
ถ้าดูจากขนาดชิ้นส่วน และความกว้างพื้นที่ทะเลที่ชิ้นส่วนลอยรัศมี 400 ตาราง กม. มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่เครื่องบินตกลงกระแทกน้ำทะเล และชิ้นส่วนจะแตกกระจาย เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยซะกว้างขนาดนั้น ถ้าแบบลักษณะนี้แนวทางมันคล้ายการ “สอย” ครับ คือ เมื่อนำเครื่องลงจอดที่เกาะดิเอโก กราเซีย น่าจะมีการนำศพคนตายออกจากเครื่องเอาไปทำลายก่อนแล้ว แล้วก็เทคออฟเครื่องขึ้นอีกครั้ง โดยเขาฉลาดมากที่บินมาตรงจุดพบร่องรอยนี้ เพราะตรงนี้มันแดนสนธยาชัดๆ
เขาต้องเอานักบินเขาออกมาจากเครื่องก่อน แล้วปล่อยให้บินอัตโนมัติต่อไป จากนั้นมี 2 ทาง คือ
1. ขับจนน้ำมันหมด ไปตกจุดนั้น ตามข้อมูลเดิมก่อนหน้า และชิ้นส่วนแตกกระจาย เมื่อผ่านไปเกือบ 20 วัน ชิ้นส่วนจึงลอยกระจายรัศมีกว้าง
2. อาจสอยเครื่องบินลำนี้ด้วยขีปนาวุธจากเรือดำน้ำ หรือเรือพิฆาต ของเขาที่มีเยอะแยะใกล้เคียงแถวนั้นแหละ ชิ้นส่วนมันถึงแตกเป็นชิ้นที่มีขนาดแตกต่างกันขนาดนี้ และกระจายไปในวงรัศมีกว้างเหลือเกิน เพราะมันกระจายจากบนอากาศ เมื่อชิ้นส่วนที่หนักจมไปไต้ทะเล ก็จะโดนแมกม่าจากภูเขาใต้ทะเลเผากลบอีก ไอ้ที่เหลือลอยๆ อยู่ผิวน้ำบ้างก็เป็นแค่ชิ้นเบาๆ ที่เมื่อเก็บมาได้ ก็อาจจะไม่ได้หลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก..แผนนี้แสบทรวงจริงๆ !!
สรุปแล้วจุดพิกัดเครื่องบินตก ยังคงยืนยันข้อมูลเหมือนเดิมครั้งก่อนหน้า แต่รูปแบบของการตกลงมานี่แหละ มี 2 วิธีย่อยเพิ่มขึ้นมาตามข้างบน ตามสถานการณ์และหลักฐานที่พบจริง เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องลับชนิดสุดยอด ข้อมูลจึงมีความยากลำบากมาก ในการให้ได้มาและ 100% ในเวลาเพียงเท่านี้ แต่จากที่ให้ข้อมูลมาแต่แรก ก็ถือว่าคำนวนจุดตกได้ก่อนกว่ามาเลย์ซะอีกตั้งหลายวัน