เราเป็นคนนึงที่เห็นว่าการลุกให้ที่นั่งแก่คนท้อง เราทำไปด้วยหน้าที่ ไม่ได้ยินดียินร้ายนัก และรู้สึกด้วยว่าการเดินทางของคนท้อง พระสงฆ์บนรถเมล์ โดยเฉพาะเวลาเร่งด่วนสำหรับพระสงฆ์ เป็นภาระของเพื่อนร่วมทาง ซึ่งเราว่าหลายคนคิดแบบนั้น ถ้าดูจากผลที่เกิดขึ้น คือ ไม่ค่อยมีคนลุกให้คนท้องนั่ง แปลว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่คิด เพียงแต่เราอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่กล้าพูด ในพันทิบเห็นมีแต่คนเสียสละ แต่ชีวิตจริงคนท้องยืนตลอดสาย ไม่มีใครลุกให้นั่งจนต้องมาบ่นกันในนี้
แต่ถ้าวันที่เราขึ้นรถสาธารณะ บอกได้เลยว่าเราเป็นหนึ่งในคนที่ลุกให้แน่นอน
หลังจากคอมเม้นท์ไป ปรากฎว่ามีเสียงต่อต้านมากมายจากความเห็นเรา เราจึงอยากบอกให้รู้ว่า ทำไมเราถึงเห็นเป็นแค่หน้าที่
บางคนว่าเราว่าเกรียน แต่สำหรับเรา เราคิดแบบคนส่วนน้อย ซึ่งคนส่วนใหญ่80%จะคิดแบบเดียวกัน คนส่วนน้อย20%จะคิดต่างส่งผลให้คนส่วนน้อยที่ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรืออาจเป็นคนล้มละลาย อยู่ที่2ด้านของกราฟระฆังคว่ำ ไม่มีอะไรถูกผิดทั้งหมด คำตอบอยู่ที่ผลลัพธ์
ในเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่น สำหรับเรานั้น มันมีหลายระดับ
-ระดับล่างสุด คือหน้าที่ที่"ต้อง"ทำ เราแทบไม่ได้เก็บมาใส่ใจแล้วด้วยซ้ำว่านั่นคือการช่วย เพราะมันอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกประเภทที่ว่าไม่ต้องใช้ความคิดเลยว่าจะทำดีไหม ตย.เช่น การจอดรถให้คนข้ามถนน การลุกที่นั่งให้คนที่ต้องให้ในรถไฟฟ้า ช่วยสิ่งมีชีวิตให้รอดชีวิตจากเหตุเฉพาะหน้า จะเป็นคนไข้ฉุกเฉิน คนป่วย แมวตกน้ำ ฯลฯ ทำแล้วไม่ต้องคิด ไม่ต้องอวดใคร เพราะมันคือหน้าที่ที่ต้องทำ
-ระดับกลาง คือการให้โอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาสกว่า ให้เขามีโอกาสเอาตัวรอดต่อได้ อันนี้คือหน้าที่"ควร"ทำอย่างยิ่งยวด เช่น บริจาคเงินให้เด็กผ่าตัดหัวใจ บริจาคเงินเข้ามูลนิธิเด็กพิการ คนตาบอด เด็กด้อยโอกาส ทำบุญโลงศพ ขุดศพไร้ญาติ หาเงินซื้ออุปกรณ์การแพทย์ ช่วยเหลือช้างบาดเจ็บ สัตว์ป่วย ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่เราทำสม่ำเสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมา สำหรับเราแล้ว เงินที่เราใช้บริจาค เป็นเงินที่ไม่มากเลยสำหรับเรา และเราพร้อมเสมอที่จะบริจาคเงินวันไหน เมื่อไหร่ เท่าไหร่ก็ได้ โดยงบประมาณต่อครั้งอยู่ที่ 2,000-20,000 ไม่เคยจำกัดจำนวน ขอแค่เป็นองค์กรที่น่าเชื่อ ที่เงินที่เราให้จะลงไปถึงผู้รับจริงๆ อย่างปีที่ผ่านมา เราใช้เงินตรงนี้ไปประมาณเก้าหมื่นบาทเศษ และเรามีกำลังทรัพย์ที่จะให้ได้มากขึ้นทุกๆปี เพราะความมั่นคงทางการเงินในชีวิตเราสูงขึ้นเรื่อยๆตลอดทุกปีที่ผ่านไป
-ระดับบน อันนี้อนาคตที่เรา"จะ"ทำ ปณิธาณสูงสุดของเราที่เรารู้ว่าเราจะยินดีมากถ้าไปถึงจุดนั้น เราอยากเป็นผู้ให้ที่ดีต่อสังคม ให้ในสิ่งที่เป็นโอกาสแก่คนอื่นด้วยทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่เรามีในวันที่ทรัพย์สินนั้นเกินกว่าที่เราจะใช้หมด เรามั่นใจว่าหากเราตายในช่วงอายุประมาณ70ปี เงินที่เรามีมันจะมากพอที่เราจะทำเช่นนั้นได้ ด้วยระยะเวลาและผลตอบแทนทบต้นบวกกับการใช้เงินที่ถูกต้อง เราจะตอบสนองการมีชีวิตอยู่ของเราด้วยความเต็มอิ่ม มีทุกอย่างที่อยากมี ได้ทำทุกอย่างที่อยากทำ และจะยังมีเหลือเงินที่มากพอเพื่อสังคมด้วย แต่ถ้าเราตายเร็วกว่านั้น ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของเราจะก็ถูกบริจาคเข้าองค์กรการกุศลอยู่ดี
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเราถึงลุกให้คนท้องนั่งเพราะเป็นหน้าที่ ไม่ได้ด้วยความยินดี เพราะนั่นคือสิ่งที่เราทำในระดับจิตใต้สำนึก มันก็เหมือนหมอที่รักษาคนไข้ฉุกเฉิน ที่ทำได้เลยโดยไม่ต้องคิด มันทำเป็นreflex ทำแล้วก็ไม่มีใครเค้ามาอวดในเฟสบุ๊คในพันทิบหรอกว่าวันนี้ช่วยปั๊มหัวใจคนไข้ด้วย แล้วถ้าหมอคนไหนทำแบบนั้นแปลว่าเค้าช่วยชีวิตคนไข้เพื่อให้คนชื่นชม ไม่ใช่ทำเพราะเป็นหน้าที่ และเราแปลกใจมากที่มีคนว่าเราเห็นแก่ตัว ใจแคบ เป็นภาระสังคม จากการที่เราคิดแบบนี้
ทุกวันนี้ เราใช้ชีวิตแบบสบายมากๆ มีพร้อมทั้งเงิน เวลา ครอบครัว และงานที่ไม่รู้สึกว่าเป็นงาน ดังนั้นสิ่งที่เราจะให้กับคนอื่นจะออกมาในรูปของโอกาสซึ่งส่วนมากจะผ่านที่เงิน และนั่นคือสิ่งที่จำเป็นในการเข้าถึงโอกาสของคนด้อยโอกาส เงินที่เรามีแม้ยังไม่ถึงขั้นเศรษฐี แต่มันก็มากพอที่จะซื้อของหลักหลายล้านด้วยเงินสด แล้วยังมีเหลืออีกหลายเท่าของเงินที่ใช้ไป เรากินได้ทุกอย่างที่อยากกิน สั่งอาหารทุกอย่างโดยไม่เคยดูฝั่งขวาของเมนู เราซื้อของได้ทุกอย่างเท่าที่ต้องการซื้อ ย้ำว่าทุกอย่างที่ต้องการ เราซื้อได้หมด ตอนนี้ของที่อยากได้แต่ยังไม่พร้อมซื้อคือรถPorscheอย่างเดียวแล้ว เพราะซื้อแล้วเงินจะเหลือน้อยเกิน (ซึ่งส่งฝาอิชิตันอาจได้เร็วกว่าก็เป็นได้)
เราส่งเงินให้พ่อแม่ใช้สบายๆไม่มีขัดสน เราส่งเงินคืน กยศ.แทนน้องได้ทุกคน ทุกวันนี้นึกไม่ออกแล้วว่าอยากได้อะไร
สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีคือการได้ให้โอกาสแก่คนอื่น และเราบอกเลยว่าเราช่วยคนอื่นเพราะมันทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองด้วย อันที่จริงเรากำลังทำสิ่งนั้นเพื่อตัวเอง ในขณะที่ผู้รับก็ได้ประโยชน์
ชีวิตทุกวันนี้ มันดีมากแล้วสำหรับเรา และเราใช้ชีวิตตามแบบที่เราต้องการแล้ว
สืบเนื่องจากการโดนตำหนิว่าใจแคบ เห็นแก่ตัว เป็นภาระสังคม ในกระทู้แนะนำ ลุกให้ที่นั่งแก่คนท้อง
แต่ถ้าวันที่เราขึ้นรถสาธารณะ บอกได้เลยว่าเราเป็นหนึ่งในคนที่ลุกให้แน่นอน
หลังจากคอมเม้นท์ไป ปรากฎว่ามีเสียงต่อต้านมากมายจากความเห็นเรา เราจึงอยากบอกให้รู้ว่า ทำไมเราถึงเห็นเป็นแค่หน้าที่
บางคนว่าเราว่าเกรียน แต่สำหรับเรา เราคิดแบบคนส่วนน้อย ซึ่งคนส่วนใหญ่80%จะคิดแบบเดียวกัน คนส่วนน้อย20%จะคิดต่างส่งผลให้คนส่วนน้อยที่ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรืออาจเป็นคนล้มละลาย อยู่ที่2ด้านของกราฟระฆังคว่ำ ไม่มีอะไรถูกผิดทั้งหมด คำตอบอยู่ที่ผลลัพธ์
ในเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่น สำหรับเรานั้น มันมีหลายระดับ
-ระดับล่างสุด คือหน้าที่ที่"ต้อง"ทำ เราแทบไม่ได้เก็บมาใส่ใจแล้วด้วยซ้ำว่านั่นคือการช่วย เพราะมันอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกประเภทที่ว่าไม่ต้องใช้ความคิดเลยว่าจะทำดีไหม ตย.เช่น การจอดรถให้คนข้ามถนน การลุกที่นั่งให้คนที่ต้องให้ในรถไฟฟ้า ช่วยสิ่งมีชีวิตให้รอดชีวิตจากเหตุเฉพาะหน้า จะเป็นคนไข้ฉุกเฉิน คนป่วย แมวตกน้ำ ฯลฯ ทำแล้วไม่ต้องคิด ไม่ต้องอวดใคร เพราะมันคือหน้าที่ที่ต้องทำ
-ระดับกลาง คือการให้โอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาสกว่า ให้เขามีโอกาสเอาตัวรอดต่อได้ อันนี้คือหน้าที่"ควร"ทำอย่างยิ่งยวด เช่น บริจาคเงินให้เด็กผ่าตัดหัวใจ บริจาคเงินเข้ามูลนิธิเด็กพิการ คนตาบอด เด็กด้อยโอกาส ทำบุญโลงศพ ขุดศพไร้ญาติ หาเงินซื้ออุปกรณ์การแพทย์ ช่วยเหลือช้างบาดเจ็บ สัตว์ป่วย ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่เราทำสม่ำเสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมา สำหรับเราแล้ว เงินที่เราใช้บริจาค เป็นเงินที่ไม่มากเลยสำหรับเรา และเราพร้อมเสมอที่จะบริจาคเงินวันไหน เมื่อไหร่ เท่าไหร่ก็ได้ โดยงบประมาณต่อครั้งอยู่ที่ 2,000-20,000 ไม่เคยจำกัดจำนวน ขอแค่เป็นองค์กรที่น่าเชื่อ ที่เงินที่เราให้จะลงไปถึงผู้รับจริงๆ อย่างปีที่ผ่านมา เราใช้เงินตรงนี้ไปประมาณเก้าหมื่นบาทเศษ และเรามีกำลังทรัพย์ที่จะให้ได้มากขึ้นทุกๆปี เพราะความมั่นคงทางการเงินในชีวิตเราสูงขึ้นเรื่อยๆตลอดทุกปีที่ผ่านไป
-ระดับบน อันนี้อนาคตที่เรา"จะ"ทำ ปณิธาณสูงสุดของเราที่เรารู้ว่าเราจะยินดีมากถ้าไปถึงจุดนั้น เราอยากเป็นผู้ให้ที่ดีต่อสังคม ให้ในสิ่งที่เป็นโอกาสแก่คนอื่นด้วยทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่เรามีในวันที่ทรัพย์สินนั้นเกินกว่าที่เราจะใช้หมด เรามั่นใจว่าหากเราตายในช่วงอายุประมาณ70ปี เงินที่เรามีมันจะมากพอที่เราจะทำเช่นนั้นได้ ด้วยระยะเวลาและผลตอบแทนทบต้นบวกกับการใช้เงินที่ถูกต้อง เราจะตอบสนองการมีชีวิตอยู่ของเราด้วยความเต็มอิ่ม มีทุกอย่างที่อยากมี ได้ทำทุกอย่างที่อยากทำ และจะยังมีเหลือเงินที่มากพอเพื่อสังคมด้วย แต่ถ้าเราตายเร็วกว่านั้น ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของเราจะก็ถูกบริจาคเข้าองค์กรการกุศลอยู่ดี
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเราถึงลุกให้คนท้องนั่งเพราะเป็นหน้าที่ ไม่ได้ด้วยความยินดี เพราะนั่นคือสิ่งที่เราทำในระดับจิตใต้สำนึก มันก็เหมือนหมอที่รักษาคนไข้ฉุกเฉิน ที่ทำได้เลยโดยไม่ต้องคิด มันทำเป็นreflex ทำแล้วก็ไม่มีใครเค้ามาอวดในเฟสบุ๊คในพันทิบหรอกว่าวันนี้ช่วยปั๊มหัวใจคนไข้ด้วย แล้วถ้าหมอคนไหนทำแบบนั้นแปลว่าเค้าช่วยชีวิตคนไข้เพื่อให้คนชื่นชม ไม่ใช่ทำเพราะเป็นหน้าที่ และเราแปลกใจมากที่มีคนว่าเราเห็นแก่ตัว ใจแคบ เป็นภาระสังคม จากการที่เราคิดแบบนี้
ทุกวันนี้ เราใช้ชีวิตแบบสบายมากๆ มีพร้อมทั้งเงิน เวลา ครอบครัว และงานที่ไม่รู้สึกว่าเป็นงาน ดังนั้นสิ่งที่เราจะให้กับคนอื่นจะออกมาในรูปของโอกาสซึ่งส่วนมากจะผ่านที่เงิน และนั่นคือสิ่งที่จำเป็นในการเข้าถึงโอกาสของคนด้อยโอกาส เงินที่เรามีแม้ยังไม่ถึงขั้นเศรษฐี แต่มันก็มากพอที่จะซื้อของหลักหลายล้านด้วยเงินสด แล้วยังมีเหลืออีกหลายเท่าของเงินที่ใช้ไป เรากินได้ทุกอย่างที่อยากกิน สั่งอาหารทุกอย่างโดยไม่เคยดูฝั่งขวาของเมนู เราซื้อของได้ทุกอย่างเท่าที่ต้องการซื้อ ย้ำว่าทุกอย่างที่ต้องการ เราซื้อได้หมด ตอนนี้ของที่อยากได้แต่ยังไม่พร้อมซื้อคือรถPorscheอย่างเดียวแล้ว เพราะซื้อแล้วเงินจะเหลือน้อยเกิน (ซึ่งส่งฝาอิชิตันอาจได้เร็วกว่าก็เป็นได้)
เราส่งเงินให้พ่อแม่ใช้สบายๆไม่มีขัดสน เราส่งเงินคืน กยศ.แทนน้องได้ทุกคน ทุกวันนี้นึกไม่ออกแล้วว่าอยากได้อะไร
สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีคือการได้ให้โอกาสแก่คนอื่น และเราบอกเลยว่าเราช่วยคนอื่นเพราะมันทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองด้วย อันที่จริงเรากำลังทำสิ่งนั้นเพื่อตัวเอง ในขณะที่ผู้รับก็ได้ประโยชน์
ชีวิตทุกวันนี้ มันดีมากแล้วสำหรับเรา และเราใช้ชีวิตตามแบบที่เราต้องการแล้ว