สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
มันคล้ายๆ กับการสะกดจิตตัวเองน่ะครับ
มนุษย์เราทุกวันนี้ มีทั้งจิตนำกาย และกายนำจิต ขึ้นกับสถานการณ์
ถ้าอยากประสบความสำเร็จ สมองที่ถูกกระตุ้นบ่อยๆ ว่าจะสำเร็จ มันจะพยายามแสวงหาหนทางเอง ลองทำโน่นทำนี่ถูกบ้างผิดบ้าง มากๆ ก็จะถูกมากกว่าผิด ตอนล้มเหลวก็จะช่วยให้มีแรงฮึดพยายามลุกขึ้นมาสู้ใหม่ เพราะเชื่อว่าไอ้คนที่สำเร็จ มันก็มีสองขาสองแขนเหมือนกัน ทำไมมันเจอทางดีๆได้ ตอนเกิดมา สมองมันก็ว่างเปล่าไม่มีอะไรเหมือนๆ กับเรา เพิ่งค่อยๆ ทยอย ลง app ลง data กันตอนค่อยๆโตทั้งนั้นนี่เอง
แต่ถ้าทำตรงข้ามเชื่อมั่นในตัวเองสูงอย่างเช่นว่ากรูจนกรูจนกรูจน ท่องบ่อยๆ ก็กลายเป็นสะกดจิตตัวเองเหมือนกัน ก็จะได้จนสมใจ จะหาข้ออ้างโน่นข้ออ้างนี่ไม่อยากลงมือทำเต็มไปหมด เรียกได้ว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น เพราะสะกดจิตตัวเองไว้ ว่ากรูจะแพ้กรูจะแพ้ เลยไม่ยอมลงแข่ง ผลออกมาก็คือแพ้ เพราะใจมันอยากเอาความล้มเหลวมาเป็นสมบัติส่วนตัว เลยสะท้อนออกมาทางกาย ทางพฤติกรรม
เรื่องของเรื่อง การสะกดจิตตัวเองและจิตนำกาย-กายนำจิตที่ว่า
คนที่สะกดจิตให้ตัวเองหดหู่ ก็จะแสดงออกทางร่างกายด้วย ทำหน้ายังกับตูดทั้งวันทั้งคืน มันจะติดเป็นนิสัย ต่อให้หน้าตาดี เป็นวิธีผลักไสไล่คนรอบข้างได้อย่างดี
เราก็ทำตรงข้าม ทำจิตใจให้สนุกสนานเบิกบาน มองโลกให้สนุก อาจมีทุกข์บ้างบางวัน แต่เมื่อรู้สึกสุขมากกว่าทุกข์ แล้วอิริยาบถมันจะแสดงออกไปด้วยในทางดีมากกว่าเสีย คนหน้าตาไม่ดียังมีคนอยากมาคบ แล้วผลที่ตามมาจะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามา มีปัญหาก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะหาทางแก้ได้เรื่อยๆ ตัวเองแก้คนเดียวไม่ได้ ก็มีแรงเสริมมาช่วยแก้จากคนรู้จักรอบข้าง
ลองไปสังเกตคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจำนวนมากสิ ว่าท่าทางที่เขาทำออกมา ชักนำทั้งร่างกายทั้งใจ อยากให้ประสบความสำเร็จ ตั้งธงไว้ ว่าอยากสำเร็จ มันก็ล้มบ่าง แต่เอาตัวรอดมาได้ทุกที
ยกตัวอย่างคนสะกดจิตตัวเองเก่งซักคน อย่างข้างล่างนี้
ข้างบน... ผมพูดจากประสบการณ์ด้วย ว่าเคยใช้มันมาและถือว่าสำเร็จเกินกว่าเป้าตัวเองนานแล้ว
แต่ไม่ขอเล่ามากกว่านี้ไม่อยากอวดอะไร แค่จะบอกว่าอะไรที่จะได้ผล เมื่อลองลงมือทำ
ขอปิดท้ายว่า ถ้าเปรียบเราเป็นคอมหรือ tablet ตอนเกิดมา เราก็ล้วนสมองเปล่าๆ โล่งๆ ทุกคน แต่เราถูกลงโปรแกรม ลง app ลง data สารพัดอย่างจากสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมา
ตอนนี้เรารู้แล้ว ว่าเราเป็นเราปัจจุบัน อาจเคยจำยอมเพราะเราไม่ได้มีโอกาสเลือก แต่ต่อไปนี้พยายามจัดตัวเองให้อยู่ในสถานการณ์ที่เลือกได้ อย่าลง app และ data ที่มีไวรัส มีขยะ มี malware เพิ่มลงไปในสมองเราอีก
ถ้าที่ผ่านมาในชีวิต เคยลงไปแล้ว ก็พยายามปรับแต่งมันซะ
ถ้าตอนไหนไม่สามารถใช้จิตนำกายได้ เพราะล้า ก็เอากายนำจิต
รู้สึกเครียด ก็หยุดอ่านหยุดดูหยุดคิดหยุดพูด สิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เครียดก่อน
ออกไปมองต้นไม้เขียวๆ สวยๆ มองคนหล่อคนสวย ฟังเพลงเบาๆ ฟังหรืออ่านหรือดูตลกแนวที่เราชอบ หนังที่เราสนุก
แล้วค่อยกลับมาคิดแก้ปัญหาต่อ
อยากเป็นอะไรแบบไหน ก็ด้วยการท่องไว้วามโนภาพไว้ ในสิ่งที่เราอากให้ปรากฎต่อคนอื่น เราจะค่อยๆ เป็นแบบนั้นเอง
ต่อไปนี้หัดทำอะไรกระฉบับกระเฉง ถ้าเราอยากเป็นคนคล่งแคล่วกระฉับกระเฉง นึกถึงท่าทาง พร้อมลองทำออกมาทุกวัน ... อยากเป็นคนยิ้มเก่ง วาดภาพบ่อยๆ ว่ายิ้มแบบไหนน่าประทับใจ... แบบนี้เป็นต้น
มนุษย์เราทุกวันนี้ มีทั้งจิตนำกาย และกายนำจิต ขึ้นกับสถานการณ์
ถ้าอยากประสบความสำเร็จ สมองที่ถูกกระตุ้นบ่อยๆ ว่าจะสำเร็จ มันจะพยายามแสวงหาหนทางเอง ลองทำโน่นทำนี่ถูกบ้างผิดบ้าง มากๆ ก็จะถูกมากกว่าผิด ตอนล้มเหลวก็จะช่วยให้มีแรงฮึดพยายามลุกขึ้นมาสู้ใหม่ เพราะเชื่อว่าไอ้คนที่สำเร็จ มันก็มีสองขาสองแขนเหมือนกัน ทำไมมันเจอทางดีๆได้ ตอนเกิดมา สมองมันก็ว่างเปล่าไม่มีอะไรเหมือนๆ กับเรา เพิ่งค่อยๆ ทยอย ลง app ลง data กันตอนค่อยๆโตทั้งนั้นนี่เอง
แต่ถ้าทำตรงข้ามเชื่อมั่นในตัวเองสูงอย่างเช่นว่ากรูจนกรูจนกรูจน ท่องบ่อยๆ ก็กลายเป็นสะกดจิตตัวเองเหมือนกัน ก็จะได้จนสมใจ จะหาข้ออ้างโน่นข้ออ้างนี่ไม่อยากลงมือทำเต็มไปหมด เรียกได้ว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น เพราะสะกดจิตตัวเองไว้ ว่ากรูจะแพ้กรูจะแพ้ เลยไม่ยอมลงแข่ง ผลออกมาก็คือแพ้ เพราะใจมันอยากเอาความล้มเหลวมาเป็นสมบัติส่วนตัว เลยสะท้อนออกมาทางกาย ทางพฤติกรรม
เรื่องของเรื่อง การสะกดจิตตัวเองและจิตนำกาย-กายนำจิตที่ว่า
คนที่สะกดจิตให้ตัวเองหดหู่ ก็จะแสดงออกทางร่างกายด้วย ทำหน้ายังกับตูดทั้งวันทั้งคืน มันจะติดเป็นนิสัย ต่อให้หน้าตาดี เป็นวิธีผลักไสไล่คนรอบข้างได้อย่างดี
เราก็ทำตรงข้าม ทำจิตใจให้สนุกสนานเบิกบาน มองโลกให้สนุก อาจมีทุกข์บ้างบางวัน แต่เมื่อรู้สึกสุขมากกว่าทุกข์ แล้วอิริยาบถมันจะแสดงออกไปด้วยในทางดีมากกว่าเสีย คนหน้าตาไม่ดียังมีคนอยากมาคบ แล้วผลที่ตามมาจะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามา มีปัญหาก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะหาทางแก้ได้เรื่อยๆ ตัวเองแก้คนเดียวไม่ได้ ก็มีแรงเสริมมาช่วยแก้จากคนรู้จักรอบข้าง
ลองไปสังเกตคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจำนวนมากสิ ว่าท่าทางที่เขาทำออกมา ชักนำทั้งร่างกายทั้งใจ อยากให้ประสบความสำเร็จ ตั้งธงไว้ ว่าอยากสำเร็จ มันก็ล้มบ่าง แต่เอาตัวรอดมาได้ทุกที
ยกตัวอย่างคนสะกดจิตตัวเองเก่งซักคน อย่างข้างล่างนี้
ข้างบน... ผมพูดจากประสบการณ์ด้วย ว่าเคยใช้มันมาและถือว่าสำเร็จเกินกว่าเป้าตัวเองนานแล้ว
แต่ไม่ขอเล่ามากกว่านี้ไม่อยากอวดอะไร แค่จะบอกว่าอะไรที่จะได้ผล เมื่อลองลงมือทำ
ขอปิดท้ายว่า ถ้าเปรียบเราเป็นคอมหรือ tablet ตอนเกิดมา เราก็ล้วนสมองเปล่าๆ โล่งๆ ทุกคน แต่เราถูกลงโปรแกรม ลง app ลง data สารพัดอย่างจากสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมา
ตอนนี้เรารู้แล้ว ว่าเราเป็นเราปัจจุบัน อาจเคยจำยอมเพราะเราไม่ได้มีโอกาสเลือก แต่ต่อไปนี้พยายามจัดตัวเองให้อยู่ในสถานการณ์ที่เลือกได้ อย่าลง app และ data ที่มีไวรัส มีขยะ มี malware เพิ่มลงไปในสมองเราอีก
ถ้าที่ผ่านมาในชีวิต เคยลงไปแล้ว ก็พยายามปรับแต่งมันซะ
ถ้าตอนไหนไม่สามารถใช้จิตนำกายได้ เพราะล้า ก็เอากายนำจิต
รู้สึกเครียด ก็หยุดอ่านหยุดดูหยุดคิดหยุดพูด สิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เครียดก่อน
ออกไปมองต้นไม้เขียวๆ สวยๆ มองคนหล่อคนสวย ฟังเพลงเบาๆ ฟังหรืออ่านหรือดูตลกแนวที่เราชอบ หนังที่เราสนุก
แล้วค่อยกลับมาคิดแก้ปัญหาต่อ
อยากเป็นอะไรแบบไหน ก็ด้วยการท่องไว้วามโนภาพไว้ ในสิ่งที่เราอากให้ปรากฎต่อคนอื่น เราจะค่อยๆ เป็นแบบนั้นเอง
ต่อไปนี้หัดทำอะไรกระฉบับกระเฉง ถ้าเราอยากเป็นคนคล่งแคล่วกระฉับกระเฉง นึกถึงท่าทาง พร้อมลองทำออกมาทุกวัน ... อยากเป็นคนยิ้มเก่ง วาดภาพบ่อยๆ ว่ายิ้มแบบไหนน่าประทับใจ... แบบนี้เป็นต้น
แสดงความคิดเห็น
law of attraction (กฎแห่งแรงดึงดูด) มีจริงเหรอ?
หนังสือเล่มนี้ทำให้หลายคนเชื่อว่ามีกฎแห่งแรงดึงดูดจริงๆ และผมก็เคยเชื่อและรู้สึกว่ามันก็จะเป็นเรื่องจริงซะด้วย
แต่เมื่อลองพิสูจน์ไปเรื่อยๆ ก็พบว่ามันจริงบ้างไม่จริงบ้าง ส่วนใหญ่สิ่งที่มันสำเร็จตามที่เราต้องการ เหมือนกับเราดึงดูดเข้ามา
จริงๆแล้วมันก็เป็นความพยายามของเราเองนั่นแหละ มันถึงสำเร็จ
ผมมาคิดดูแล้วมันก็ไม่ต่างจากศาสนาต่างๆ เลยที่ขอให้อธิษฐานจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และก็ต้องเชื่อว่าจะได้แล้วก็ลงมือทำด้วย แล้วก็จะได้ตามที่ขอ
การที่เราเชื่อว่ามีกฎแห่งแรงดึงดูดทำให้เรามีความขยันกระตือรือร้น มีความสุข มีความหวัง มีกำลังใจ อยากทำโน้นทำนี่ มันก็เลยทำได้สำเร็จจริงๆ
แต่ถ้ากฎนี้มันไม่มีจริง มันก็คือคำโกหกดีๆนี่เอง เป็นเหมิอนกุศโลบายช่วยคน
กฎแรงดึงดูดบอกว่า ถ้าคิดว่าสิ่งไม่ดีจะเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็จะเกิดขึ้นจริงๆ แต่หลายครั้งแล้วที่ผมมั่นใจว่า ขับรถกลับไปต้องมีรถมาจอดขวางทางเข้าบ้านแน่ๆ ผมมั่นใจจนเห็นภาพเลย แต่ปรากฎว่าไม่เคยมีรถมาจอดขวางหน้าบ้านตั้งนานแล้ว
กฎแรงดึงดูดบอกว่าถ้าคิดว่าจะได้สิ่งนั่นอย่างไม่สงสัยแล้วเราจะได้แน่ๆ แต่เราคนเคยเจอคนที่มั่นใจว่าเค้าจะได้รับรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งงาน มั่นใจแบบไม่สงสัยเลย แต่ก็ต้องหน้าแตก เพราะไม่ได้ใช่มั้ยครับ
ดังนั้นจากประสบการณ์ผมคิดว่า ไม่มีหรอกครับ กฎแห่งแรงดึงดูด เพราะถ้ามีจริงหนังสือเดอะซีเคร็ด และรอนดา เบิร์น คงดังต่อเนื่อง และหนังสือที่ออกตามๆกันมา คือ เดอะพาวเวอร์ เดอะเมจิก ฮีโร่ ก็คงจะขายดีและดังไปทั่วโลก
แต่ผมเห็นว่ามีแต่จะเงียบลงเงียบลงเรื่อยๆ ถ้าขนาดผู้เขียนไม่สามารถใช่กฎแรงดึงดูดทำให้หนังสือของตนขายดีได้ ก็คงไม่น่าเชื่อถือจริงมั้ยครับ
อันนี้เป็นประสบการณ์และความคิดเห็นของผมนะครับ
มีใครคิดยังไงกันบ้างครับ