บันทึกชีวิตมนุษย์เงินเดือน #6 : เรื่องสยองในห้องน้ำบริษัท

ถ้าจะพูดถึงสถานที่ชวนหลอนจิตที่ฮิตติดอันดับต้นๆของคนนิยมเรื่องสยองขวัญแล้ว ห้องน้ำในสถานที่ต่างๆดูจะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มักมีตำนานกล่าวขวัญชวนฝันร้ายอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำในวัด ในโรงพยาบาล ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ในออฟฟิศก็ตาม         
         ในที่ทำงานที่มีบรรยากาศตึงเครียดลอยคละคลุ้งฟุ้งเต็มลมหายใจ การเดินเข้าไปสูดอากาศสดชื่นในห้องน้ำอาจทำให้เรารู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายเหมือนยืนรับโอโซนอยู่บนยอดดอยในฤดูเหมันต์ โอ๊ะๆ ผมไม่ได้ชอบอู้งานนะครับ แต่การนั่งหลังแข็งหลังขดจดจ่ออยู่หน้าจอคอมฯทั้งวันมันก็เป็นการทรมานร่างกายจนเกินไป โดยเฉพาะช่วงบ่ายแก่ๆ แอร์เย็นๆ บรรยากาศมันยั่วยวนชวนให้เปลือกตาบนหล่นลงมาโอบกอดเปลือกตาล่างให้หายหนาวเหลือเกิน ขืนยังนั่งเพลินๆอยู่ที่โต๊ะทำงาน มีหวังได้ไปหมอบคลานกราบกรานพระอินทร์ในฝันก็ได้
    ผมจึงชอบหาเรื่องลุกเดินยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายความง่วง แต่ในออฟฟิศจะให้เดินชมนกชมไม้เหมือนอยู่จตุจักรก็คงไม่ใช่ หรือจะเดินช้อปปิ้งหาเรื่องทิ้งเงินในกระเป๋าเหมือนเข้าไปในพารากอนก็คงไม่ได้ จะมีจุดหมายปลายทางให้ก้าวเท้าเข้าไปก็คงแค่ห้องครัวกับห้องน้ำเท่านั้น
    การเข้าห้องครัวไปชงกาแฟหวานๆขมๆมาดมๆดื่มๆสักแก้วก็พอจะช่วยให้ตาสว่างได้บ้าง แต่ร่างกายของผมคงด้านชาต่อคาเฟอีนไปแล้ว ถึงกินกาแฟเข้าไปก็ไม่ช่วยให้หายง่วงอยู่ดี มีแต่จะทำให้สัปหงกมากขึ้นเนื่องจากมีอะไรอุ่นๆหล่นลงไปในกระเพาะ
    ห้องน้ำจึงเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า พอถึงเวลาบ่ายๆ ผมก็จะเดินไปเข้าห้องน้ำซักรอบสองรอบ
    ไม่ได้ไปล้างหน้าล้างตา หรือหาอะไรกินนะครับ แต่ไปเลือกมุมมสงบ นั่งทบทวนตัวเองและปรึกษาปัญหาชีวิตกับพระอินทร์
    จริงอยู่ว่าคงไม่มีที่ไหนจะหลับสบายเท่าเตียงนุ่มๆที่บ้านอีกแล้ว แต่เพราะว่าที่ทำงานไม่มีเตียง ดังนั้นขอแค่เพียงชักโครกสะอาดๆก็พอใช้แทนกันได้
    ผมไม่ได้อู้นะครับ แต่คิดแล้วว่า การนั่งทนง่วงต่อไปมีแต่จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพลดลง การฝืนทนมีแต่จะถ่วงให้ยิ่งช้า เราจึงควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการนอนหลับซักงีบ เพื่อให้ร่างกายแอคทีฟพอจะทำงานต่ออย่างมีประสิทธิภาพได้
    เคยได้ยินมาว่าที่ญี่ปุ่น (หรือที่ไหนสักที่) จะให้พนักงานนอนกลางวันคนละชั่วโมง แล้วค่อยมาทำงานต่อ เพื่อให้สมองได้พักผ่อน และทำงานได้เต็มที่ ผมไม่รู้หรอกว่าจริงหรือเปล่า แต่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับวิธีการแบบนี้ แต่ก็นะ ยังไงเราก็ยังเป็นแค่มนุษย์เงินเดือน เป็นแค่ลูกจ้างเขาไม่ใช่เจ้าของบริษัท ดังนั้นจึงกำหนดกฎเกณฑ์ของบริษัทไม่ได้ว่าต้องให้พนักงานนอนกลางวันได้ ผมจึงต้องมาแอบทำแบบนี้โดยหวังว่าสักวันหนึ่งผมจะได้รางวัลพนักงานดีเด่น และได้เดินขึ้นไปรับรางวัลบนเวทีกลางงานเลี้ยงประจำปีของบริษัท ถ้าถึงเวลานั้นผมจะบอกกับทุกคนว่าเหตุผลที่ช่วยให้ผมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขนาดนี้ ก็เป็นเพราะได้นอนกลางวันทุกวัน
    แต่ทุกครั้งที่ผมกำลังจะขึ้นไปรับรางวัลจากมือท่านประธาน ผมมักจะตื่นก่อนเสมอ แหม่ น่าเสียดายจริงๆ
    ถึงจะบอกว่าผมชอบเข้าไปแอบหลับในห้องน้ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำทุกวันนะครับ บางวันก็งานยุ่งจนไม่มีเวลาง่วง บางวันก็โดนเจ้านายนั่งจ้องจนไม่กล้าลุกไปขี้ไปเยี่ยว หรือบางวันก็กระปรี่กระเป่าปราดเปรียวราวกับกินยาบ้าเข้าไปเมื่อคืน ที่แย่กว่านั้นก็คือ บางวันผมก็อยากไปนั่งเข้าฌานในห้องน้ำเหมือนทุกทีนะครับ แต่อย่างที่ผมบอกไปตอนต้นว่า ที่ทำงานไม่มีเตียงนุ่มๆก็จริง ก็เลยต้องจำใจใช้ชักโครกสะอาดๆมาแทนเตียง
    ครับ ผมบอกว่า ชักโครกสะอาดๆ ซึ่งเราอาจจะไม่ได้โชคดีทุกครั้งที่ได้เจอของแบบนั้นในห้องน้ำที่ทำงาน
    เคยคิดไว้ว่าห้องน้ำตามบริษัทใหญ่ๆ น่าจะเป็นสถานที่ที่อบอุ่นชวนฝันเหมือนอยู่ในโรงแรมหรู แต่ในความเป็นจริงแล้ว ห้องน้ำบริษัทก็จัดเป็นห้องน้ำสาธารณะแห่งหนึ่ง ที่มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาใช้บริการ และอย่าคิดว่าบริษัทใหญ่ ที่พนักงานมีการศึกษาสูง จบปริญา จบมหาลัยดัง หรือแม้แต่จบเมืองนอก จะสวยงามเหมือนทุ่งดอกไม้ในสวิตเซอร์แลนด์ เพราะในความเป็นจริงแล้ว คนฉลาดก็ไม่ได้รักษาความสะอาดเสมอไป
    มันอาจเป็นทุ่งกับระเบิด ที่วันดีคืนดีเราจะเปิดเข้าไปเจอความหายนะรออยู่ในชักโครกก็ได้
    ผมเคยเข้าห้องน้ำชายที่บริษัท ขณะกำลังยืนทำธุระส่วนตัวอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่โถปัสสาวะของผู้ชาย ก็เห็นพนักงานอีกคนเดินเข้ามายืนที่โถข้างๆ เป็นพนักงานที่รู้จักกันดี และมีตำแหน่งค่อนข้างใหญ่โตในบริษัท เราไม่เคยร่วมงานกัน แต่นานๆครั้งเคยไปนั่งกินข้าวจิบเบียร์เย็นๆในคืนวันศุกร์ แน่นอนว่าการพบเจอกันโดยไม่ได้นัดหมายภายในห้องน้ำบริษัทแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เราสองคนพูดจาทักทายกันตามความคุ้นเคย พอเสร็จกิจธุระ ผมก็เดินไปล้างมือที่อ่างล้างหน้า ในขณะที่รุ่นพี่คนนั้นเดินออกไปจากห้องน้ำทันที
    ใช่ครับ “ทันที” ผมไม่ได้พิมพ์อะไรตกหล่นไป ถ้าจะลืมอธิบายรายละเอียด ก็คงแค่เขารูดซิบกางเกงแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำทันที อืมมมม แล้วของเหลวสีเหลืองๆในโถที่เขายืนเมื่อครู่ละ มันก็ยังอยู่แบบนั้นแหละครับ แล้วละอองของมันที่ลอยกระเซ็นซัดใส่มือของเขาหล่ะ อืม มันก็อยู่แบบนั้นแหละครับ
    โชคดีนะที่คนไทยทักทายกันด้วยการไหว้ ไม่ใช่การจับมือ ไม่เช่นนั้น ผมคงไม่กล้าทักเขาอีก แล้วหลังจากนั้นทุกครั้งที่เขาชวนผมไปนั่งจิบเบียร์เย็นๆหลังเลิกงาน ผมก็จะนึกถึงเบียร์สดที่เขาเคยรดทิ้งไว้ในห้องน้ำ แล้วก็รีบเอ่ยปากปฏิเสธไปทันที
    
    บางครั้งผมเข้าห้องน้ำไปด้วยอาการกระเพาะปัสสาวะกำลังจะระเบิด พอเกิดความดีใจที่เห็นโถปัสสาวะอยู่ตรงหน้าเหมือนชายที่หลงทางในทะเลทรายแล้วได้เจอโอเอซิส แต่แล้วความคิดยินดีของผมก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อผมก้มลงไปพบว่าตรงใต้โถปัสสาวะมีน้ำหกเป็นหยดเป็นดวงร่วงลงมาเต็มพื้นจนแทบจะต้องยืนห่างจากโถเป็นกิโล แล้วใช้ความรู้เรื่องโปรเจคไตน์ที่เคยได้เรียนตอนมัธยมมาช่วยในการยัดฉี่ลงโถ บอกตรงๆว่าเสียอารมณ์ในการปลดปล่อยความทุกข์มากๆ
    แต่ที่เล่ามายังเป็นแค่ทุกข์เบาๆ ที่ไม่ได้รบกวนการนอนของผม แต่สิ่งที่ทำให้ผมถึงกับนอนไม่ได้นั้นหนักหนากว่านี้เยอะ
        ครั้งหนึ่งผมเดินหน้าง่วงเข้าไปในห้องน้ำ ก็ว่าจะพักสายตาสักครู่ พอเห็นว่าห้องน้ำว่างเปล่าไร้คนรบกวน ผมก็เดินตรงเข้าไปที่ห้องส้วมที่อยู่ด้านในสุด(ห้องน้ำที่ทำงานผมจะมีห้องส้วม 5 ห้องเรียงตัวกันยาวลึกเข้าไปด้านใน โดยผมชอบเข้าไปใช้บริการห้องด้านในสุด)  แล้วเอื้อมมือค่อยๆผลักประตูห้องส้วมเข้าไปช้าๆ ตอนนั้นความง่วงทำให้ผมเห็นภาพรอบตัวเคลื่อนไหวแบบสโลโมชั่นเหมือนในภาพยนต์ ก่อนกล้องจะจับที่ภาพอันสยดสยองตรงหน้า
วัตถุลึกลับลอยเต็มชักโครก มันเบียดเสียดยัดเยียดกันอย่างแออัด แต่ก็มีเศษซากกระจัดกระจายขึ้นมาด้านบนบ้างเล็กน้อย เหมือนกับว่าพวกมันบางส่วนทำสำเร็จในการปีนขึ้นมาจากขุมนรกได้
        ใช่ครับ นรกมาก นรกสุดๆ กับภาพที่ผมได้เห็นตรงหน้า
    เวลานั้นมันไม่ใช่แค่เข้าห้องน้ำไปแล้วเจอคนขรี้ไม่ยอมกด แต่ผมรู้สึกเหมือนมีใครมาขรี้บนที่นอนของตัวเองเลยทีเดียว ทำเอาตาสว่างไปเลยครับ ผมเดินตัวแข็งทื่อกลับไปนั่งนิ่งๆที่โต๊ะเหมือนคนไร้วิญญาณ ภาพขุมนรกยังติดตาอยู่จนผมไม่กล้าหลับตา ได้แต่ปล่อยสายตาเหม่อมองจอคอมบนโต๊ะอย่างเลื่อนลอย
    “เฮ้ย เป็นไรว่ะ” เพื่อนข้างๆหันมาถามผมด้วยความเป็นห่วง ผมหันไปมองหน้ามันอย่างช้าๆ ร่างกายยังแข็งทื่อ สายตายังคงเลื่อนลอย แล้วก็หันกลับมามองคอมเหมือนเดิม
    “เฮ้ย เป็นไรป่าวว่ะ ทำหน้าเหมือนเห็นผี”
    ผมนึกในใจ ตรูไม่ได้เห็นผี แต่ตรูเห็นขรี้ ตอนนั้นไม่คาดคิดว่า บริษัทใหญ่ ในตึกสูงระฟ้า ที่เต็มไปด้วยคนมีการศึกษา ผมจะได้พบกับเหตุการณ์แบบนี้ ก็น่ะ จะมนุษย์เงินเดือนหรือคนเก็บขยะก็ต้องขรี้เหมือนกัน แต่....พี่จะรีบไปทำงานจนลืมกดชักโครกเลยเหรอครับ พี่ช่วยกลับมาเก็บขรี้ตัวเองก่อนได้ม้ายยยยย
        ตอนนั้นผมขยาดการใช้ห้องน้ำบริษัทไปพักใหญ่ๆเลย เรียกว่าทำเอาขรี้หดตดหายไปหลายวัน
    ภาพอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความหลอน แต่มีอีกอย่างที่ทำให้กลัวได้ไม่แพ้กันก็คือ....
    หลังจากทำใจกับเรื่องที่ได้เจออยู่หลายวัน ผมก็ตัดสินใจกลับไปเฝ้าพระอิทร์อีกครั้ง เพราะกลัวว่าท่านจะคิดถึง วันนั้นโชคดีที่ทุกอย่างปลอดโปร่ง ห้องน้ำสะอาดเหมือนแม่บ้านเพิ่งเอาน้ำยาเป็ดมาเช็ดๆถูๆใหม่ ผมเลือกห้องในสุดซึ่งเป็นห้องประจำ เปิดเข้าไปนั่งสับปะหงกอยู่พักหนึ่ง กำลังจะได้ขึ้นไปรับรางวัลพนักงานดีเด่นบนเวทีอยู่แล้วเชียว ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเหมือนมีใครมาปลุก
    ผมหันซ้าย หันขวา ห้องข้างๆไม่มีใครอยู่ ข้างนอกไร้ร่องรอยสิ่งมีชีวิต ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่กี่นาที วันนี้งานก็ไม่ค่อยมีด้วย จึงตัดสินใจค่อยๆหลับตาลงช้าๆ หวังจะกลับไปขึ้นรับรางวัลต่อ
    “ฮื้อออออออออออออออออออออออออ”
    เสียงประหลาดดังสะท้อนไปทั่วห้องน้ำ ผมสะดุ้งลืมตาขึ้นทันที มองห้องข้างๆไม่เห็นวี่แววเพื่อนร่วมงาน หรือว่าผมจะหูฝาด ผมนั่งนิ่งๆเงี่ยหูฟังเผื่อจะได้ยินอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับมีแต่ความเงียบ เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงหยดน้ำที่อ้างล้างมือหล่นลงกระทบก้นอ่าง
    ผมคงหูฝาดไปเอง เลยตัดสินใจจะหลับต่อ แต่ยังไม่ทันที่เปลือกตาบนจะได้ลงมาปลอบใจเปลือกตาล่าง หูทั้งสองข้างของผมก็ได้ยินเสียงประหลาดอีกครั้ง    
        “ฮื้ออออออออออออออออ” มันฟังเหมือนเสียงครางในลำคอ แต่โหยหวนชวนวังเวงมาก
        บร้า กลางวันแสกๆ ไม่มีอะไรหรอก ผมพยายามปลอบใจตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะปลอบเสร็จ เสียงครวญครางแบบเดิมก็ดังมาอีกครั้ง
        ถ้าไฟในห้องน้ำเสีย ติดๆดับๆ เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างด้วยนี่ ผมว่าบรรยากาศมันคงเหมือนหนังผีเกรดบีแน่ๆ    
        ผมรีบพุ่งตัวออกมาจากห้องส้วม  โดนสวมกอดด้วยความว่างเปล่าจากภายนอก ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าห้องน้ำเล็กๆของบริษัท จะทำให้ผมรู้สึกอ้างว้างได้ขนาดนี้ เสียงประหลาดยังดังมาเป็นระยะๆ สะท้อนไปมาระหว่างพื้นกระเบื้องกับผนังหินแกรนิต ผมก้มหน้าก้มตาเดินผ่านห้องส้วมทีละห้องๆ โดยไม่คิดสนใจสิ่งรอบข้าง เพราะกลัวว่าจะเงยหน้าไปเห็นร่างผู้หญิงชุ่มโชกไปด้วยเลือดยืนอยู่ที่มุมห้องแบบในหนังผี แต่ตอนนั้นผมรู้สึกได้ว่ายิ่งพยามเดินหนี เสียงที่ได้ยินยิ่งฟังชัดเจนขึ้นเหมือนมีคนมาร้องครวนครางอยู่ข้างรูหู
        เวลานั้นผมไม่ได้ปวดขรี้นะครับ แต่ไม่รู้ทำไมขนลุกไปทั้งตัวเลย
        จนกระทั้งเดินมาถึงห้องส้วมห้องสุดท้ายซึ่งอยู่ใกล้ประตูที่สุด เริ่มรู้สึกโล่งใจที่กำลังจะได้ออกไปเผชิญโลกภายนอก ผมเคยเบื่อภาพเพื่อนร่วมงานนั่งหน้าเครียดอยู่เต็มไปหมดจนสุดระยะสายตา แต่ตอนนี้ภาพนั้นกลับเป็นภาพที่ผมอยากเห็นมากที่สุด
    “ฮื้อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ”
    เสียงครวญครางดังขึ้นอีกครั้ง มันทั้งดังสนั่น และลากยาวอย่างโหยหวนกว่าครั้งก่อนๆ ความจริงผมอยากจะเหาะออกไปข้างนอกให้เร็วที่สุด แต่ตอนนั้นขามันก้าวไม่ออก แม้ผมจะพยายามบอกให้มันขยับไปข้างหน้า แต่ขาผมกลับแข็งเป็นเสาหินเหมือนถูกโบกปูนให้ติดอยู่กับพื้นตรงนั้นไม่เขยื้อนไปไหน ผมจึงทำได้เพียงหันไปมองที่มาของเสียงซึ่งเหมือนจะดังอยู่ข้างๆตัว
    ประตูห้องส้วมห้องสุดท้ายปิดสนิท เงาลางๆของชายร่างใหญ่ปรากฏอยู่บนพื้น บอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ในนั้น
        เฮ้ออออออออ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ผมจะยังไม่รู้ว่าเป็นใครในนั้น จะคนหรือผีกันแน่ก็ไม่ชัวร์ แต่ความกลัวของผมก็หายไปเกือบหมด ผมทำทีเป็นเดินไปล้างมือที่อ่างล้างหน้า แต่สายตายังจ้องห้องส้วมห้องนั้นผ่านเงาสะท้อนในกระจก
    เสียงแหบพร่าในลำคอยังดังออกมาจากห้องส้วมเป็นระยะๆ สลับกับเสียงขยับร่างหนักๆของผู้เป็นเจ้าของ ผมรออยู่หน้ากระจกสักพักก็ได้ยินเสียงกดชักโครก ก่อนที่ร่างอ้วนอุ้ยอ้ายของชายคนหนึ่งจะเปิดประตูออกมาจากห้องส้วมด้วยใบหน้ามีความสุขเหมือนได้ยกภูเขาออกจากลำไส้ใหญ่ โดยที่ไม่รู้เลยว่า เมื่อกี้พี่แกทำผมกลัวจนขรี้แทบแตก
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่