ช่วงอาทิตย์นี้เหมือนมีกระแสเล็กๆ แต่น่าสนใจในกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ จากหนังเรื่อง Free to Play
เป็นหนังสารคดีวงการแข่งเกมส์ ผมดูแล้วก็น่าสนใจอยู่เหมือนมีธุรกิจที่ถูกมองข้าม แต่มันเติบโต
เข้ากับยุคสมัย น่าสนใจ
ตัวหนัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(มีซับไทย อยู่ในปุ่ม CC)
มีคนวิเคราะห์วิจารย์ไว้ด้วย
บทความแรก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"เมื่ออะไรทำให้คุณล้ม คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะลุกขึ้น ฉะนั้นผมจึงพยายามหาคำตอบในเรื่องนี้ ว่าจะลุกขึ้นได้อย่างไร"
Free to Play (2014) แข่งเกมเงินล้าน สานฝันมันยิ่งใหญ่
"สารคดีที่จะเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคำว่า เด็กติดเกมส์"
(รีวิวบทนี้ เป็นรีวิวหนังสารคดีครั้งแรกของแอดมินและถือว่าแอดมินเคยดูหนังสารคดีแบบตั้งใจครั้งแรกด้วย ถ้าแอดมินเขียนอะไรผิดพลาดก็ขอโทษกันด้วยนะครับ ^_^)
เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกันดีกับคำว่า "เด็กติดเกมส์" คำเรียกนี้ถูกมักพูดถึงในเชิงลบและไม่ค่อยจะได้นำเสนอคำนี้ในด้านดีเท่าไหร่ เพราะความเชื่อส่วนหนึ่งของผู้ใหญ่นั้น ว่าเกมส์ คือข้อเสียสำคัญที่ทำให้การเรียน การศึกษาแย่ลง และอาจนำไปสู่การเสพติด ซึ่งผู้ใหญ่ที่มีลูกหลายคนก็คอยหวงคอยห่วงลูกๆของตนเอง คอยเฝ้ามองพฤติกรรมของลูกว่า ลูกได้ทำอะไรบ้าง ส่วนหนึ่งเป็น
เพราะ ข่าวและบทความต่างๆที่มักลงทางหนังสือพิมพ์และอินเทอร์เน็ตที่ชอบนำเสนอคำว่า "เกมส์" ในด้านลบและถ้าสังเกตุดีๆเลย หัวข้อหนังสือพิมพ์หลักๆที่ขายได้นั้น จะมาจากคำว่า "ติดเกมส์" เพียงเพราะผลประโยชน์ทางรายได้ของข่าวที่นำเสนอ ทำให้คดีคนตายต่างๆนั้น มักสาวโยงมาถึงเกมส์ โดยเฉพาะหัวข้อที่ว่า "ติดเกมจนเครียด เล่นแพ้ ฆ่าตัวตาย"
ถึงแม้คดีฆ่าตัวตายต่างๆนั้น มักจะมาหักมุมให้นักข่าวและหนังสือพิมพ์หงายเงิบเล่น ว่าจริงๆแล้ว เขาไม่ได้ฆ่าตัวตายเพราะเกมส์นะเว้ย เพราะการเรียน การเล่นอะไรต่างๆ (อย่าลืมสิว่า โลกนี้เคยมีข่าวการฆ่าตัวตายเพราะละครไทยเรื่องหนึ่งมาแล้ว) แต่นักข่าวและหนังสือพิมพ์ก็ยังไม่เข็ดที่จะนำเสนอหัวข้อข่าวว่า เกมส์มีโทษอยู่ดี (ล่าสุดก็ข่าวการฆาตกรรมครอบครัวสุดโหด ที่มีหัวข้อหนึ่ง
โทษว่าเกมส์ผิด) เพราะยังไงซะ มันก็ยังขายได้และยังมีคนหลงเชื่ออยู่ดี เพราะยังไงซะ เกมส์มันมีโทษอยู่แล้วนิ เพราะมันไม่เคยมีข่าวที่ไหนลงหัวข้อว่าเกมส์มีประโยชน์แล้วมันจะขายได้ดีอยู่แล้ว ความจริงแล้ว แอดมินยอมรับว่าแอดมินก็ติดเกมส์ (และมันต้องมีคนอื่นๆติดเกมส์อยู่แล้ว) เพราะแอดมินเองก็อายุแค่ 14 ปีเองนะ การเล่นคอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่า เกมส์ ตัดต่อคลิป ตัดต่อภาพ และทำเพจเล็กๆเพจนี้ แต่แอดมินติดเกมส์นะ แอดมินมีเวลาของแอดมินที่จะเล่นเกมส์
พูดง่ายๆว่าแอดมินรู้จักการเล่นเกมส์ให้ถูกต้อง และหาเวลาว่างอื่นๆมาทำนอกจากเล่นเกมส์ (ก็อย่างที่บอกนะ ตัดต่อ่คลิปและภาพ ดูแลเพจ เล่นเฟซ ท่องโลกของอินเทอร์เน็ตและอื่นๆอีกมากมาย) ซึ่งถ้าถามว่าแอดมินมีความคิดเห็นยังไงต่อคำว่า "เด็กติดเกมส์" แอดมินขอบอกว่าคำๆนี้ มันมีอะไรให้พูดถึงมากกว่าในด้านของความตายและการเรียนแย่ลง..
เอาหล่ะ แอดมินเองออกอ่าวมหาสมุทรไปไกลแล้ว (ออกทะเล ฮ่าๆๆ) แอดมินก็ขอพูดถึงหนังกันบ้างแหละ เรามารีวิวหนังใช่ไหม ใช่ เราก็ต้องรีวิวหนังให้สมกับชื่อเพจหน่อยแล้ว ซึ่งวันนี้แอดมินเองก็มีหนังสารคดีดีๆที่อยากให้คนอื่นมาแนะนำกัน ไม่แน่ว่าสารคดีอันนี้อาจเป็นแรงบัลดาลใจให้ใครหลายๆคนที่เล่นเกมส์ แต่โดนกดดันจากปัญหาอื่นๆ มาก็ได้ เพราะว่าสารคดีอันนี้เป็นสารคดีที่เกี่ยวกับ "คนเล่นเกมส์"
Free to Play เป็นสาครดีที่ว่าด้วยเรื่องราวของการตามติดชีวิตเรื่องราวของของเกมเมอร์มืออาชีพจากทั่วโลกที่มีการแข่งขันการเล่นเกมส์ Dota 2 ในชื่อ Dota 2 International Tournament ที่จัดขึ้นไม่กี่ปีมานี้ โดยมีเงินรางวัลที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 1 ล้านเหรียญดอลลาร์ โดยได้มีเกมเมอร์จากทั่วโลกได้มาแข่งขันกันเป็นทีม เพื่อที่จะชิงรางวัล 1 ล้านนี้ โดยที่ตัวสารคดีจะไปเล่าที่ 3 คนหลักที่ถือว่าเซียนเกม Dota 2 เอาซะมากๆ
โดยมี "เดนดี" เกมเมอร์จากยูเครนที่มีพรสวรรค์ทางด้านการเล่นเปียโน ซึ่งเขาเองเอาไปปรับเปลี่ยนให้นิ้วที่เคยดีดเปียโนมาพิมพ์และเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ และนั่นเอง ทำให้เขาได้รู้จักเกมส์ Dota 2 / "ไฮไฮ" เกมเมอร์จากสิงคโปร์ที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงสมควรจากเกมส์นี้ ถึงแม้ว่าครอบครัวจะไม่ค่อยยอมรับในสิ่งที่เขาทำเท่าไหร่ แต่เขาเองโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เมื่อเขาได้รู้จักเกมส์ Dota 2 / "เฟียร์" เกมเมอร์จากโลกตะวันตก ซึ่งเขาเองถือว่าเป็นเซียน Dota 2 ที่น่ากลัวมากๆ เป็นคนที่รู้กลยุทธทุกอย่างในเกมส์นี้ จะเรียนได้ว่าเป็นเกมเมอร์ Dota ที่น่ากลัวสุดๆเลย
โดยที่พวกเขาทั้งสามนั้น มีทีมแต่ละทีมเป็นของตนเอง พวกเขาทั้งสามต้องแข่งขันเพื่อเงินล้าน เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า เกมส์ก็สามารถทำเรียกผลประโยชน์ได้เช่นกัน และแล้วหนึ่งในสามนี้ ใครจะเป็นผู้ชนะรางวัลนี้ เดนดี ไฮไฮ หรือ เฟียร์ กันแน่
โครตติดตามครับ !!!!
สารคดีอันนี้เป็นสารคดีตามติดชีวิตคนเล่นเกมส์ Dota 2 โดยเฉพาะ แต่ไม่ต้องกลังนะครับ ถ้าหากใครไม่เคยเล่น Dota 1 หรือ 2 เลย (แอดมินก็คือหนึ่งในนั้น เป็นคนไม่ชอบเล่นแนว MOBA เท่าไหร่ ฮ่าๆ) เพราะหนังเองจะอธิบายตัวเกมส์ว่าเป็นเกมส์ยังไง และตัวสารคดีจะไม่ไปเน้นการแข่งขันอะไรมากนัก (เว้นในช่วงท้ายหน่อยแล้วกัน) เรียกง่ายๆว่า ไม่เคยเล่นก็ดูรู้เรื่องครับ
ซึ่งสารคดีอันนี้เป็นสารคดีที่จัดทำโดยทีมงานของ Valve....เอาหละสิ ใครไม่รู้จักบ้างครับ ถ้าใครไม่รู้จัก ผมจะอธิบายให้ฟังว่านี่คือบริษัทอะไร Valve เป็นบริษัทเกมส์ โดยมี เกบ นีเวล (Gabe Newell) เป็นประธานในบริษัทนี้ ซึ่งเขาเองเป็นผู้กำเนิดเกมส์ต่างๆอย่าง Half-Life 2 ภาคหลักและเสริมอีก 2 ภาค, Counter-Strike ทุกภาค, Portal 1 และ 2, Team Fortess 2, Left 4 Dead 2 ภาคหลัก, Day of Defeat และ Dota 2 (แถมยังเป็นผู้ให้กำเนิดเว็บโหลดและซื้อเกมส์ที่ฮิตทั่วโลกอย่าง สตรีม อีกด้วย)
ซึ่งแอดมินขอบอกว่าแอดมินชอบเกมส์ของ Valve มากๆ ทั้งๆที่เล่นเกมส์ของเขาไม่กี่เกมส์ ฮ่าๆๆ แต่ชอบไอเดียการนำเสนอในเกมส์นะ โดยเฉพาะเกมส์ Half-Life,Counter Strike,Portal (แอดมินเคยเล่นเกมส์ของเขาแค่เกมส์ Counter-Strike และ Half-Life ซึ่งปัจจุบันเป็นเกมส์เดียวที่ผมยังเล่นไม่จบ ฮ่าๆๆ) ซึ่ง Valve เองได้ทำสารคดีนี้ขึ้นมา โดยให้โหลดฟรีทางสตรีม (หรือทางเลือกของคนมีคอมกากๆ ยูทูปก็มีให้ดูเด้อ) โดยที่ตัวสารคดีจะตามติดชีวิตของสามคนหลัก และดำเนินเรื่องได้ไม่ช้าไม่เร็ว พอดีๆ และทำให้เราได้รู้จักกับสามคนนี้มากขึ้น
พูดถึงด้านองค์ประกอบต่างๆ นั้น ก็ถือว่าทำออกมาได้ลงตัวมากๆ มุมกล้องก็วางจังหวะได้เด่นชัด ไม่ซูมเข้าซูมออกมากไป การถ่ายภาพก็ทำออกมาได้สวยงามและค่อนยข้างโอเค การลำดับภาพ การตัดต่อก็โอเค พูดสลับตัดภาพไปยังการแข่งขันก็ทำออกมาได้ดีและไม่งุนงงสับสน เพลงประกอบก็ฟังแล้วสบายหู และชวนนึกถึงหนังเรื่อง The Social Network ด้วยในบางฉาก และฉากบางฉากก็ได้กลิ่นอายความเป็น The Social Network นิดๆอยู่บ้างนะ แถมยังมีการใส่ซีจีแอนิเมชั่นเพิ่มเข้าไปในฉากแข่งขัน Dota 2 ด้วย (อันนี้เพิ่งรู้)
ทางด้านเนื้อหาของสารคดี ตัวสารคดีเล่าออกมาได้เป็นธรรมชาติมากๆ เล่าผ่านทางการแข่งขันนี้ ถึงแม้ว่าตัวหนังจะไม่ค่อยที่จะเน้นด้านการแข่งขันนี้เท่าไหร่ (นั่นถือว่าเป็นเรื่องดีมาก เพราะจะได้ไม่งงกับเกมส์ Dota 2 มากขึ้น ฮ่าๆๆๆ) ซึ่งตัวสารคดีจะไปเล่าทางฝั่งของ สามหนุ่มเกมเมอร์แทน ซึ่งเล่าออกมาได้ดีมากๆ ทำให้เราได้เห็นในแต่ละฝั่งว่า ความเป็นอยู่ของพวกเขานั้นเป็นยังไงบ้าง
นอกจากความเป็นอยู่แล้ว ตัวหนังยังเล่าเรื่องของครอบครัวในแต่ละคนว่ามีความรู้สึกยังไงกับเกมส์และการแข่งขันของลูกชายของพวกเขา ซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ละพื้นฐานของแต่ละคนในครอบครัวนั้น จะเห็นได้ว่าบางครอบครัวเขาก็สนับสนุนในการแข่งขันครั้งนี้ แต่บางครอบครัวก็ไม่ค่อยจะสนับสนุนเท่าไหร่ เพราะพวกเขาเห็นว่า เกมส์เป็นเหตุให้การเรียนของ "ไฮไฮ" แย่ลง ซึ่งนั้นเหมือนกับทางครอบครัวของไฮไฮไม่ค่อยจะสนับสนุนเท่าไหร่ แต่สุดท้ายไฮไฮก็แข่งอยู่ดี เพื่อพิสูจน์ว่าเกมก็สามารถทำเป็นอาชีพได้เช่นกัน
ซึ่งนั้นเองเหมือนกับเป็น การสะท้อนสังคมอย่างหนึ่ง ที่ยังมีผู้ใหญ่บางท่าน (ย้ำว่าแค่บางท่าน) ยังไม่ได้เห็นส่วนดีทางด้านเกมส์เท่าไหร่ เพราะการนำเสนอข่าวที่มัวแต่โทษเกมส์ๆๆ (เพียงเพราะเด็กม.6 เลียนแบบ GTA ที่ทำให้เกมส์มีชื่อเสียงในด้านแย่ๆ) และโลกทัศนคติของคนอื่นที่ยังมองว่า เกมส์เป็นโทษร้ายแรง (ถึงแม้ว่ามีบางคนยอมเสียสละ หยุดสอบมาแข่งขันเกมส์นี้ก็เถอะ)
ซึ่งนั้นทำให้เกมส์กลายเป็น สิ่งเสพติดในสิ่งที่พ่อแม้ผู้ปกครองคิด แม้ว่าซึ่งปัจจุบันการที่เกมส์เข้ามามีบบทบาททางสังคมอย่าง การแข่งขันที่ให้เห็นทั่วไป หรือไม่ก็เด็กไทยชนะการแข่งขัน แต่สำนักข่าวและหนังสือพิมพ์ต่างๆกลับไม่นำเสนอในด้านนี้บ้าง (งงไหมหละ)
นั่นเอง ขึ้นอยู่กับการเล่นของเด็กว่า เขาเล่นแล้ว เขาจะมีพฤติกรรมเลียนแบบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า เขามีสติพอหรือเปล่าที่จะแยกแยะออกว่า "อันไหนโลกแห่งจินตนาการ อันไหนโลกแห่งความเป็นจริง"...
..ถ้าหากว่าวันหนึ่งลูกๆของท่านบอกกับท่านว่า "ผมอยากหาเงินด้วยเกมส์" ท่านจะคิดเห็นยังไงกับความคิดเห็นของลูกท่าน หรือไม่ว่าวันหนึ่งลูกๆของท่านบอกท่านว่า "ผมอยากมีอาชีพเป็นเกมเมอร์" ท่านจะตอบเขาไปว่าอย่างไร ซึ่งสารคดีชิ้นนี้เองเหมือนกับเป็นการตอบโจทย์คนดูที่คอเกมส์และผู้ใหญ่ที่ยังมีอคติกับเกมส์หรือมีลูกกันแล้ว ว่าท่านควรเปิดใจที่จะยอมรับความเป็นจริงไหมว่า "เกมส์คืออาชีพอย่างหนึ่ง"....
สรุปแล้ว ถ้าหากใครชอบหนังแนวสารคดี ชอบหนังประเภทตามติดชีวิตคนอื่น เป็นคอเกมเมอร์ ชอบเล่นเกม อยากหาอาชีพมาทำ ไม่มีอะไรดู หรืออยากเปิดใจให้ครอบครัว ก็แนะนำหนังสารคดีเรื่องนี้ครับ
แล้วท่านจะรู้ว่า "เกมส์เป็นได้มากกว่าเกมส์"
++++++++++++++++สรุป++++++++++++++++
ข้อดี
+ เป็นสารคดีที่ทำออกมาได้เยี่ยมยอดจริงๆ
+ องค์ประกอบต่างๆทำออกมาได้ลงตัวมากๆ มุมกล้อง การลำดับภาพ การตัดต่อ เพลงประกอบ และซีจีแอนิเมชั่นผสมการแข่งขัน
+ เป็นหนังที่ผมไ็ม่รู้ว่าจะเชียร์ใครดี เพราะตัวหนังเล่นสำรวจแบบเปิดเผยของแต่ละคน
+ เป็นคนชอบเล่นเกมส์ด้วย เลยอินกับสารคดีอันนี้
+ ชอบด้านเนื้อหาที่เล่าได้ตรงไปตรงมาอย่างเป็นธรรมชาติ เล่าสะท้อนสังคมได้ดีครับ
ข้อเสีย
- ฉากบางฉากยังดูไม่จำเป็นเท่าไหร่ที่จะเอามาใส่ในสารคดี
สรุปคะแนนกันครับ
ผมให้ไปเลยสำหรับสารคดีดีดี๊ดีอันนี้
9.5/10 ครับ
ปล. ตอนแรกหนังเรื่องนี้คะแนนปล่อยตัวใน Imdb สูงถึง 10/10 เลยด้วยซ้ำ สุดท้ายคะแนนก็ลดลงมาอยู่ดี
ปล. ใครไม่อยากโหลดสตรีมให้เสียเวลา ดูยูทูปเปิดซับไทยเอาก็ได้ : http://www.youtube.com/watch?v=UjZYMI1zB9s
คนในวงการคุยกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มีต่อ...
อยากได้ความคิดเห็นทางธุรกิจหลังดู Free to Play
เป็นหนังสารคดีวงการแข่งเกมส์ ผมดูแล้วก็น่าสนใจอยู่เหมือนมีธุรกิจที่ถูกมองข้าม แต่มันเติบโต
เข้ากับยุคสมัย น่าสนใจ
ตัวหนัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มีคนวิเคราะห์วิจารย์ไว้ด้วย
บทความแรก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คนในวงการคุยกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มีต่อ...