Facebook ปรับ Organic reach ของเพจและเพจใหม่ลงมาที่ 1-2% จากเดิม 10% ในปีก่อนกำลังที่เป็นข่าวที่กำลังพูดถึงมากในตอนนี้สำหรับวงการ Internet marketing
http://adage.com/article/digital/facebook-admits-organic-reach-brand-posts-dipping/245530/
ผมมีเพื่อนหลายคนที่หันไปใช้ เฟซบุ๊ค เพจในการทำอีคอมเมิร์ซ ประกอบกับ เฟซบุ๊คลิงค์ เป็นอะไรที่ทำอันดับแรงอย่างยิ่งในแง่ของ SEO แม้กระทั้งคีย์ชื่อเว็บไซต์บางเว็บลงไปปรากฏว่า ตัวเฟซบุ๊คเพจของเว็บนั้นๆ กลับอยู่อันดับที่ 1 ในขณะที่ตัวเว็บไซต์หลักกลับเป็นรองเสียอย่างนั้น ด้วยสาเหตุนี้ตลอดทำให้ตลอดปี 2013 ที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบันมีแต่คนลดละเลิกจากการผลิตคอนเทนต์ดีๆ และละจากการทำเว็บไซต์ขายสินค้าและบริการให้เป็นกิจลักษณะแล้วหันไปโปรโมทเนื้อหาผ่านเฟซบุ๊คแทนเกือบทั้งหมด ซึ่งผมเตือนหลายคนที่ทำแบบนี้ว่า อันตรายอย่างยิ่ง หากคุณไม่มีเว็บไซต์ ไม่สร้างแบรนด์ สร้างแฟน ผ่านบล็อกให้เป็นที่รู้จัก สักวันหนึ่งเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงกับเฟซบุ๊คแล้วคุณอาจต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่
Facebook Reach เป็น อัตราการเข้าถึงผู้คน เกิดจากการที่ โพสต์ ของคุณแสดงผลบน Newsfeed ของผู้ใช้เฟซบุ๊ค ซึ่งในอดีตที่เฟซบุ๊คเพจยังไม่มากมายมหาศาล โพสต์หลายโพสต์จากหลายเพจมีการแสดงผลบน Newsfeed ของผู้ใช้งานที่กด Like และเห็นต่อไปยังเพื่อนของเพื่อนที่กด Like
กระทั้งประมาณปี 2012 เป็นต้นมาที่ความสามารถในการ Reach ขั้นพื้นฐานของเพจใหม่ๆ ลดลงเหลือ 10-15% นั่นหมายความว่าเพจใหม่ๆ ที่เข้าวงการมานั้นแทบไม่ได้ถูกเห็นเลย กล่าวคือ 100 คนจะมองเห็นสัก 10 คน และถ้าไม่มีคนกด Like กด Share หรือ Comment ในกาลข้างหน้าการ Reach ก็จะคงที่หรือถดถอยลงไปอีก
และล่าสุดในปลายปี 2013 เฟซบุ๊คได้มีการหั่นความสามารถในการ Reach ขั้นพื้นฐานของเพจต่างๆลดลงเหลือ 1-2% เป็นเหตุให้เพจใหม่ Like น้อยและไม่ค่อยมีคนเข้าไปปฏิสัมพันธ์ก็ยิ่งไม่ค่อยมีคนเห็น สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เจ้าของเพจรู้สึกถูกกดดันจากเฟซบุ๊คคล้ายกับว่าจะไล่ให้ไปซื้อ Facebook Ads ถ้าอยากจะเพิ่ม Like
สิ่งที่เกิดขึ้นบนเฟซบุ๊คที่หลายๆคนอาจมองข้าม
ถ้าคุณเป็นเจ้าของพื้นที่ว่างๆและเปิดพื้นที่ให้คนเข้ามาใช้สอยฟรีๆ แน่นอนว่าผู้คนต้องหลั่งไหลเข้ามาใช้สอยกันอย่างล้นหลาม บางคนก็มาอาศัยอยู่ฟรีนอนฟรี บางคนก็เข้ามาทำมาหากินกับคนอาศัย บางคนก็เข้ามาก่อความวุ่นวาย และในที่สุดคุณก็ต้องเริ่ม คัดกรองผู้เข้ามาใช้สอย และ เก็บเงินผู้เข้ามาหาผลประโยชน์
เฟซบุ๊คเองก็เช่นกัน วันนี้เขาต้องคัดกรองและเก็บเงินผู้เข้ามาหาผลประโยชน์ นั่นก็คือบรรดานักการตลาดที่เข้ามาใช้เฟซบุ๊คเป็นช่องทางทำการตลาดสาย Social media marketing.
การเปิด Facebook page นั้นแสนง่ายและฟรี ผลก็คือ Facebook เต็มไปด้วย เพจขยะ เพจแสปม เพจเปิดทิ้งๆชว้างๆ เพจปั้นไลค์ปั่นไลค์ ฯลฯ ยังไม่รวมเพจขายของบนเฟซบุ๊คที่เปิดกันล้นทะลักเฟซฯ — ลองมองในมุมของ User ดูว่าถ้าต้องเห็นทุกโพสต์ของเพจเหล่านี้บน Feed ไม่ว่าจะเพราะเพื่อนขอร้องให้กด Like หรือเห็นผ่าน เพื่อนของเพื่อน ฯลฯ ก็ไม่ไหว
สิ่งที่เฟซบุ๊คต้องการจะทำคือให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้ที่ดีที่สุด ในกรณีคือ ได้รับคอนเทนต์ที่มีประโยชน์และตรงใจ ตรงนี้จึงเป็นการบ้านของเจ้าของเพจที่จะต้องทำงานหนักในการผลิตคอนเทนต์ดีๆ มีประโยชน์ มีความคิดสร้างสรรค์ ที่จะกระตุ้นให้คน กด Like กด Share และ Comment
เฟซบุ๊คต้องการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน
หลักการเดียวกับ Google ที่มีระบบ Personalization บันทึกพฤติกรรมการค้นหาที่หลายคนเคยประสบ ค้นหาคำว่า “นักศึกษา” เครื่องของคนหนึ่งแสดงผล สถาบันการศึกษา เครื่องของอีกคนหนึ่งแสดงผล พริตตี้ อันนี้คือ Personalization ส่วน Back link ของบทความเสมือนการโหวตบอก Google ว่าบทความนี้ดีที่สุด ก็จะถูกจัดอันดับมาไว้หน้าแรกๆ
สำหรับ เฟซบุ๊ค การกด Like กด Share และ Comment จากผู้ใช้งานคนหนึ่งๆให้แก่เพจของคุณคือการโหวต และหากผู้ใช้งานคนนั้นๆ เข้ามากด Like โพสต์จากเพจของคุณบ่อยๆ เฟซบุ๊ค จะตีความว่าผู้ใช้งานชอบเพจคุณ เพจคุณมีคุณภาพและตรงใจผู้ใช้คนนั้นๆ ก็จะนำไปแสดงผลให้บ่อยขึ้นๆเรื่อยๆ
กระชับพื้นที่ เอาเพจขยะออกไป เอาเพจคุณภาพและเพจที่จ่ายตังเข้ามา
Gary Vaynerchuk นักธุรกิจอินเตอร์เน็ตชื่อดังแสดงความเห็นว่า การที่เฟซบุ๊คจำกัดการ Reach ลงก็เพื่อลดพวกเพจขยะที่เกิดขึ้นมากมายให้ห่างหายออกไปจาก Newsfeed เพื่อเคลียร์พื้นที่สำหรับเพจคุณภาพ และ…เพจที่จ่ายเงินซื้อโฆษณาได้แสดงผล เพราะหากไม่มีระบบกรองสกรีนการแสดงผล เพจขยะที่อัพเดทโพสต์วันละเป็นสิบๆโพสต์แล้วแสดงผลตลอดเวลาจะเบียดบังพื้นที่ของ Newsfeed และไปเกะกะเพจที่จ่ายค่าโฆษณา ถึงแม้จะมีกูรูบางคนบอกว่ามุมมองของ Gary เลอะเทอะแต่ผมเห็นด้วยเต็มร้อยเลยนะ เพราะผมในฐานะที่เป็นทั้ง ผู้ใช้งาน และ ผู้ซื้อโฆษณา ผมก็สัมผัสได้จริงกับเหตุผลและปรากฏการณ์ดังกล่าว
เพจที่ได้รับผลกระทบ
ปัญหาที่คนเข้ามาขายของผ่านทางเฟซบุ๊คหน้าใหม่ประสบคือ การฟลัดเพจด้วยรูปสินค้าและข้อความขายของ วันละ 4-5 ครั้ง หรือมากว่า… ผมเอาตัวอย่างมาให้ดูไม่ได้แต่เชื่อว่าหลายคนคงนึกภาพออกเพราะคงประสบพบเห็นกันมาหมดแล้ว การโพสต์ลักษณะนี้ไม่ได้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งาน คน Like น้อย การแสดงผลก็จะน้อยลงตามไปด้วยจนกระทั่งไม่แสดงผลอีกเลยใน Newsfeed ของผู้ใช้งานบางคน
การซื้อ Like ไม่ว่าจะด้วย Facebook Ads หรือ รับจ้าง Like นั้นก็ไม่ใช่ทางออกสำหรับทุกอย่าง ปริมาณ Like เป็นตัวสร้างโอกาส Reach… พูดอีกครั้ง ปริมาณ Like เป็นตัวสร้างโอกาส Reach แต่จะ Reach มากน้อยก็จะอยู่ที่คอนเทนต์ของคุณได้รับการตอบสนองแค่ไหน
นั่นหมายความว่าการฟลัดเพจด้วย รูปภาพและข้อความขายสินค้าซ้ำๆ กัน อาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี หากคุณโพสต์ 10 โพสต์ต่อวันแต่ไม่มีคนมา Like รายโพสต์ ต่อไปเพจของคุณก็จะเริ่มไม่นำมาถูกแสดงผลใน Newsfeed อีก ในขณะที่เพจที่มีการโพสต์ส่งบอกประสบการณ์ดีๆ มีกิจกรรมสนุกๆ มีการพูดคุยกับแฟนเพจ ก่อให้เกิดการ Viral แบบนั้นแหละที่จะทำให้ Reach มากขึ้น
ต้องมีเว็บไซต์และบล็อกเป็นของตัวเองคือคำตอบสุดท้าย
วันนี้เฟซบุ๊คเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น แต่จะไม่ใช่ขั้นสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงยังมีต่อ และหากวันหนึ่งที่คุณรับไม่ได้ คุณอาจต้องเปลี่ยนไปใช้ Google+ หรือ LinkedIn ถ้าหากคุณเอาธุรกิจของคุณไว้บนเฟซบุ๊คทั้งหมด มันคือการย้ายครั้งยิ่งใหญ่ทีเดียว ข้อมูล รูปภาพ รูปสินค้า ฯลฯ แต่ถ้าคุณมีเว็บไซต์ ข้อมูลต่างๆอยู่บนเว็บไซต์ คุณย้ายโซเชียลไปแต่ตัวเท่านั้น แล้วแปะลิงค์กลับมาหน้า Sales page ขายของได้เหมือนเดิม
ในขณะเดียวกัน การปรับปรุงที่โดดเด่นของเฟซบุ๊คคือ Link post หรือ ลิงค์ไปยังบทความจากบล็อก ที่มีการแสดงรูปภาพขนาดใหญ่และสวยงามซึ่งใหญ่สวยยิ่งกว่าปีที่แล้วเสียอีก ลองมาดูโพสต์เหล่านี้ต่างหันมาใช้ Link post เพื่อส่งผู้อ่านไปยังเว็บไซต์และ Sales page กัน และตรงนี้ครับที่จะเป็นจุดที่ Facebook Ads จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในการใช้ Facebook ads โปรโมทเป็นรายโพสต์เพื่อส่ง Traffic ไปยังหน้าเว็บไซต์ของคุณ โดยเฉพาะส่วนที่
เป็น Sales page และ Landing page สำหรับคนทำธุรกิจและมีสินค้าและบริการที่จะขาย
ตัวอย่าง Link post ส่งคนไป Website/ Sales Page
ต่อให้ เฟซบุ๊ค จะทำอันดับดีแค่ไหนใน Google search และต่อให้บล็อกของผมไม่ติดหน้าแรก ผมก็จะต้องมีบล็อกเสมอ ผมโปรโมทเนื้อหาผ่านทางเฟซบุ๊ค เว็บบอร์ด อีเมล์ลิสต์ แต่ก็จะส่งผู้คนกลับมาที่บล็อกเสมอ บล็อกคือสำนักงานใหญ่ของธุรกิจออนไลน์ บล็อกคือที่ที่คุณเป็นเจ้าของ..ไม่ใช่เฟซบุ๊คเพจ
ที่มา:
http://www.theceoblogger.com/facebook-reach/
เฟซบุ๊คจัดหนัก เพจใหม่คนเห็นแค่ 1% จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต
ผมมีเพื่อนหลายคนที่หันไปใช้ เฟซบุ๊ค เพจในการทำอีคอมเมิร์ซ ประกอบกับ เฟซบุ๊คลิงค์ เป็นอะไรที่ทำอันดับแรงอย่างยิ่งในแง่ของ SEO แม้กระทั้งคีย์ชื่อเว็บไซต์บางเว็บลงไปปรากฏว่า ตัวเฟซบุ๊คเพจของเว็บนั้นๆ กลับอยู่อันดับที่ 1 ในขณะที่ตัวเว็บไซต์หลักกลับเป็นรองเสียอย่างนั้น ด้วยสาเหตุนี้ตลอดทำให้ตลอดปี 2013 ที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบันมีแต่คนลดละเลิกจากการผลิตคอนเทนต์ดีๆ และละจากการทำเว็บไซต์ขายสินค้าและบริการให้เป็นกิจลักษณะแล้วหันไปโปรโมทเนื้อหาผ่านเฟซบุ๊คแทนเกือบทั้งหมด ซึ่งผมเตือนหลายคนที่ทำแบบนี้ว่า อันตรายอย่างยิ่ง หากคุณไม่มีเว็บไซต์ ไม่สร้างแบรนด์ สร้างแฟน ผ่านบล็อกให้เป็นที่รู้จัก สักวันหนึ่งเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงกับเฟซบุ๊คแล้วคุณอาจต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่
Facebook Reach เป็น อัตราการเข้าถึงผู้คน เกิดจากการที่ โพสต์ ของคุณแสดงผลบน Newsfeed ของผู้ใช้เฟซบุ๊ค ซึ่งในอดีตที่เฟซบุ๊คเพจยังไม่มากมายมหาศาล โพสต์หลายโพสต์จากหลายเพจมีการแสดงผลบน Newsfeed ของผู้ใช้งานที่กด Like และเห็นต่อไปยังเพื่อนของเพื่อนที่กด Like
กระทั้งประมาณปี 2012 เป็นต้นมาที่ความสามารถในการ Reach ขั้นพื้นฐานของเพจใหม่ๆ ลดลงเหลือ 10-15% นั่นหมายความว่าเพจใหม่ๆ ที่เข้าวงการมานั้นแทบไม่ได้ถูกเห็นเลย กล่าวคือ 100 คนจะมองเห็นสัก 10 คน และถ้าไม่มีคนกด Like กด Share หรือ Comment ในกาลข้างหน้าการ Reach ก็จะคงที่หรือถดถอยลงไปอีก
และล่าสุดในปลายปี 2013 เฟซบุ๊คได้มีการหั่นความสามารถในการ Reach ขั้นพื้นฐานของเพจต่างๆลดลงเหลือ 1-2% เป็นเหตุให้เพจใหม่ Like น้อยและไม่ค่อยมีคนเข้าไปปฏิสัมพันธ์ก็ยิ่งไม่ค่อยมีคนเห็น สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เจ้าของเพจรู้สึกถูกกดดันจากเฟซบุ๊คคล้ายกับว่าจะไล่ให้ไปซื้อ Facebook Ads ถ้าอยากจะเพิ่ม Like
สิ่งที่เกิดขึ้นบนเฟซบุ๊คที่หลายๆคนอาจมองข้าม
ถ้าคุณเป็นเจ้าของพื้นที่ว่างๆและเปิดพื้นที่ให้คนเข้ามาใช้สอยฟรีๆ แน่นอนว่าผู้คนต้องหลั่งไหลเข้ามาใช้สอยกันอย่างล้นหลาม บางคนก็มาอาศัยอยู่ฟรีนอนฟรี บางคนก็เข้ามาทำมาหากินกับคนอาศัย บางคนก็เข้ามาก่อความวุ่นวาย และในที่สุดคุณก็ต้องเริ่ม คัดกรองผู้เข้ามาใช้สอย และ เก็บเงินผู้เข้ามาหาผลประโยชน์
เฟซบุ๊คเองก็เช่นกัน วันนี้เขาต้องคัดกรองและเก็บเงินผู้เข้ามาหาผลประโยชน์ นั่นก็คือบรรดานักการตลาดที่เข้ามาใช้เฟซบุ๊คเป็นช่องทางทำการตลาดสาย Social media marketing.
การเปิด Facebook page นั้นแสนง่ายและฟรี ผลก็คือ Facebook เต็มไปด้วย เพจขยะ เพจแสปม เพจเปิดทิ้งๆชว้างๆ เพจปั้นไลค์ปั่นไลค์ ฯลฯ ยังไม่รวมเพจขายของบนเฟซบุ๊คที่เปิดกันล้นทะลักเฟซฯ — ลองมองในมุมของ User ดูว่าถ้าต้องเห็นทุกโพสต์ของเพจเหล่านี้บน Feed ไม่ว่าจะเพราะเพื่อนขอร้องให้กด Like หรือเห็นผ่าน เพื่อนของเพื่อน ฯลฯ ก็ไม่ไหว
สิ่งที่เฟซบุ๊คต้องการจะทำคือให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้ที่ดีที่สุด ในกรณีคือ ได้รับคอนเทนต์ที่มีประโยชน์และตรงใจ ตรงนี้จึงเป็นการบ้านของเจ้าของเพจที่จะต้องทำงานหนักในการผลิตคอนเทนต์ดีๆ มีประโยชน์ มีความคิดสร้างสรรค์ ที่จะกระตุ้นให้คน กด Like กด Share และ Comment
เฟซบุ๊คต้องการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน
หลักการเดียวกับ Google ที่มีระบบ Personalization บันทึกพฤติกรรมการค้นหาที่หลายคนเคยประสบ ค้นหาคำว่า “นักศึกษา” เครื่องของคนหนึ่งแสดงผล สถาบันการศึกษา เครื่องของอีกคนหนึ่งแสดงผล พริตตี้ อันนี้คือ Personalization ส่วน Back link ของบทความเสมือนการโหวตบอก Google ว่าบทความนี้ดีที่สุด ก็จะถูกจัดอันดับมาไว้หน้าแรกๆ
สำหรับ เฟซบุ๊ค การกด Like กด Share และ Comment จากผู้ใช้งานคนหนึ่งๆให้แก่เพจของคุณคือการโหวต และหากผู้ใช้งานคนนั้นๆ เข้ามากด Like โพสต์จากเพจของคุณบ่อยๆ เฟซบุ๊ค จะตีความว่าผู้ใช้งานชอบเพจคุณ เพจคุณมีคุณภาพและตรงใจผู้ใช้คนนั้นๆ ก็จะนำไปแสดงผลให้บ่อยขึ้นๆเรื่อยๆ
กระชับพื้นที่ เอาเพจขยะออกไป เอาเพจคุณภาพและเพจที่จ่ายตังเข้ามา
Gary Vaynerchuk นักธุรกิจอินเตอร์เน็ตชื่อดังแสดงความเห็นว่า การที่เฟซบุ๊คจำกัดการ Reach ลงก็เพื่อลดพวกเพจขยะที่เกิดขึ้นมากมายให้ห่างหายออกไปจาก Newsfeed เพื่อเคลียร์พื้นที่สำหรับเพจคุณภาพ และ…เพจที่จ่ายเงินซื้อโฆษณาได้แสดงผล เพราะหากไม่มีระบบกรองสกรีนการแสดงผล เพจขยะที่อัพเดทโพสต์วันละเป็นสิบๆโพสต์แล้วแสดงผลตลอดเวลาจะเบียดบังพื้นที่ของ Newsfeed และไปเกะกะเพจที่จ่ายค่าโฆษณา ถึงแม้จะมีกูรูบางคนบอกว่ามุมมองของ Gary เลอะเทอะแต่ผมเห็นด้วยเต็มร้อยเลยนะ เพราะผมในฐานะที่เป็นทั้ง ผู้ใช้งาน และ ผู้ซื้อโฆษณา ผมก็สัมผัสได้จริงกับเหตุผลและปรากฏการณ์ดังกล่าว
เพจที่ได้รับผลกระทบ
ปัญหาที่คนเข้ามาขายของผ่านทางเฟซบุ๊คหน้าใหม่ประสบคือ การฟลัดเพจด้วยรูปสินค้าและข้อความขายของ วันละ 4-5 ครั้ง หรือมากว่า… ผมเอาตัวอย่างมาให้ดูไม่ได้แต่เชื่อว่าหลายคนคงนึกภาพออกเพราะคงประสบพบเห็นกันมาหมดแล้ว การโพสต์ลักษณะนี้ไม่ได้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งาน คน Like น้อย การแสดงผลก็จะน้อยลงตามไปด้วยจนกระทั่งไม่แสดงผลอีกเลยใน Newsfeed ของผู้ใช้งานบางคน
การซื้อ Like ไม่ว่าจะด้วย Facebook Ads หรือ รับจ้าง Like นั้นก็ไม่ใช่ทางออกสำหรับทุกอย่าง ปริมาณ Like เป็นตัวสร้างโอกาส Reach… พูดอีกครั้ง ปริมาณ Like เป็นตัวสร้างโอกาส Reach แต่จะ Reach มากน้อยก็จะอยู่ที่คอนเทนต์ของคุณได้รับการตอบสนองแค่ไหน
นั่นหมายความว่าการฟลัดเพจด้วย รูปภาพและข้อความขายสินค้าซ้ำๆ กัน อาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี หากคุณโพสต์ 10 โพสต์ต่อวันแต่ไม่มีคนมา Like รายโพสต์ ต่อไปเพจของคุณก็จะเริ่มไม่นำมาถูกแสดงผลใน Newsfeed อีก ในขณะที่เพจที่มีการโพสต์ส่งบอกประสบการณ์ดีๆ มีกิจกรรมสนุกๆ มีการพูดคุยกับแฟนเพจ ก่อให้เกิดการ Viral แบบนั้นแหละที่จะทำให้ Reach มากขึ้น
ต้องมีเว็บไซต์และบล็อกเป็นของตัวเองคือคำตอบสุดท้าย
วันนี้เฟซบุ๊คเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น แต่จะไม่ใช่ขั้นสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงยังมีต่อ และหากวันหนึ่งที่คุณรับไม่ได้ คุณอาจต้องเปลี่ยนไปใช้ Google+ หรือ LinkedIn ถ้าหากคุณเอาธุรกิจของคุณไว้บนเฟซบุ๊คทั้งหมด มันคือการย้ายครั้งยิ่งใหญ่ทีเดียว ข้อมูล รูปภาพ รูปสินค้า ฯลฯ แต่ถ้าคุณมีเว็บไซต์ ข้อมูลต่างๆอยู่บนเว็บไซต์ คุณย้ายโซเชียลไปแต่ตัวเท่านั้น แล้วแปะลิงค์กลับมาหน้า Sales page ขายของได้เหมือนเดิม
ในขณะเดียวกัน การปรับปรุงที่โดดเด่นของเฟซบุ๊คคือ Link post หรือ ลิงค์ไปยังบทความจากบล็อก ที่มีการแสดงรูปภาพขนาดใหญ่และสวยงามซึ่งใหญ่สวยยิ่งกว่าปีที่แล้วเสียอีก ลองมาดูโพสต์เหล่านี้ต่างหันมาใช้ Link post เพื่อส่งผู้อ่านไปยังเว็บไซต์และ Sales page กัน และตรงนี้ครับที่จะเป็นจุดที่ Facebook Ads จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในการใช้ Facebook ads โปรโมทเป็นรายโพสต์เพื่อส่ง Traffic ไปยังหน้าเว็บไซต์ของคุณ โดยเฉพาะส่วนที่
เป็น Sales page และ Landing page สำหรับคนทำธุรกิจและมีสินค้าและบริการที่จะขาย
ต่อให้ เฟซบุ๊ค จะทำอันดับดีแค่ไหนใน Google search และต่อให้บล็อกของผมไม่ติดหน้าแรก ผมก็จะต้องมีบล็อกเสมอ ผมโปรโมทเนื้อหาผ่านทางเฟซบุ๊ค เว็บบอร์ด อีเมล์ลิสต์ แต่ก็จะส่งผู้คนกลับมาที่บล็อกเสมอ บล็อกคือสำนักงานใหญ่ของธุรกิจออนไลน์ บล็อกคือที่ที่คุณเป็นเจ้าของ..ไม่ใช่เฟซบุ๊คเพจ
ที่มา: http://www.theceoblogger.com/facebook-reach/