รู้สึกว่าสังคมสมัยนี้ชักอยากจะปลีกตัวสร้างโลกใหม่กันเหลือเกิน นิยงนิยายอะไรต่างๆก็ครีเอทโลกในความคิดของตัวเองกันมาหลายเล่ม ล่าสุด
Divergent ก็เป็นนิยายอีกเล่มหนึ่งที่แบ่งสังคมออกเป็นกลุ่มเป็นก้อน โดยให้เหตุผลว่า การแบ่งเป็นกลุ่มก็เพื่อง่ายแก่การปกครอง แล้วพวกแกไม่คิดกันเรอะว่า การแบ่งกลุ่มเนี่ย มันก็คือการแตกแยกทางสังคมดีๆนี่เอง..
The Hunger Games เพิ่งสร้างกระแสฟีเวอร์เอาไว้ในปี 2012 เล่าเรื่องราวสังคมดิสโทเปียในอนาคตที่ถูกแบ่งออกเป็น 12 เขตการปกครอง โดยรวมศูนย์กลางทั้งหมดอยู่ที่แคปิตอล ซึ่งทำหน้าที่เป็นรัฐบาลกลางของประเทศพาเน็ม
ถัดมาไม่ทันไร
Divergent โดย
เวโรนิก้า ร็อธ ก็แบ่งสังคมออกเป็น 5 กลุ่มอีกแล้ว ด้วยชื่อเรียกที่ให้คำนิยามของแต่ละกลุ่มคร่าวๆ ซึ่งประกอบไปด้วย
- กลุ่มแอ็บเนเกชั่น (Abnegation) กลุ่มผู้เสียสละ เป็นกลุ่มปกครองประเทศ ซึ่งให้ความสำคัญต่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง
- กลุ่มอีรูไดท์ (Erudite) กลุ่มทรงปัญญา ฉลาดเป็นกรด และฉลาดเกินไปจนเอาเปรียบคนอื่น
- กลุ่มแคนเดอร์ (Candor) กลุ่มผู้คุมกฏ ทุกอย่างต้องอยู่ในกฏระเบียบ ใครทำผิดกฏ ใครละเมิด โดนฟาดซะ
- กลุ่มอมิตี้ (Amity) กลุ่มรักสันติ อยู่โดยไม่รบกวนใคร พยายามหยุดยั้งไม่ให้เกิดสงคราม
- กลุ่มดอนท์เลส (Dauntless) กลุ่มผู้กล้า ดำเนินชีวิตสุดบ้าบิ่น โลดโผนไปนู่นไปนี่ แต่ก็เป็นกำลังสำคัญในการป้องกันประเทศ
แต่ละกลุ่มก็ดำเนินชีวิตของใครของมัน เช่นเดียวกับแต่ละเขตการปกครองใน
The Hunger Games แต่ที่น่าสนใจใน
Divergent ก็คือ วัยรุ่นที่มีอายุครบกำหนดจะต้องเข้ารับการทดสอบเพื่อแบ่งแยกกลุ่มให้ชัดเจน แต่ก็มีพวกหนึ่งที่เทสเออเรอร์ ซึ่งไม่สามารถแบ่งเข้ากลุ่มไหนได้แน่ชัด ตัวอย่างที่เห็นชัดคือนางเอก หรือแม่นาง 'ทริซ' เบียทริซ ไพรเออร์ พวกนี้จะถูกเรียกว่า 'ไดเวอร์เจนท์' เรียกเป็นไทยง่ายๆว่า 'อีผ่าเหล่า'
การเป็นไดเวอร์เจนท์ผิดมั้ย คำตอบคือ ไม่ผิด แต่ด้วยความฉลาดเป็นกรดของกลุ่มอีรูไดท์ หรือเรียกเป็นไทยง่ายๆว่า 'อีรู้มากไป' พวกนี้พยายามยัดเยียมให้คนอื่นคิดตามว่า พวกอีผ่าเหล่าจะเป็นเป็นปัญหากับสังคม เพราะพวกนี้จะแหกกฏของทุกกลุ่ม และไม่มีกลุ่มไหนที่จะควบคุมได้
และนางเอกหรือแม่นางทริซ เธอก็ซวยซะไม่มี ครอบครัวของเธอลงหลักปักฐานอยู่กับกลุ่มแอ็บเนเกชั่น แต่ผลเทสของเธอดันกลายเป็นอีผ่าเหล่า ด้วยการที่เธอมีความสามารถถึง 3 กลุ่ม
พอตอนที่ต้องเลือกว่าจะไปอยู่กลุ่มไหน เธอติดใจในความกล้าบ้าบิ่นของกลุ่มดอนท์เลส เธอจึงเลือกไปผาดโผนโจนทะยานกับกลุ่มนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า การเป็นอีผ่าเหล่าของเธอ ได้ทำให้กลุ่มอีรู้มากไปตามหาตัวให้ควั่ก
ใน
The Hunger Games ประเด็นความขัดแย้งถือว่าเป็นประเด็นที่โดดเด่นมาก และใช้ดำเนินเรื่องได้อย่างสนุกสนาน โดยไม่ต้องไปเล่าเรื่องวาบหวามเหมือนอย่างในนิยายวัยรุ่นเรื่องอื่น
แต่
Divergent ที่มีประเด็นความขัดแย้งน่าสนใจเช่นกัน กลับเลือกที่จะแบ่งความสำคัญให้กับประเด็นความรักระหว่างแม่นางทริซ อีผ่าเหล่า กับพ่อหนุ่มโฟร์ หนุ่มดอนท์เลสที่มีความลับปิดบังไว้ ทำให้ความขัดแย้งลดบทบาทลงไปครึ่งหนึ่ง เมื่อรวมกับการแบ่งแยกกันไม่ขาดของแต่ละกลุ่ม ที่หนังเล่าได้ไม่ละเอียดด้วยแล้ว ประเด็นต่างๆจึงดูไม่แข็งแรงพอที่จะส่งให้หนังดูขึงขังอย่างที่
The Hunger Games ทำได้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
The Hunger Games (ภาคแรก) ทำได้ขึงขังตึงตังมากมาย เพราะการดำเนินเรื่องก็ยังมีความเฉื่อยชาปรากฏให้เห็นเป็นพักๆ ด้วยความที่ตัวละครจะต้องท่องป่าไปเรื่อยๆ เจอกันสองที แย็บกันที ก็ไม่ได้แอ๊กชั่นมากมายอะไร
การดำเนินเรื่องใน
Divergent เริ่มเรื่องมาก็เล่าปูมหลังกันมาเรื่อยๆ น่าสนใจบ้าง งงบ้าง ตลกบ้าง เพราะหนังทำให้เห็นชัดเจนว่าแต่ละกลุ่มมันต้องเป็นยังไง เช่น กลุ่มอีรู้มากไป ก็ก้มหัวงกๆเดินกันในห้องทดลอง, กลุ่มแอ็บเนเกชั่นก็ทำทานริมทาง ยกของนู่นนี่นั่น บลา..บลา..บลา
แต่กลุ่มที่นำเสนอซะโดดเด้งก็คือ ดอนท์เลส กระโดดโลดโผนโจนทะยานในทุกๆฉาก คือถ้าทำแบบที่คนปกติเค้าทำกัน มันคงจะเรียกว่ากลุ่มผู้กล้าไม่ได้กระมัง ผู้กล้าในเรื่องนี้ก็คงความหมายคล้ายๆกับ 'ผู้บ้า' นั่นแหละ
ส่วนพอมากลางๆเรื่อง หนังก็เริ่มที่จะตื่นเต้นบ้างแล้ว แต่พอมีความโรแมนติกระหว่างพระ-นางใส่เข้ามา ความขึงขังจึงต้องอ่อนลง เพื่อหลีกทางให้อีกประเด็นได้เสนอตัวบ้าง
ในขณะที่ตอนท้ายๆเรื่องราวคล้ายๆกับฉากใกล้จบของ
The Hunger Games: Catching Fire ความจริงก็ไม่ได้คล้ายกันเท่าไร แต่หนังแต่ละเรื่องปูเรื่องราวให้มีการกบฏในภาคต่อที่ตามมา ซึ่งสำหรับ
Divergent ภาคต่อก็คือ
Insurgent ถ้าแปลตรงๆก็คือ กบฏ นั่นแหละ
ดูจบเรื่องแล้วก็รู้สึกสนุกดีเหมือนกันสำหรับ
Divergent หนังให้คนดูฉุกคิดเหมือนกันนะ ว่าคนเราสามารถเลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้ ไอ้เทสที่ทดสอบอะะไรนั่นมันก็แค่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต แต่การเลือกว่าเราจะเดินเส้นทางไหนก็อยู่ที่การตัดสินใจของเรา
"เราอยากจะเป็นอีผ่าเหล่า เพราะเราเข้ากับใครไม่ได้เลย หรือเราเข้าได้กับทุกกลุ่มจนไม่อยากจะอยู่กลุ่มใดๆเพียงกลุ่มเดียว"
"เราแตกต่างเพราะไม่เหมือนใคร หรือเราแตกต่างเพราะไม่อยากให้ใครเหมือน ต้องเลือกกันเอาเองแล้วล่ะครับ..."
ปล. นักแสดงในเรื่องนี้แสดงดีหลายคนเลยนะครับ
เชลีน วู้ดลีย์ เล่นได้ดีในบทแม่นางทริซ อีผ่าเหล่า ส่วน
ธีโอ เจมส์ ในบทพระเอก ผมถือว่าปานกลาง ในขณะที่ตัวละครที่เด่นอีก 2 ตัวก็คือ จีนีน ของ
เคต วินสเลท และอีริค ของ
ไจ คอร์ทนีย์ รายหลังนี่โคตรโหดเลยนะ
ระดับคะแนน B-
ขออนุญาตแนะนำ
แฟนเพจรีวิวหนัง
https://www.facebook.com/McksMovie
ติดตามความเคลื่อนไหวของผมได้ที่
Twitter @IamMckario
Instagram @mckario
[CR] Review --- Divergent --- แตกต่างเพราะแปลก หรือแตกต่างเพราะอยากเป็น
The Hunger Games เพิ่งสร้างกระแสฟีเวอร์เอาไว้ในปี 2012 เล่าเรื่องราวสังคมดิสโทเปียในอนาคตที่ถูกแบ่งออกเป็น 12 เขตการปกครอง โดยรวมศูนย์กลางทั้งหมดอยู่ที่แคปิตอล ซึ่งทำหน้าที่เป็นรัฐบาลกลางของประเทศพาเน็ม
ถัดมาไม่ทันไร Divergent โดยเวโรนิก้า ร็อธ ก็แบ่งสังคมออกเป็น 5 กลุ่มอีกแล้ว ด้วยชื่อเรียกที่ให้คำนิยามของแต่ละกลุ่มคร่าวๆ ซึ่งประกอบไปด้วย
- กลุ่มแอ็บเนเกชั่น (Abnegation) กลุ่มผู้เสียสละ เป็นกลุ่มปกครองประเทศ ซึ่งให้ความสำคัญต่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง
- กลุ่มอีรูไดท์ (Erudite) กลุ่มทรงปัญญา ฉลาดเป็นกรด และฉลาดเกินไปจนเอาเปรียบคนอื่น
- กลุ่มแคนเดอร์ (Candor) กลุ่มผู้คุมกฏ ทุกอย่างต้องอยู่ในกฏระเบียบ ใครทำผิดกฏ ใครละเมิด โดนฟาดซะ
- กลุ่มอมิตี้ (Amity) กลุ่มรักสันติ อยู่โดยไม่รบกวนใคร พยายามหยุดยั้งไม่ให้เกิดสงคราม
- กลุ่มดอนท์เลส (Dauntless) กลุ่มผู้กล้า ดำเนินชีวิตสุดบ้าบิ่น โลดโผนไปนู่นไปนี่ แต่ก็เป็นกำลังสำคัญในการป้องกันประเทศ
แต่ละกลุ่มก็ดำเนินชีวิตของใครของมัน เช่นเดียวกับแต่ละเขตการปกครองใน The Hunger Games แต่ที่น่าสนใจใน Divergent ก็คือ วัยรุ่นที่มีอายุครบกำหนดจะต้องเข้ารับการทดสอบเพื่อแบ่งแยกกลุ่มให้ชัดเจน แต่ก็มีพวกหนึ่งที่เทสเออเรอร์ ซึ่งไม่สามารถแบ่งเข้ากลุ่มไหนได้แน่ชัด ตัวอย่างที่เห็นชัดคือนางเอก หรือแม่นาง 'ทริซ' เบียทริซ ไพรเออร์ พวกนี้จะถูกเรียกว่า 'ไดเวอร์เจนท์' เรียกเป็นไทยง่ายๆว่า 'อีผ่าเหล่า'
การเป็นไดเวอร์เจนท์ผิดมั้ย คำตอบคือ ไม่ผิด แต่ด้วยความฉลาดเป็นกรดของกลุ่มอีรูไดท์ หรือเรียกเป็นไทยง่ายๆว่า 'อีรู้มากไป' พวกนี้พยายามยัดเยียมให้คนอื่นคิดตามว่า พวกอีผ่าเหล่าจะเป็นเป็นปัญหากับสังคม เพราะพวกนี้จะแหกกฏของทุกกลุ่ม และไม่มีกลุ่มไหนที่จะควบคุมได้
และนางเอกหรือแม่นางทริซ เธอก็ซวยซะไม่มี ครอบครัวของเธอลงหลักปักฐานอยู่กับกลุ่มแอ็บเนเกชั่น แต่ผลเทสของเธอดันกลายเป็นอีผ่าเหล่า ด้วยการที่เธอมีความสามารถถึง 3 กลุ่ม
พอตอนที่ต้องเลือกว่าจะไปอยู่กลุ่มไหน เธอติดใจในความกล้าบ้าบิ่นของกลุ่มดอนท์เลส เธอจึงเลือกไปผาดโผนโจนทะยานกับกลุ่มนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า การเป็นอีผ่าเหล่าของเธอ ได้ทำให้กลุ่มอีรู้มากไปตามหาตัวให้ควั่ก
ใน The Hunger Games ประเด็นความขัดแย้งถือว่าเป็นประเด็นที่โดดเด่นมาก และใช้ดำเนินเรื่องได้อย่างสนุกสนาน โดยไม่ต้องไปเล่าเรื่องวาบหวามเหมือนอย่างในนิยายวัยรุ่นเรื่องอื่น
แต่ Divergent ที่มีประเด็นความขัดแย้งน่าสนใจเช่นกัน กลับเลือกที่จะแบ่งความสำคัญให้กับประเด็นความรักระหว่างแม่นางทริซ อีผ่าเหล่า กับพ่อหนุ่มโฟร์ หนุ่มดอนท์เลสที่มีความลับปิดบังไว้ ทำให้ความขัดแย้งลดบทบาทลงไปครึ่งหนึ่ง เมื่อรวมกับการแบ่งแยกกันไม่ขาดของแต่ละกลุ่ม ที่หนังเล่าได้ไม่ละเอียดด้วยแล้ว ประเด็นต่างๆจึงดูไม่แข็งแรงพอที่จะส่งให้หนังดูขึงขังอย่างที่ The Hunger Games ทำได้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า The Hunger Games (ภาคแรก) ทำได้ขึงขังตึงตังมากมาย เพราะการดำเนินเรื่องก็ยังมีความเฉื่อยชาปรากฏให้เห็นเป็นพักๆ ด้วยความที่ตัวละครจะต้องท่องป่าไปเรื่อยๆ เจอกันสองที แย็บกันที ก็ไม่ได้แอ๊กชั่นมากมายอะไร
การดำเนินเรื่องใน Divergent เริ่มเรื่องมาก็เล่าปูมหลังกันมาเรื่อยๆ น่าสนใจบ้าง งงบ้าง ตลกบ้าง เพราะหนังทำให้เห็นชัดเจนว่าแต่ละกลุ่มมันต้องเป็นยังไง เช่น กลุ่มอีรู้มากไป ก็ก้มหัวงกๆเดินกันในห้องทดลอง, กลุ่มแอ็บเนเกชั่นก็ทำทานริมทาง ยกของนู่นนี่นั่น บลา..บลา..บลา
แต่กลุ่มที่นำเสนอซะโดดเด้งก็คือ ดอนท์เลส กระโดดโลดโผนโจนทะยานในทุกๆฉาก คือถ้าทำแบบที่คนปกติเค้าทำกัน มันคงจะเรียกว่ากลุ่มผู้กล้าไม่ได้กระมัง ผู้กล้าในเรื่องนี้ก็คงความหมายคล้ายๆกับ 'ผู้บ้า' นั่นแหละ
ส่วนพอมากลางๆเรื่อง หนังก็เริ่มที่จะตื่นเต้นบ้างแล้ว แต่พอมีความโรแมนติกระหว่างพระ-นางใส่เข้ามา ความขึงขังจึงต้องอ่อนลง เพื่อหลีกทางให้อีกประเด็นได้เสนอตัวบ้าง
ในขณะที่ตอนท้ายๆเรื่องราวคล้ายๆกับฉากใกล้จบของ The Hunger Games: Catching Fire ความจริงก็ไม่ได้คล้ายกันเท่าไร แต่หนังแต่ละเรื่องปูเรื่องราวให้มีการกบฏในภาคต่อที่ตามมา ซึ่งสำหรับ Divergent ภาคต่อก็คือ Insurgent ถ้าแปลตรงๆก็คือ กบฏ นั่นแหละ
ดูจบเรื่องแล้วก็รู้สึกสนุกดีเหมือนกันสำหรับ Divergent หนังให้คนดูฉุกคิดเหมือนกันนะ ว่าคนเราสามารถเลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้ ไอ้เทสที่ทดสอบอะะไรนั่นมันก็แค่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต แต่การเลือกว่าเราจะเดินเส้นทางไหนก็อยู่ที่การตัดสินใจของเรา
ปล. นักแสดงในเรื่องนี้แสดงดีหลายคนเลยนะครับ เชลีน วู้ดลีย์ เล่นได้ดีในบทแม่นางทริซ อีผ่าเหล่า ส่วนธีโอ เจมส์ ในบทพระเอก ผมถือว่าปานกลาง ในขณะที่ตัวละครที่เด่นอีก 2 ตัวก็คือ จีนีน ของเคต วินสเลท และอีริค ของไจ คอร์ทนีย์ รายหลังนี่โคตรโหดเลยนะ
ขออนุญาตแนะนำ
แฟนเพจรีวิวหนัง
https://www.facebook.com/McksMovie
ติดตามความเคลื่อนไหวของผมได้ที่
Twitter @IamMckario
Instagram @mckario