หลายครั้งที่เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยต้องสังเวยชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นสังคมไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก ทั้งที่คนกลุ่มนี้เป็นผู้เสียสละ อุทิศตนช่วยเหลือประชาชนทุกครั้งที่ทุกข์ภัยมาเยือน
หลายคนคงจำเหตุการณ์ที่เรือกู้ภัยพร้อมนักประดาน้ำ 5 คน ออกไปช่วยงมศพคนตกปลาพลัดตกน้ำเสียชีวิตในห้วยวังเลา อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม แต่เรือประสบอุบัติเหตุถูกน้ำซัดอับปางลงกลางลำห้วย เมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมาได้
ธนารักษ์ โยธิกุล หรือ "ต๊ะ" หนุ่มกู้ภัยวัย 27 ปี จากมูลนิธิขอนแก่นสามัคคีอุทิศ เป็นหนึ่งในทีมกู้ภัยที่ร่วมภารกิจครั้งนั้น
ต๊ะ กับเพื่อนอีก 4 คน อยู่ในชุดประดาน้ำ นั่งเรือท้องแบนแล่นทวนกระแสน้ำขึ้นไปตามลำห้วยวังเลา แต่ขณะกำลังใกล้ถึงเป้าหมาย เครื่องเรือเกิดดับกะทันหัน ประกอบกับฝายกั้นน้ำของชลประทาน ปล่อยน้ำลงมากระทบกับน้ำในลำห้วยจนเกิดเป็นน้ำวนเชี่ยวกราก เมื่อเรือกู้ภัยเสียการควบคุมจึงถูกกระแสน้ำเหวี่ยงไปปะทะกับตัวฝายอย่างเร็วและแรง
ทีมกู้ภัยทั้งหมดพลัดตกน้ำ ต๊ะ พยายามประคองตัวให้หลุดจากวังน้ำวน และโชคดีที่เขามีเสื้อชูชีพสวมติดตัวอยู่
ระหว่างนั้น ชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ และเอาใจช่วยอยู่ริมตลิ่ง ได้โยนห่วงชูชีพลงไปให้ ซึ่งหลายคนคว้าเอาไว้แล้วถูกลากขึ้นฝั่งได้สำเร็จ ส่วน ต๊ะโยนห่วงชูชีพให้แก่คนขับเรือ เนื่องจากเห็นว่าน่าจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพราะไม่ได้สวมเสื้อชูชีพ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน กระแสน้ำได้พัดต๊ะหายไปกับกระแสน้ำ ท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่ร้องตะโกนหาคนช่วยอยู่ริมฝั่ง ขณะที่นักกู้ภัยเพื่อนของเขาอีก 4 คน ต่างกระ
กระสนช่วยเหลือตัวเองจนรอดพ้นจากกระแสน้ำออกมาได้
อธิวัฒน์ ส่งสุข นักกู้ภัยวัย 28 ปี บอกว่า ปาฏิหาริย์ช่วยให้เขารอดชีวิตมาได้ เพราะหลังจากเรือกระแทกกับฝาย ทุกคนกระเด็นตกน้ำ ไม่มีใครรู้ว่าเพื่อนคนอื่นประสบชะตากรรมอย่างไรบ้าง แต่พอขึ้นฝั่งมาได้จึงรู้ว่าพวกเขาต้องสูญเสียเพื่อนไป 1 คน
"น้องต๊ะ เป็นคนดี มีน้ำใจกับทุกคน ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดสมกับเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัย"
อธิวัฒน์ เล่าทั้งน้ำตา ในวันที่เขาต้องมานั่งอยู่หน้าศพของเพื่อนรุ่นน้องที่ตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่มูลนิธิขอนแก่นสามัคคีอุทิศ
การเสียชีวิตของต๊ะ ทำให้ครอบครัวของเขาต้องสูญเสียเสาหลักไปอย่างไม่มีวันกลับ
"แหวว" นันทพร ค่อมสิงห์ ภรรยาวัย 25 ปี ของต๊ะ บอกว่า พวกเขาสร้างครอบครัวกันมาได้เกือบ 5 ปี มีลูกชาย 1 คน คือ น้องบอส ด.ช.ธนภัทร โยธิกุล วัย 3 ขวบเศษ
แหวว บอกว่า สามีเป็นคนรักครอบครัว รักการทำงานอาสากู้ภัย เพราะมีนิสัยชอบช่วยเหลือคนอื่น ถึงขนาดยอมลาออกจากงานประจำที่ผับแห่งหนึ่งในเมืองขอนแก่น และได้รับการบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ ได้รับเงินเดือน 3,000 บาท
แม้เงินเดือนจะน้อยแต่เป็นคนขยันทำงานพิเศษมีรายได้จุนเจือครอบครัว ก่อนไปทำงานจะโทรศัพท์บอกภรรยา และมีคำพูดปิดท้ายทุกครั้งว่า "รักตัวเองกับลูกนะ กลับมาถึงจะโทรหา"
แต่สำหรับครั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 10.00 น. ต๊ะโทรศัพท์ไปบอกแหววว่า จะไปทำงานที่โกสุมพิสัยด้วยเสียงที่ไม่ค่อยสดชื่นนัก ดูเนือยๆ เหมือนคนไม่พร้อมปฏิบัติหน้าที่ แล้วยังบอกย้ำก่อนวางสายเหมือนเป็นลางว่า "ไม่รู้จะได้กลับตอนไหน"
แหวว บอกว่า คำพูดสุดท้ายของสามีทำให้สังหรณ์ใจ แต่ก็พยายามไม่คิดมากจนกระทั่งทราบข่าวว่าเขาเสียแล้ว
แหวว กลั้นสะอื้น เหลือบมองรูปสามีที่ตั้งอยู่หน้าหีบศพ พรางปรับทุกข์ว่า จากนี้ไปไม่รู้จะอยู่กันอย่างไร ทุกครั้งเมื่อถึงวันสำคัญ สามีจะพยายามทำตัวให้ว่างเพื่อจะได้อยู่กับครอบครัว
"จากนี้หนูก็คงต้องอยู่กันตามลำพังกับลูกและจะสอนลูกให้เป็นคนดีมีน้ำใจคอยช่วยเหลือคนอื่นเหมือนพ่อ"
เช่นเดียวกับ "ตู่" สุภิญญา โยธิกุล น้องสาวของ ต๊ะ วัย 21 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์ สาขาสเปน มหาวิทยาลัยขอนแก่น บอกว่า มีพี่น้อง 3 คน ต๊ะเป็นพี่ชายคนโต เธอเป็นน้องคนเล็ก ตั้งแต่เล็กจนโตสนิทกับพี่ชายคนนี้มาก เพราะเป็นคนอบอุ่น คอยดูแลน้องและช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในครอบครัวด้วย
ตู่ บอกว่า ก่อนวันเกิดเหตุ พี่ชายโทรมาหาบอกว่าเตรียมเงินค่าหอพักไว้ให้ จะโอนเงินเข้าบัญชีให้ แต่ไม่มีหมายเลขบัญชี จึงยังไม่ได้โอน จากนั้นเขาก็ไปปฏิบัติภารกิจที่โกสุมพิสัย และไม่ได้กลับมาอีกเลย ตู่ก้มหน้าร้องไห้ พรางบอกว่า พี่ชายของเธอเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อคนอื่น ตอนอายุประมาณ 20 ปี เคยสมัครเป็นทหารไปประจำการอยู่ที่ค่ายปราณบุรี 2 ปี เมื่อปลดประจำการก็ไปสอบทำงานป้องกันภัยที่จังหวัดภูเก็ต ผ่านหลักสูตรกู้ภัยทางน้ำ อีอาร์ที แต่อยู่ได้แค่ปีเดียว พ่อกับแม่ก็ขอให้กลับมาทำงานที่ขอนแก่น เพราะคิดถึงและเป็นห่วงความปลอดภัย
ต๊ะกลับมาทำงานเป็นพนักงานในผับ ทำให้ได้มีโอกาสเป็นอาสากู้ภัยที่มูลนิธิขอนแก่นสามัคคีอุทิศ จนได้รับการบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่อย่างเต็มตัว แม้ว่าจะได้เงินเดือนไม่มาก แต่พี่ชายภูมิใจมากกับหน้าที่ มีโอกาสก็จะเล่าเรื่องที่พบเห็นให้ฟังอยู่บ่อยๆ ทำให้ทุกคนในครอบครัวเข้าใจและยอมรับถึงหน้าที่ "ผู้เสียสละ"
"หนูเข้าใจในงานของพี่ชายดีว่า แทบจะไม่มีเวลาให้กับคนในครอบครัว แต่ก็เข้าใจว่าพี่ชายทำทุกอย่างด้วยใจรัก" ตู่ย้ำถึงความเสียสละของพี่ชาย
ขณะที่ สุพล บุญชื่นชม หัวหน้าหน่วยกู้ภัยมูลนิธิขอนแก่นสามัคคีอุทิศ บอกว่า การจากไปของต๊ะ เป็นการสูญเสียเจ้าหน้าที่ที่ดีมีคุณภาพ เนื่องจากต๊ะเป็นคนที่ไม่เคยปฏิเสธงาน เป็นแบบอย่างที่ดี คอยเป็นพี่เลี้ยงสอนน้องอาสาให้มีจิตสำนึกที่จะทำหน้าที่อาสากู้ภัย เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จึงเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานทุกคน
"เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ทุกคนตกอยู่ในอาการโศกเศร้า แต่เชื่อว่าจะไม่ทำให้พนักงานอาสาสมัครกู้ภัยท้อใจ เพราะการทำงานกู้ภัยต้องสามารถวิ่งไปช่วยเหลือคนได้ทั่วประเทศ ทุกคนจะยังคงทำหน้าที่อย่างเต็มที่และเต็มกำลังต่อไป ขอให้ต๊ะไปสู่สุคติ คนดีต้องได้ไปพบเจอแต่สิ่งดีๆ ในภพภูมิข้างหน้า"
นี่คือตัวอย่างที่ควรค่าแก่การเชิดชูของอาสาสมัครกู้ภัย ที่ทุ่มเททุกอย่างได้เพื่อคนอื่น จนลืมนึกถึงตัวเอง...หลับให้สบายนะ น้องต๊ะ
ช่วยเขาจนตัวตาย
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นสังคมไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก ทั้งที่คนกลุ่มนี้เป็นผู้เสียสละ อุทิศตนช่วยเหลือประชาชนทุกครั้งที่ทุกข์ภัยมาเยือน
หลายคนคงจำเหตุการณ์ที่เรือกู้ภัยพร้อมนักประดาน้ำ 5 คน ออกไปช่วยงมศพคนตกปลาพลัดตกน้ำเสียชีวิตในห้วยวังเลา อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม แต่เรือประสบอุบัติเหตุถูกน้ำซัดอับปางลงกลางลำห้วย เมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมาได้
ธนารักษ์ โยธิกุล หรือ "ต๊ะ" หนุ่มกู้ภัยวัย 27 ปี จากมูลนิธิขอนแก่นสามัคคีอุทิศ เป็นหนึ่งในทีมกู้ภัยที่ร่วมภารกิจครั้งนั้น
ต๊ะ กับเพื่อนอีก 4 คน อยู่ในชุดประดาน้ำ นั่งเรือท้องแบนแล่นทวนกระแสน้ำขึ้นไปตามลำห้วยวังเลา แต่ขณะกำลังใกล้ถึงเป้าหมาย เครื่องเรือเกิดดับกะทันหัน ประกอบกับฝายกั้นน้ำของชลประทาน ปล่อยน้ำลงมากระทบกับน้ำในลำห้วยจนเกิดเป็นน้ำวนเชี่ยวกราก เมื่อเรือกู้ภัยเสียการควบคุมจึงถูกกระแสน้ำเหวี่ยงไปปะทะกับตัวฝายอย่างเร็วและแรง
ทีมกู้ภัยทั้งหมดพลัดตกน้ำ ต๊ะ พยายามประคองตัวให้หลุดจากวังน้ำวน และโชคดีที่เขามีเสื้อชูชีพสวมติดตัวอยู่
ระหว่างนั้น ชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ และเอาใจช่วยอยู่ริมตลิ่ง ได้โยนห่วงชูชีพลงไปให้ ซึ่งหลายคนคว้าเอาไว้แล้วถูกลากขึ้นฝั่งได้สำเร็จ ส่วน ต๊ะโยนห่วงชูชีพให้แก่คนขับเรือ เนื่องจากเห็นว่าน่าจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพราะไม่ได้สวมเสื้อชูชีพ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน กระแสน้ำได้พัดต๊ะหายไปกับกระแสน้ำ ท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่ร้องตะโกนหาคนช่วยอยู่ริมฝั่ง ขณะที่นักกู้ภัยเพื่อนของเขาอีก 4 คน ต่างกระกระสนช่วยเหลือตัวเองจนรอดพ้นจากกระแสน้ำออกมาได้
อธิวัฒน์ ส่งสุข นักกู้ภัยวัย 28 ปี บอกว่า ปาฏิหาริย์ช่วยให้เขารอดชีวิตมาได้ เพราะหลังจากเรือกระแทกกับฝาย ทุกคนกระเด็นตกน้ำ ไม่มีใครรู้ว่าเพื่อนคนอื่นประสบชะตากรรมอย่างไรบ้าง แต่พอขึ้นฝั่งมาได้จึงรู้ว่าพวกเขาต้องสูญเสียเพื่อนไป 1 คน
"น้องต๊ะ เป็นคนดี มีน้ำใจกับทุกคน ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดสมกับเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัย"
อธิวัฒน์ เล่าทั้งน้ำตา ในวันที่เขาต้องมานั่งอยู่หน้าศพของเพื่อนรุ่นน้องที่ตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่มูลนิธิขอนแก่นสามัคคีอุทิศ
การเสียชีวิตของต๊ะ ทำให้ครอบครัวของเขาต้องสูญเสียเสาหลักไปอย่างไม่มีวันกลับ
"แหวว" นันทพร ค่อมสิงห์ ภรรยาวัย 25 ปี ของต๊ะ บอกว่า พวกเขาสร้างครอบครัวกันมาได้เกือบ 5 ปี มีลูกชาย 1 คน คือ น้องบอส ด.ช.ธนภัทร โยธิกุล วัย 3 ขวบเศษ
แหวว บอกว่า สามีเป็นคนรักครอบครัว รักการทำงานอาสากู้ภัย เพราะมีนิสัยชอบช่วยเหลือคนอื่น ถึงขนาดยอมลาออกจากงานประจำที่ผับแห่งหนึ่งในเมืองขอนแก่น และได้รับการบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ ได้รับเงินเดือน 3,000 บาท
แม้เงินเดือนจะน้อยแต่เป็นคนขยันทำงานพิเศษมีรายได้จุนเจือครอบครัว ก่อนไปทำงานจะโทรศัพท์บอกภรรยา และมีคำพูดปิดท้ายทุกครั้งว่า "รักตัวเองกับลูกนะ กลับมาถึงจะโทรหา"
แต่สำหรับครั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 10.00 น. ต๊ะโทรศัพท์ไปบอกแหววว่า จะไปทำงานที่โกสุมพิสัยด้วยเสียงที่ไม่ค่อยสดชื่นนัก ดูเนือยๆ เหมือนคนไม่พร้อมปฏิบัติหน้าที่ แล้วยังบอกย้ำก่อนวางสายเหมือนเป็นลางว่า "ไม่รู้จะได้กลับตอนไหน"
แหวว บอกว่า คำพูดสุดท้ายของสามีทำให้สังหรณ์ใจ แต่ก็พยายามไม่คิดมากจนกระทั่งทราบข่าวว่าเขาเสียแล้ว
แหวว กลั้นสะอื้น เหลือบมองรูปสามีที่ตั้งอยู่หน้าหีบศพ พรางปรับทุกข์ว่า จากนี้ไปไม่รู้จะอยู่กันอย่างไร ทุกครั้งเมื่อถึงวันสำคัญ สามีจะพยายามทำตัวให้ว่างเพื่อจะได้อยู่กับครอบครัว
"จากนี้หนูก็คงต้องอยู่กันตามลำพังกับลูกและจะสอนลูกให้เป็นคนดีมีน้ำใจคอยช่วยเหลือคนอื่นเหมือนพ่อ"
เช่นเดียวกับ "ตู่" สุภิญญา โยธิกุล น้องสาวของ ต๊ะ วัย 21 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์ สาขาสเปน มหาวิทยาลัยขอนแก่น บอกว่า มีพี่น้อง 3 คน ต๊ะเป็นพี่ชายคนโต เธอเป็นน้องคนเล็ก ตั้งแต่เล็กจนโตสนิทกับพี่ชายคนนี้มาก เพราะเป็นคนอบอุ่น คอยดูแลน้องและช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในครอบครัวด้วย
ตู่ บอกว่า ก่อนวันเกิดเหตุ พี่ชายโทรมาหาบอกว่าเตรียมเงินค่าหอพักไว้ให้ จะโอนเงินเข้าบัญชีให้ แต่ไม่มีหมายเลขบัญชี จึงยังไม่ได้โอน จากนั้นเขาก็ไปปฏิบัติภารกิจที่โกสุมพิสัย และไม่ได้กลับมาอีกเลย ตู่ก้มหน้าร้องไห้ พรางบอกว่า พี่ชายของเธอเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อคนอื่น ตอนอายุประมาณ 20 ปี เคยสมัครเป็นทหารไปประจำการอยู่ที่ค่ายปราณบุรี 2 ปี เมื่อปลดประจำการก็ไปสอบทำงานป้องกันภัยที่จังหวัดภูเก็ต ผ่านหลักสูตรกู้ภัยทางน้ำ อีอาร์ที แต่อยู่ได้แค่ปีเดียว พ่อกับแม่ก็ขอให้กลับมาทำงานที่ขอนแก่น เพราะคิดถึงและเป็นห่วงความปลอดภัย
ต๊ะกลับมาทำงานเป็นพนักงานในผับ ทำให้ได้มีโอกาสเป็นอาสากู้ภัยที่มูลนิธิขอนแก่นสามัคคีอุทิศ จนได้รับการบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่อย่างเต็มตัว แม้ว่าจะได้เงินเดือนไม่มาก แต่พี่ชายภูมิใจมากกับหน้าที่ มีโอกาสก็จะเล่าเรื่องที่พบเห็นให้ฟังอยู่บ่อยๆ ทำให้ทุกคนในครอบครัวเข้าใจและยอมรับถึงหน้าที่ "ผู้เสียสละ"
"หนูเข้าใจในงานของพี่ชายดีว่า แทบจะไม่มีเวลาให้กับคนในครอบครัว แต่ก็เข้าใจว่าพี่ชายทำทุกอย่างด้วยใจรัก" ตู่ย้ำถึงความเสียสละของพี่ชาย
ขณะที่ สุพล บุญชื่นชม หัวหน้าหน่วยกู้ภัยมูลนิธิขอนแก่นสามัคคีอุทิศ บอกว่า การจากไปของต๊ะ เป็นการสูญเสียเจ้าหน้าที่ที่ดีมีคุณภาพ เนื่องจากต๊ะเป็นคนที่ไม่เคยปฏิเสธงาน เป็นแบบอย่างที่ดี คอยเป็นพี่เลี้ยงสอนน้องอาสาให้มีจิตสำนึกที่จะทำหน้าที่อาสากู้ภัย เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จึงเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานทุกคน
"เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ทุกคนตกอยู่ในอาการโศกเศร้า แต่เชื่อว่าจะไม่ทำให้พนักงานอาสาสมัครกู้ภัยท้อใจ เพราะการทำงานกู้ภัยต้องสามารถวิ่งไปช่วยเหลือคนได้ทั่วประเทศ ทุกคนจะยังคงทำหน้าที่อย่างเต็มที่และเต็มกำลังต่อไป ขอให้ต๊ะไปสู่สุคติ คนดีต้องได้ไปพบเจอแต่สิ่งดีๆ ในภพภูมิข้างหน้า"
นี่คือตัวอย่างที่ควรค่าแก่การเชิดชูของอาสาสมัครกู้ภัย ที่ทุ่มเททุกอย่างได้เพื่อคนอื่น จนลืมนึกถึงตัวเอง...หลับให้สบายนะ น้องต๊ะ