ขอเกริ่นก่อนว่าเราได้ร่วมงานกับหัวหน้าคนนี้มาเกือบสามปีแล้วค่ะ
ตอนแรกที่ได้เจอ เราไม่ชอบเค้าด้วยซ้ำไปค่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องงานที่เกี่ยวกับตัวเลข
เขาเลยดูเป็นคนจุกจิก ถามนู่นถามนี่จนเราไม่เป็นอันทำงานทำการ
ส่วนเรื่องส่วนตัวของเขา เขาเคยผ่านการหมั้นมาแล้วค่ะ โดยให้เหตุผลว่าตอนนั้นโดนบังคับตามสไตล์ลูกคนจีน
แต่เนื่องจากตอนนั้นเขารู้สึกไม่พร้อมและยังไม่อยากแต่งงาน เลยเป็นคนถอนหมั้นไป (ซะงั้น?)
ส่วนนิสัยส่วนตัว จขกท. มองว่าเขาเป็นคนบ้างานมากกกกค่ะ
ถ้าในมุมมองลูกน้องกับหัวหน้า ถือว่าเป็นคนมีความอดทนมากกกกกกกกก...กกกกก สามารถรับแรงกดดันอันสูงลื่วได้
มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานสูงมากกกกก วันหยุดบางทีก็ทำงานอยู่ที่บ้าน
เร็วๆนี้ได้ข่าวว่าได้รับรางวัลจากบริษัทด้วยค่ะ พูดง่ายๆว่าบางทีนาง(?)ก็คือไอดอลของฉัน(ในเรื่องงาน)
เรียกว่าทำงานพลีชีพกันเลยทีเดียว ส่วนนิสัยส่วนตัวอื่นๆเท่าที่สังเกต ณ ที่ทำงาน
เขาไม่ค่อยสนใจใครค่ะ นอกจาก "งาน" นางเคยบอกว่า "ไม่ชอบคนเยอะ ไม่ชอบความวุ่นวาย บลาๆๆ"
ประมาณรักสงบ อ้อ.. รักธรรมชาติ รักความเงียบ เพราะเขาเคยบอกว่าอยากที่บ้านแบบต่างจังหวัดไว้พักผ่อนอะไรประมาณนี้ค่ะ
ส่วนเรื่องระหว่างเราสองคน ด้วยความที่ จขกท. เป็นเด็กใหม่ (เมื่อหลายปีที่แล้ว) ที่จบมาไม่ตรงสายงานแม้แต่น้อย
เค้าก็คอยสอนงานเราตลอดค่ะ มีช่วงนึงเปิดคอร์สสอนเดี่ยวหลังเลิกงานด้วยค่ะ
บางวันทำงานดึก ก็ไปทานข้าวก่อนกลับบ้านกันด้วยค่ะ ระหว่างทานข้าวก็มีการพูดคุยเรื่องนู่นนี่ตามสไตล์
สรุปคือ ความสัมพันธ์จากไม่ชอบ ก็กลายมาเป็น "ก็ดี๊(?)"
ระยะเวลาก็ผ่านไปจนช่วงวันเกิดของ จขกท. ขอเกริ่นอีกนิดว่าหลายปีที่ผ่านมา หัวหน้าไม่เคยให้ของขวัญวันเกิดหรือมีเหตุการณ์พิเศษไรเลย
จนปีนี้ อยู่ดีๆหัวหน้าก็เอาของขวัญ(ซึ่งมีมูลค่าประมาณนึง)มาให้ค่ะ จขกท.แอบตกใจ แบบเอ๊ะ .. อะไรยังไง
แล้วพอดีวันนั้นงานเยอะ งานยุ่ง งานยาก งานปวดหัว เลยกลับเย็นกัน
จขกท. เห็นนางดูซีเรียสมาก เลยชวนคุยเล่นนู่นนี่ เลยบอกว่าจริงๆแล้วมีไรให้ช่วยก็บอกได้นะ
ถ้าช่วยได้ก็จะช่วย .. เค้าก็มองหน้าแล้วถามว่าจะช่วยหรอ ?
ก็เลยบอกว่า "ถ้าช่วยได้" ก็จะช่วยค่ะ
เขาก็เงียบไปซักพัก แล้วบอกว่า "งั้นช่วยอยู่ข้างๆเขาได้ไหม?" ณ จุดนั้น อึนค่ะ คืออะรายยยยยยย?
แต่ก็เล่นมุกไปว่า "ก็เดินอยู่ข้างๆอยู่นี่ไง"
เขาก็ถามว่า "นี่ไม่รู้จริงๆหรอ ว่าเขาหมายถึงอะไร"
เอาจริงๆถ้าคิดแบบเข้าข้างตัวเอง จขกท. ก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างมาซักะักแล้วค่ะ
แต่ ณ ตีมึน ทำหน้าแบ๊วใส่ไป แล้วตอบกลับไปว่า "คืออะไร .. ไม่เข้าใจ"
เขาเลย "สารภาพ" ค่ะว่า เขาชอบเรา อย่างนู้นอย่านี้อย่างนั้น (ณ จุดนี้มึนจริงค่ะ -*-)
"เราจะเป็นแฟนกันได้ไหม?" หืมมมมมมมมมมมมมมมมม ... อะไรนะ !
ด้วยความตกใจ สับสนในชีวิต และความมึนจากคำสารภาพ ณ ตอนนั้น เลยตอบไปว่า "ไม่รู้สิ" ถามไรชั้นตอนนั้นชั้นไม่รู้ทุกอย่างอะค่ะ
เขาเลยบอกว่า "ยังไม่ต้องตอบเขาตอนนี้ก็ได้" แต่ดูจากท่าทาง .. เขาอยากได้คำตอบเลยนะ 555
พอดีเดินถึงจุดหมายที่จขกท. พอดีต้องไปทำธุระ เขาบอกว่า ไปทำธุระเลย เดี๋ยวเขารอ (?)
หืมมมมมมมมม .. รอทำมายยยย ไม่ต๊องงงงงงง ยังไงก็กลับกันคนละทาง
สรุปเค้าก็รอค่ะ สองชั่วโมงได้ ซึ่งปกติไม่เคยทำอะไรแบบนี้
ระหว่างจขกท.ทำธุระไป ก็กระวนกระวายไป พอทำธุระเสร็จก็โทรบอกเขาค่ะ
พอเจอกันก็ไม่มีอะไร เดินไปพร้อมกันโดยไม่มีบทสนทนาใดๆจนแยกกัน .... รอเพื่อ?????
หลังจากวันนั้น เราก็ยังทำงานห้องเดียวกันตามปกติค่ะ ทำอย่างกลับสู่ภาวะปกติ
เวลาอยู่ที่ทำงานมีเพื่อนร่วมงาน ก็เหมือนหัวหน้ากับลูกน้องปกติเลย
แต่บางวันเขาชวนไปกินข้าวกลางวันกันสองคน ก็กินปกติเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
สรุปแล้วจขกท.กลายเป็นคนที่งง สับสน และกระวนกระวายกับเรื่องนี้อยู่เรื่องเดียวไหมคะเนี่ย
หรืออีกมุมก็มองว่าผู้ชายอาจไม่ค่อยแสดงออก บลาๆๆ
ถ้าเป็นคุณๆ .... ควรทำไงต่อไปดีคะ ??
ปล. เหตุการณ์เพิ่มเติม ตอนนี้ จขกท. สัมผัสได้ว่ามีเพื่อนร่วมงานอีกคนพยายามเข้าหา จขกท. อยู่
คนนั้นชอบมาพูดคุย และ เคยบอกนานแล้วว่าชอบ จขกท. ค่ะ
แต่ว่า จขกท. ตัดสินใจแล้วว่า "ถึงหล่อกว่า แต่มันก็ไม่ใช่อะ!"
ส่วนตัว จขกท. เองก็พยายามรักษาระยะห่างกับคนนี้อยู่ค่ะ
ประเด็นคือ สองคนนี้ก็สนิทกันในระดับนึงด้วย ! ปวดหัวจริงๆเลยค่ะ
แก้ไขเหตุการณ์เพิ่มเติม ***
ก่อนหน้านี้เราไปบิสิเนสทริปกับหัวหน้า "2 คน" ที่ LA มาค่ะ
เนื่องด้วยภูมิอากาศที่ไม่เหมือนบ้านเรา พูดง่ายๆว่าหนาวอะค่ะ
ขณะที่นั่งรถเราก็เลยนั่งกอดอก เขาก็ถามว่าหนาวหรอ เราก็บอกว่าก็นิดนึง (จริงๆก็ไม่นิด-*-)
เขาเลยบอกว่าขอดูมือหน่อย ดูแล้วก็บอกว่าไม่น่าจะนิดนะ แบบมือออกแล้วจับไว้สิ ... พูดแค่นี้
ในขณะที่เรากำลังแบมือ แล้วกำลังจะจับมืออีกข้างตัวเองไว้ เขาก็เอามือสองข้าง คว้ามือเราทั้งสองข้างไปกุมไว้ค่ะ
ณ จุดนั้น มึนนนนนค่ะ .. ทำไรไม่ถูก ได้แต่นั่งเฉยๆ กุมปายยยยย ยาวๆ ~
จนถึงที่หมายพอดีต้องหยิบกระเป๋านู่นนี่ เลยต้องปล่อย ส่งท้ายด้วยคำพูดที่ว่า
อย่าปล่อยให้มือหนาวสิ ! หืมมมมมมมมมมมม (?) จ้าาาาาาาา (?)
ส่วนอีกเหตุการณ์นึงคือวันกลับบนเครื่องค่ะ
เนื่องด้วยต้องเดินทางนาน เหนื่อย นอนไม่พอ บลาๆๆ
จขกท. เลยเผลอหลับบนเครื่อง เหตุการณ์ตอนนั้นจำไม่ค่อยได้จริงๆค่ะ
จำได้แค่ว่า เราน่าจะหลับหัวโยกไปมา(เดา) แล้วชอทนั้นหัวน่าจะกำลังโยกไปฟาดกับฝั่งหน้าต่าง
อยู่ดีๆก็สัมผัสได้ว่า "ใคร" มาจับหัวเรา (แบบจับไม่ให้ชน) เราเลยสะดุ้งตื่นแบบงงๆ
เขาก็ถามว่า "ไม่เป็นไรใช่ไหม" "ไม่เป็นไรค่ะ .... "
เขาบอกว่า "ถ้าง่วงก็พิงไหล่เขาได้นะ" หืมมมมมมมมมมมมมมมม (?) "ไม่เป็นไรค่ะ"
สรุปก็ไม่ได้พงไม่พิงอะไร๊ ~~~~ ไม่ดีมั้ง ...
จจกท. คาดว่าตัวเองน่าจะหลับไปอีก พอเหมือนจะรู้สึกตัวนิดๆ
"เอ๊ะ ! ใครจับหัวชั้น หัวชั้นก็ไม่ได้โยก แต่ดัน ... เอ๊ะ ! ชั้นพิงอะไร ?"
เหมือนหัวชั้นกำลังพิงไหล่ใครบางคน แถมยังจับหัวชั้นไว้อีก !
ณ จุดนี้ เหมือนซีรีย์เกาหลีไหมคะ ?
จขกท. ทำไรไม่ถูกเลยจำใจต้องนั่งท่านั้นต่อไป จนซักพักเริ่มเมื่อยและหลับไม่ลง
จึงพยานามขยับเหมือนรู้สึกตัว รู้สึกได้ว่าเค้ารีบปล่อยเลย เราก็ทำเป็นลุกแบบงัวเงีย
ก็ ..... เหมือนไม่มีไรเกิดขึ้นค่ะ
ตลอดมาก็รู้สึกไม่ได้คิดอะไรนะคะ .. แต่บางทีก็แบบ "ไม่รู้สินะ"
คำสารภาพ(รัก)จากหัวหน้าแผนก
ตอนแรกที่ได้เจอ เราไม่ชอบเค้าด้วยซ้ำไปค่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องงานที่เกี่ยวกับตัวเลข
เขาเลยดูเป็นคนจุกจิก ถามนู่นถามนี่จนเราไม่เป็นอันทำงานทำการ
ส่วนเรื่องส่วนตัวของเขา เขาเคยผ่านการหมั้นมาแล้วค่ะ โดยให้เหตุผลว่าตอนนั้นโดนบังคับตามสไตล์ลูกคนจีน
แต่เนื่องจากตอนนั้นเขารู้สึกไม่พร้อมและยังไม่อยากแต่งงาน เลยเป็นคนถอนหมั้นไป (ซะงั้น?)
ส่วนนิสัยส่วนตัว จขกท. มองว่าเขาเป็นคนบ้างานมากกกกค่ะ
ถ้าในมุมมองลูกน้องกับหัวหน้า ถือว่าเป็นคนมีความอดทนมากกกกกกกกก...กกกกก สามารถรับแรงกดดันอันสูงลื่วได้
มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานสูงมากกกกก วันหยุดบางทีก็ทำงานอยู่ที่บ้าน
เร็วๆนี้ได้ข่าวว่าได้รับรางวัลจากบริษัทด้วยค่ะ พูดง่ายๆว่าบางทีนาง(?)ก็คือไอดอลของฉัน(ในเรื่องงาน)
เรียกว่าทำงานพลีชีพกันเลยทีเดียว ส่วนนิสัยส่วนตัวอื่นๆเท่าที่สังเกต ณ ที่ทำงาน
เขาไม่ค่อยสนใจใครค่ะ นอกจาก "งาน" นางเคยบอกว่า "ไม่ชอบคนเยอะ ไม่ชอบความวุ่นวาย บลาๆๆ"
ประมาณรักสงบ อ้อ.. รักธรรมชาติ รักความเงียบ เพราะเขาเคยบอกว่าอยากที่บ้านแบบต่างจังหวัดไว้พักผ่อนอะไรประมาณนี้ค่ะ
ส่วนเรื่องระหว่างเราสองคน ด้วยความที่ จขกท. เป็นเด็กใหม่ (เมื่อหลายปีที่แล้ว) ที่จบมาไม่ตรงสายงานแม้แต่น้อย
เค้าก็คอยสอนงานเราตลอดค่ะ มีช่วงนึงเปิดคอร์สสอนเดี่ยวหลังเลิกงานด้วยค่ะ
บางวันทำงานดึก ก็ไปทานข้าวก่อนกลับบ้านกันด้วยค่ะ ระหว่างทานข้าวก็มีการพูดคุยเรื่องนู่นนี่ตามสไตล์
สรุปคือ ความสัมพันธ์จากไม่ชอบ ก็กลายมาเป็น "ก็ดี๊(?)"
ระยะเวลาก็ผ่านไปจนช่วงวันเกิดของ จขกท. ขอเกริ่นอีกนิดว่าหลายปีที่ผ่านมา หัวหน้าไม่เคยให้ของขวัญวันเกิดหรือมีเหตุการณ์พิเศษไรเลย
จนปีนี้ อยู่ดีๆหัวหน้าก็เอาของขวัญ(ซึ่งมีมูลค่าประมาณนึง)มาให้ค่ะ จขกท.แอบตกใจ แบบเอ๊ะ .. อะไรยังไง
แล้วพอดีวันนั้นงานเยอะ งานยุ่ง งานยาก งานปวดหัว เลยกลับเย็นกัน
จขกท. เห็นนางดูซีเรียสมาก เลยชวนคุยเล่นนู่นนี่ เลยบอกว่าจริงๆแล้วมีไรให้ช่วยก็บอกได้นะ
ถ้าช่วยได้ก็จะช่วย .. เค้าก็มองหน้าแล้วถามว่าจะช่วยหรอ ?
ก็เลยบอกว่า "ถ้าช่วยได้" ก็จะช่วยค่ะ
เขาก็เงียบไปซักพัก แล้วบอกว่า "งั้นช่วยอยู่ข้างๆเขาได้ไหม?" ณ จุดนั้น อึนค่ะ คืออะรายยยยยยย?
แต่ก็เล่นมุกไปว่า "ก็เดินอยู่ข้างๆอยู่นี่ไง"
เขาก็ถามว่า "นี่ไม่รู้จริงๆหรอ ว่าเขาหมายถึงอะไร"
เอาจริงๆถ้าคิดแบบเข้าข้างตัวเอง จขกท. ก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างมาซักะักแล้วค่ะ
แต่ ณ ตีมึน ทำหน้าแบ๊วใส่ไป แล้วตอบกลับไปว่า "คืออะไร .. ไม่เข้าใจ"
เขาเลย "สารภาพ" ค่ะว่า เขาชอบเรา อย่างนู้นอย่านี้อย่างนั้น (ณ จุดนี้มึนจริงค่ะ -*-)
"เราจะเป็นแฟนกันได้ไหม?" หืมมมมมมมมมมมมมมมมม ... อะไรนะ !
ด้วยความตกใจ สับสนในชีวิต และความมึนจากคำสารภาพ ณ ตอนนั้น เลยตอบไปว่า "ไม่รู้สิ" ถามไรชั้นตอนนั้นชั้นไม่รู้ทุกอย่างอะค่ะ
เขาเลยบอกว่า "ยังไม่ต้องตอบเขาตอนนี้ก็ได้" แต่ดูจากท่าทาง .. เขาอยากได้คำตอบเลยนะ 555
พอดีเดินถึงจุดหมายที่จขกท. พอดีต้องไปทำธุระ เขาบอกว่า ไปทำธุระเลย เดี๋ยวเขารอ (?)
หืมมมมมมมมม .. รอทำมายยยย ไม่ต๊องงงงงงง ยังไงก็กลับกันคนละทาง
สรุปเค้าก็รอค่ะ สองชั่วโมงได้ ซึ่งปกติไม่เคยทำอะไรแบบนี้
ระหว่างจขกท.ทำธุระไป ก็กระวนกระวายไป พอทำธุระเสร็จก็โทรบอกเขาค่ะ
พอเจอกันก็ไม่มีอะไร เดินไปพร้อมกันโดยไม่มีบทสนทนาใดๆจนแยกกัน .... รอเพื่อ?????
หลังจากวันนั้น เราก็ยังทำงานห้องเดียวกันตามปกติค่ะ ทำอย่างกลับสู่ภาวะปกติ
เวลาอยู่ที่ทำงานมีเพื่อนร่วมงาน ก็เหมือนหัวหน้ากับลูกน้องปกติเลย
แต่บางวันเขาชวนไปกินข้าวกลางวันกันสองคน ก็กินปกติเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
สรุปแล้วจขกท.กลายเป็นคนที่งง สับสน และกระวนกระวายกับเรื่องนี้อยู่เรื่องเดียวไหมคะเนี่ย
หรืออีกมุมก็มองว่าผู้ชายอาจไม่ค่อยแสดงออก บลาๆๆ
ถ้าเป็นคุณๆ .... ควรทำไงต่อไปดีคะ ??
ปล. เหตุการณ์เพิ่มเติม ตอนนี้ จขกท. สัมผัสได้ว่ามีเพื่อนร่วมงานอีกคนพยายามเข้าหา จขกท. อยู่
คนนั้นชอบมาพูดคุย และ เคยบอกนานแล้วว่าชอบ จขกท. ค่ะ
แต่ว่า จขกท. ตัดสินใจแล้วว่า "ถึงหล่อกว่า แต่มันก็ไม่ใช่อะ!"
ส่วนตัว จขกท. เองก็พยายามรักษาระยะห่างกับคนนี้อยู่ค่ะ
ประเด็นคือ สองคนนี้ก็สนิทกันในระดับนึงด้วย ! ปวดหัวจริงๆเลยค่ะ
แก้ไขเหตุการณ์เพิ่มเติม ***
ก่อนหน้านี้เราไปบิสิเนสทริปกับหัวหน้า "2 คน" ที่ LA มาค่ะ
เนื่องด้วยภูมิอากาศที่ไม่เหมือนบ้านเรา พูดง่ายๆว่าหนาวอะค่ะ
ขณะที่นั่งรถเราก็เลยนั่งกอดอก เขาก็ถามว่าหนาวหรอ เราก็บอกว่าก็นิดนึง (จริงๆก็ไม่นิด-*-)
เขาเลยบอกว่าขอดูมือหน่อย ดูแล้วก็บอกว่าไม่น่าจะนิดนะ แบบมือออกแล้วจับไว้สิ ... พูดแค่นี้
ในขณะที่เรากำลังแบมือ แล้วกำลังจะจับมืออีกข้างตัวเองไว้ เขาก็เอามือสองข้าง คว้ามือเราทั้งสองข้างไปกุมไว้ค่ะ
ณ จุดนั้น มึนนนนนค่ะ .. ทำไรไม่ถูก ได้แต่นั่งเฉยๆ กุมปายยยยย ยาวๆ ~
จนถึงที่หมายพอดีต้องหยิบกระเป๋านู่นนี่ เลยต้องปล่อย ส่งท้ายด้วยคำพูดที่ว่า
อย่าปล่อยให้มือหนาวสิ ! หืมมมมมมมมมมมม (?) จ้าาาาาาาา (?)
ส่วนอีกเหตุการณ์นึงคือวันกลับบนเครื่องค่ะ
เนื่องด้วยต้องเดินทางนาน เหนื่อย นอนไม่พอ บลาๆๆ
จขกท. เลยเผลอหลับบนเครื่อง เหตุการณ์ตอนนั้นจำไม่ค่อยได้จริงๆค่ะ
จำได้แค่ว่า เราน่าจะหลับหัวโยกไปมา(เดา) แล้วชอทนั้นหัวน่าจะกำลังโยกไปฟาดกับฝั่งหน้าต่าง
อยู่ดีๆก็สัมผัสได้ว่า "ใคร" มาจับหัวเรา (แบบจับไม่ให้ชน) เราเลยสะดุ้งตื่นแบบงงๆ
เขาก็ถามว่า "ไม่เป็นไรใช่ไหม" "ไม่เป็นไรค่ะ .... "
เขาบอกว่า "ถ้าง่วงก็พิงไหล่เขาได้นะ" หืมมมมมมมมมมมมมมมม (?) "ไม่เป็นไรค่ะ"
สรุปก็ไม่ได้พงไม่พิงอะไร๊ ~~~~ ไม่ดีมั้ง ...
จจกท. คาดว่าตัวเองน่าจะหลับไปอีก พอเหมือนจะรู้สึกตัวนิดๆ
"เอ๊ะ ! ใครจับหัวชั้น หัวชั้นก็ไม่ได้โยก แต่ดัน ... เอ๊ะ ! ชั้นพิงอะไร ?"
เหมือนหัวชั้นกำลังพิงไหล่ใครบางคน แถมยังจับหัวชั้นไว้อีก !
ณ จุดนี้ เหมือนซีรีย์เกาหลีไหมคะ ?
จขกท. ทำไรไม่ถูกเลยจำใจต้องนั่งท่านั้นต่อไป จนซักพักเริ่มเมื่อยและหลับไม่ลง
จึงพยานามขยับเหมือนรู้สึกตัว รู้สึกได้ว่าเค้ารีบปล่อยเลย เราก็ทำเป็นลุกแบบงัวเงีย
ก็ ..... เหมือนไม่มีไรเกิดขึ้นค่ะ
ตลอดมาก็รู้สึกไม่ได้คิดอะไรนะคะ .. แต่บางทีก็แบบ "ไม่รู้สินะ"