มองแบบธุรกิจ กลยุทธ์ กับการปิดตัว BOOM เพื่อนยาก

ต้องบอกก่อนว่าผมทำงานแล้ว ได้ยินว่า BOOM ปิดตัว ก็ใจหาย
จำได้ว่าเด็กๆ อ่านหมึกจีน ตอนนั้นไม่รู้จักลิขสิทธิ์เลย

จนการ์ตูนลิขสิทธิ์เริ่มครั้งแรก  ยังจำได้ตอน SLAMDUNK มาลง BOOM  โกรธ BOOM เลย!! 555

หลังจากนั้นเป็นอะไรที่โรแมนซ์มาก เช่น การต่อคิว 10 คนขึ้นไปเพื่ออ่าน BOOM (เพื่อนที่มีฐานะดีจะเป็นคนซื้อ)

จากวัยเด็กสู่วัยมหาวิทยาลัย จนทำงาน การ์ตูนลิขสิทธิ์เต็มตู้เสื้อผ้า  (ส่วนใหญ่เป็น VBK เพราะออกเยอะและหลายเรื่องยาวมาก)
ช่วงเปลี่ยนเข้ามหาวิทยาลัยตัดสินใจขายเอาเงินจำได้ว่า  คนซื้อเอาไปตั้งร้านการ์ตูนเช่าได้ 1 ร้าน
คนซื้อไปดีใจที่เรามีทุกอย่างครบชุด  ดร.เค  ก้าวแรก  ทาเครุ  ล่าอสูรกาย ฯลฯ
(เพิ่มเติม ซื้อสะสม แล้วขาย รอบใหญ่แบบนี้ 2-3 รอบ ว่าจะไม่ซื้ออีก สุดท้ายก็เต็มบ้านอีก ก็ต้องขาย)

จากวัยมหาวิทยาลัย จะตามเฉพาะเรื่องที่ชอบจากรายสัปดาห์ เก็บรวมเล่มที่ชอบแต่ไม่เท่ามัธยม

จนทุกวันนี้ ไปแผงหนังสือทุกวัน ย้ำว่าทุกวัน เพื่อหาการ์ตูนที่ตามเก็บ  บางทีเดินไปดูก็สุขใจที่ได้ลุ้น และโคตรดีใจที่เห็นเล่มที่รอ ออกมา

พอเวลายิ่งผ่านไปจำนวนเรื่องที่เฝ้ารอก็ลดลงเรื่อยๆ  จนทุกวันนี้เหลือเท่านี้
EXE
บาคุ
หงสาฯ
อิริว
ONE PIECE
GANTZ
(มีค่ายเดียวกับ BOOM ไหมนี่?)
วัตถุประสงค์เพื่อ สะสม

ส่วนเรื่องอื่นๆ นอกจากนี้จะเป็นลักษณะซื้อมาโดยไม่ได้วางแผน  แค่อยากอ่าน  อ่านเสร็จก็รวมใส่ถุงไปวางทิ้งตรงที่รวมทิ้งขยะคอนโด
หวังอยากให้คนเก็บเอาไปอ่านต่อ  หรือ  เอาไปขายเอาเงินไปใช้

-------------------------------------------------
ลองคิดดูถึงความต้องการลูกค้า
A.  อ่านสนุก ติดตาม ตอนต่อตอน  อยากอ่านตอนต่อไป
B.  เก็บสะสม

2 แบบนี้ การผลิตการ์ตูนแตกต่างกัน
แบบแรก เน้นรวดเร็ว หาอ่านง่าย ไม่สิ้นเปลือง
แบบหลังคืองานเนี้ยบ เรียบร้อย  ยอมจ่าย

แบบ A.  ตายเพราะ 2 สาเหตุ
1.  ปัจจุบัน  หนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ไม่ใช่คำตอบ จากการหาอ่านได้ตามเว็บผิดลิขสิทธิ์ และมีเนื้อหาล่วงหน้า
2.  การทะลักของการ์ตูนที่ไม่มีลิขสิทธิ์ แต่แปลอ่านกัน  ทำให้คนอ่านมีการ์ตูนสนุกกว่าให้ติดตาม

ข้อ 1 นี้สามารถดำเนินการโดย ใช้กฎหมาย แม้ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน กับประเทศไทยที่การบังคับใช้กฎหมายแปลกๆ
หรือจะรอให้ผู้อ่านมีจิตสำนึกในเรื่องลิขสิทธิ์ ซึ่งยากกว่าบังคับใช้กฎหมายอีก

ข้อ 2 ต้องใช้ความสามารถในการจับกระแส  เพราะคนอ่านเปลี่ยนรสนิยมได้เรื่อยๆ แต่ต่อให้จับกระแสถูก หยิบเรื่องสุดฮอต
ก็จะเจอปัญหากลับไปที่ข้อแรก คือ ไปขอลิขสิทธิ์มาได้แต่ไม่สามารถจัดการกับการละเมิดลิขสิทธิ์บนเว็บ


สุดท้าย มันคงยากเกินไป ถึงต้องปิดตัวลง

-------------------------------------------------

แต่ผมอยากให้สำนักพิมพ์หันมาเน้น B คือ การ์ตูนเพื่อสะสม

บอกเลยทุกวันนี้ทำงานแล้ว และเฝ้ารอการ์ตูนในดวงใจ เอามาทำในรูปเล่มสะสมให้สวยงามขั้นเทพ
บอกเลยว่ารอสอยอยู่เพียบ

ตอนเจ้าสองเรื่องนี้ออก ความรู้สึกเหมือนถูกหวย  ซื้อเก็บห่อปกพลาสติกใสอย่างดี
กว่าจะซื้อแต่ละเล่ม  คัดเล่มที่ดีทสุด ไม่มีรอยยับ  สันอัดกาวเต็ม  ไม่มีรอยมัดเชือก (เห็นแล้วเสียดายหนังสือมาก)
(เห็น Big Book Slam Dunk แล้วนึกถึงเล่มแรกคือ เล่ม 19 ที่ออกมาจุ๋มจิ๋มตอนนั้น shock กับความไม่คุ้นเคยในขนาดแปลกๆ 555)



นี่พูดเลย  ยังมีอีกหลายเรื่องที่รอเสียเงินคิดง่ายๆ  เล่มละ 150 บาท เรื่องยาวๆ สัก 30 เล่ม  เสียอีก 4,500 บาท
เจอสัก 10 เรื่อง  รอเสียเงินอีก 45,000 บาท
มองไปข้างหน้าสัก 10 ปี  คงจะเสียได้ถึง 450,000 บาท

ดังนั้นขอเอาใจช่วยให้สำนักพิมพ์ปรับกลยุทธ์ ถ้า A มันยากนัก ทุ่มทรัพยากรมาข้อ B เลยนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่