์Non-Stop (2014) -
เที่ยวบินระทึกยึดเหนือฟ้า
เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน มีหนังแอ็คชั่นเล็ก ๆ ที่กลายเป็นหนังฮิตอย่างพลิกความคาดหมาย และยังส่งผลให้ชื่อของนักแสดงนำที่แทบจะไม่เคยแสดงหนังแอ๊คชั่นเลยกลายเป็นนักแสดงแอ๊คชั่นขึ้นมา หนังเรื่องนั้นคือ Taken (2008) และนักแสดงคนนั้นคือ เลียม นีสัน แม้ความสำเร็จส่วนใหญ่ของ Taken (2008) จะมาจากการวางโครงเรื่องและแผนการตลาดที่ดีของลุค แบสซง และยูโรป้าคอร์ป แต่บุคลิกและฝีมือการแสดงของเลียม นีสัน ก็มีส่วนอยู่ไม่น้อย ผลงานสร้างชื่อของเขาแม้จะมาจากหนังดรามา แต่ด้วยคุณลักษณะส่วนตัว เลียม นีสัน ก็ดูไม่ขัดเขินในบทแอ๊คชั่น ทำให้เขากลายเป็นนักแสดงที่ไว้ใจได้ในระดับหนึ่งสำหรับในแนวนี้ รวมทั้งผลงานเรื่องล่าสุด Non-Stop (2014)
ด้วยพล็อตเรื่อง Non-Stop (2014) ยังคงใช้สูตรสำเร็จของหนังแอ๊คชั่นที่พบได้บ่อย คือการให้ตัวเอกของเรื่องต้องต่อสู้กับคนร้ายเพียงลำพังในสถานที่และเวลาอันจำกัด และสถานที่ที่ถูกใช้ในเรื่องนี้คือบนเครื่องบินโดยสารจากนิวยอร์คไปยังลอนดอน ที่คนร้ายขู่ว่าจะฆ่าคนบนเครื่องทุก 20 นาที แลกกับเงิน 150 ล้านดอลลาร์ที่จะโอนเข้าบัญชีที่ถูกระบุไว้ และการขู่ของคนร้ายแจ้งผ่านมายังตำรวจอากาศที่ชื่อ บิลล์ มาร์คส์ เพียงคนเดียว
เลียม นีสัน รับบท บิลล์ มาร์สค์ ตำรวจอากาศ (Air Marshall) ที่ทำหน้าที่ปะปนขึ้นเครื่องบินไปกับผู้โดยสารเพื่อตรวจสอบและสังเกตระหว่างเที่ยวบิน พร้อมกับระงับเหตุร้ายที่อาจจะมีขึ้นบนเครื่อง บิลล์ มาร์สค์ ได้รับการติดต่อจากคนร้ายผ่านทางข้อความในโทรศัพท์ เมื่อเขาพยายามจะหาต้นตอของคนร้ายกลับพบว่าเบาะแสบางอย่างชี้มาที่เขา โดยที่ บิลล์ มาร์คส์ ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ เขาติดเหล้า ฝังใจอยู่กับอดีตบางอย่าง และยังมุทะลุจนเกินพอดีอีกด้วย ทำให้ความไว้วางใจทีผู้โดยสารและลูกเรือที่ควรจะมีในตัวเขากลับไม่ได้เกิดขึ้นเลย
ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงของหนังอยู่ที่การค้นหาว่าคนร้ายคือใครในจำนวนผู้โดยสารและลูกเรือที่มีมากกว่า 100 ชีวิต หนังในช่วงแรกจนเกือบค่อนเรื่องจึงมีคุณสมบัติของหนังระทึกขวัญได้เป็นอย่างดี ผู้ต้องสงสัยมีมากมายและถูกเฉลยความเป็นไปของแต่ละคนเท่าที่จะทำได้ ที่สำคัญคือไม่มีใครน่าไว้ใจแม้แต่คนเดียว ทั้ง บิลล์ มาร์คส์ และคนดูจึงต้องหาตัวคนร้ายไปพร้อม ๆ กัน และจุดนี้จึงกลายเป็นส่วนที่สนุกที่สุดของหนัง เพราะเมื่อหนังได้เฉลยตัวคนร้ายออกมาแล้ว ความลุ้นระทึกก็หมดไปกลายเป็นหนังแอ๊คชั่นธรรมดาเรื่องหนึ่ง ยังดีที่ส่วนของแอ๊คชั่นที่เหลือก็ยังน่าสนใจอยู่เช่นเดิม
การใช้ฉากหลังที่ทำให้หลายอย่างต้องถูกจำกัดอยู่ในสถานที่อย่างเครื่องบินเคยถูกใช้ได้ผลมาแล้วกับหนังแอ๊คชั่นชั้นดีอย่าง Executive Decision (1996) และ Air Force One (1997) เพราะเพียงแค่ความผิดพลาดเพียงน้อยนิดอาจทำให้ทุกชีวิตต้องดับสูญไปได้ และ Non-Stop (2014) ยังใช้ข้อจำกัดนี้เล่นกับความตื่นเต้นในการหาตัวคนร้ายอีกด้วย และตลอดรายทางของเรื่องนั้นดูเหมือน บิลล์ มาร์คส์ จะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงเรื่อย ๆ จนการหาตัวคนร้ายและหยุดยั้งเรื่องร้ายเริ่มลางเลือน แต่สุดท้ายหนังก็เฉลยตัวคนร้ายออกมาในแบบที่ออกจะง่ายออกไปสักหน่อย และรวมไปถึงเหตุผลของคนร้ายอีกด้วย
สิ่งที่น่าเสียดายคือเหตุผลของการก่อการร้ายครั้งนี้อาจจะดูคลุมเครือไปบ้าง หลายอย่างในการทำงานของคนร้ายไม่ได้ถูกเฉลยไว้อย่างละเอียด แต่ตราบใดที่ความสนุกสนานของหนังยังใช้ได้ผลข้อจำกัดเหล่านี้ก็พร้อมจะถูกมองข้ามในทันที และ Non-Stop (2014) ก็สนุกสนานพอที่จะทำให้มองผ่านข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ไปได้ เพราะที่สุดแล้ว ความตื่นเต้น ลุ้นระทึกของหนังเรื่องนี้ก็ Non-Stop เหมือนชื่อเรื่องจริง ๆ
คะแนน 7.5/10 ครับ
ร่วมพูดคุย บทวิจารณ์ / รีวิว หนังหลากแนว หลายช่วงเวลา ได้ที่เพจแลหนังหลังจอที่นี่ครับ
https://www.facebook.com/laenanglangjor
Non-Stop (2014) เที่ยวบินระทึก ยึดเหนือฟ้า (รีวิว ไม่สปอยด์)
์Non-Stop (2014) - เที่ยวบินระทึกยึดเหนือฟ้า
เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน มีหนังแอ็คชั่นเล็ก ๆ ที่กลายเป็นหนังฮิตอย่างพลิกความคาดหมาย และยังส่งผลให้ชื่อของนักแสดงนำที่แทบจะไม่เคยแสดงหนังแอ๊คชั่นเลยกลายเป็นนักแสดงแอ๊คชั่นขึ้นมา หนังเรื่องนั้นคือ Taken (2008) และนักแสดงคนนั้นคือ เลียม นีสัน แม้ความสำเร็จส่วนใหญ่ของ Taken (2008) จะมาจากการวางโครงเรื่องและแผนการตลาดที่ดีของลุค แบสซง และยูโรป้าคอร์ป แต่บุคลิกและฝีมือการแสดงของเลียม นีสัน ก็มีส่วนอยู่ไม่น้อย ผลงานสร้างชื่อของเขาแม้จะมาจากหนังดรามา แต่ด้วยคุณลักษณะส่วนตัว เลียม นีสัน ก็ดูไม่ขัดเขินในบทแอ๊คชั่น ทำให้เขากลายเป็นนักแสดงที่ไว้ใจได้ในระดับหนึ่งสำหรับในแนวนี้ รวมทั้งผลงานเรื่องล่าสุด Non-Stop (2014)
ด้วยพล็อตเรื่อง Non-Stop (2014) ยังคงใช้สูตรสำเร็จของหนังแอ๊คชั่นที่พบได้บ่อย คือการให้ตัวเอกของเรื่องต้องต่อสู้กับคนร้ายเพียงลำพังในสถานที่และเวลาอันจำกัด และสถานที่ที่ถูกใช้ในเรื่องนี้คือบนเครื่องบินโดยสารจากนิวยอร์คไปยังลอนดอน ที่คนร้ายขู่ว่าจะฆ่าคนบนเครื่องทุก 20 นาที แลกกับเงิน 150 ล้านดอลลาร์ที่จะโอนเข้าบัญชีที่ถูกระบุไว้ และการขู่ของคนร้ายแจ้งผ่านมายังตำรวจอากาศที่ชื่อ บิลล์ มาร์คส์ เพียงคนเดียว
เลียม นีสัน รับบท บิลล์ มาร์สค์ ตำรวจอากาศ (Air Marshall) ที่ทำหน้าที่ปะปนขึ้นเครื่องบินไปกับผู้โดยสารเพื่อตรวจสอบและสังเกตระหว่างเที่ยวบิน พร้อมกับระงับเหตุร้ายที่อาจจะมีขึ้นบนเครื่อง บิลล์ มาร์สค์ ได้รับการติดต่อจากคนร้ายผ่านทางข้อความในโทรศัพท์ เมื่อเขาพยายามจะหาต้นตอของคนร้ายกลับพบว่าเบาะแสบางอย่างชี้มาที่เขา โดยที่ บิลล์ มาร์คส์ ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ เขาติดเหล้า ฝังใจอยู่กับอดีตบางอย่าง และยังมุทะลุจนเกินพอดีอีกด้วย ทำให้ความไว้วางใจทีผู้โดยสารและลูกเรือที่ควรจะมีในตัวเขากลับไม่ได้เกิดขึ้นเลย
ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงของหนังอยู่ที่การค้นหาว่าคนร้ายคือใครในจำนวนผู้โดยสารและลูกเรือที่มีมากกว่า 100 ชีวิต หนังในช่วงแรกจนเกือบค่อนเรื่องจึงมีคุณสมบัติของหนังระทึกขวัญได้เป็นอย่างดี ผู้ต้องสงสัยมีมากมายและถูกเฉลยความเป็นไปของแต่ละคนเท่าที่จะทำได้ ที่สำคัญคือไม่มีใครน่าไว้ใจแม้แต่คนเดียว ทั้ง บิลล์ มาร์คส์ และคนดูจึงต้องหาตัวคนร้ายไปพร้อม ๆ กัน และจุดนี้จึงกลายเป็นส่วนที่สนุกที่สุดของหนัง เพราะเมื่อหนังได้เฉลยตัวคนร้ายออกมาแล้ว ความลุ้นระทึกก็หมดไปกลายเป็นหนังแอ๊คชั่นธรรมดาเรื่องหนึ่ง ยังดีที่ส่วนของแอ๊คชั่นที่เหลือก็ยังน่าสนใจอยู่เช่นเดิม
การใช้ฉากหลังที่ทำให้หลายอย่างต้องถูกจำกัดอยู่ในสถานที่อย่างเครื่องบินเคยถูกใช้ได้ผลมาแล้วกับหนังแอ๊คชั่นชั้นดีอย่าง Executive Decision (1996) และ Air Force One (1997) เพราะเพียงแค่ความผิดพลาดเพียงน้อยนิดอาจทำให้ทุกชีวิตต้องดับสูญไปได้ และ Non-Stop (2014) ยังใช้ข้อจำกัดนี้เล่นกับความตื่นเต้นในการหาตัวคนร้ายอีกด้วย และตลอดรายทางของเรื่องนั้นดูเหมือน บิลล์ มาร์คส์ จะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงเรื่อย ๆ จนการหาตัวคนร้ายและหยุดยั้งเรื่องร้ายเริ่มลางเลือน แต่สุดท้ายหนังก็เฉลยตัวคนร้ายออกมาในแบบที่ออกจะง่ายออกไปสักหน่อย และรวมไปถึงเหตุผลของคนร้ายอีกด้วย
สิ่งที่น่าเสียดายคือเหตุผลของการก่อการร้ายครั้งนี้อาจจะดูคลุมเครือไปบ้าง หลายอย่างในการทำงานของคนร้ายไม่ได้ถูกเฉลยไว้อย่างละเอียด แต่ตราบใดที่ความสนุกสนานของหนังยังใช้ได้ผลข้อจำกัดเหล่านี้ก็พร้อมจะถูกมองข้ามในทันที และ Non-Stop (2014) ก็สนุกสนานพอที่จะทำให้มองผ่านข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ไปได้ เพราะที่สุดแล้ว ความตื่นเต้น ลุ้นระทึกของหนังเรื่องนี้ก็ Non-Stop เหมือนชื่อเรื่องจริง ๆ
คะแนน 7.5/10 ครับ
ร่วมพูดคุย บทวิจารณ์ / รีวิว หนังหลากแนว หลายช่วงเวลา ได้ที่เพจแลหนังหลังจอที่นี่ครับ
https://www.facebook.com/laenanglangjor