จากการเปลี่ยนเเปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในสมัย รัชกาลที่7 พศ.2475 เปลี่ยนจากระบอบการปกครอง เเบบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็น เเบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตั้งเเต่บัดนั้นเป็นต้นมาประเทศชาติยังไม่มีความเเน่ชัดว่า ระบอบการปกครองนั้น ได้เปลี่ยนไปจริงหรือไม่ ความมีอํานาจควบคุมองกร หรือมวลประชาของฝ่ายตนในเเต่ละฝ่าย สะท้อนให้เห็นถึงความจริงในการเรียกร้องความต้องการของตน เเต่ทว่ากลุ่มผูเรียกร้องหรือประชาชนที่ออกมาเดินขบวนเป็นเพียง เเนวร่วมทางความคิด ที่มีการปลูกฝังมาเเต่ยังเยาวัย เเต่ความต้องการที่เเท้จริงนั้นเป็น ของบุคคลที่มีอํานาจเเต่มิสามารถกระทําโดยการยึดหรือเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการโดยกระทันหัน เพราะเป็นที่จับตาของหลายๆฝ่ายที่มีอํานาจเช่นเดียวกัน เลยจําเป็นที่ต้องมีการพึ่งตัวนําหรือเรียกว่ากลุ่มมวลชน มีการเสนอความคิดที่จะเปลี่ยนเเปลงนดยบายต่างๆเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนกลุ่มมาก เเต่ทว่าไม่มีการสนับสนุนการเดินขบวนประท้วงนั้นคงเป็นไปได้ยาก ทั้งเงินทุนในการจัดการทรัพยากรบุคคลในเเต่ละวันในการประท้วงต้องมีเงินทุนมหาสาร เพราะการที่จะให้ประชาชนออกไปด้วย เเค่ความคิดคงเป็นไปได้ยากเลยต้องมีเงินประจําวันเพื่อเป็นค่าตอบเเทนในการมาร่วมชุมนุม
ความขัดเเย้งทางการเมืองของประเทศไทยมีตั้งเเต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ปัญหาหลักๆคือ อํานาจทางการเมือง ถึงเเม้ต่างกันเพียงนิดเดียวความขัดเเย้งก็เกิดขึ้นได้ทุกเวลา โดยเป็นการนําเรื่องเก่าหรือเรื่องที่ไม่เป็นประเด็นในการพัฒนาประเทศเข้าไปถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น เลยมีความยืดยาวทางความขัดเเย้งที่สืบต่อกันมายาวนานของ ชาติไทย
อํานาจ จะเป็นของใคร ??
ความขัดเเย้งทางการเมืองของประเทศไทยมีตั้งเเต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ปัญหาหลักๆคือ อํานาจทางการเมือง ถึงเเม้ต่างกันเพียงนิดเดียวความขัดเเย้งก็เกิดขึ้นได้ทุกเวลา โดยเป็นการนําเรื่องเก่าหรือเรื่องที่ไม่เป็นประเด็นในการพัฒนาประเทศเข้าไปถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น เลยมีความยืดยาวทางความขัดเเย้งที่สืบต่อกันมายาวนานของ ชาติไทย