เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามันเป็นวันแรกของการสอบมหาประลัยที่ชื่อว่า "แกทแพท" โดยแกท (GAT) มันคือการสอบเกี่ยวกับความถนัดทั่วไป ประกอบด้วยสองวิชาคือไทยและอังกฤษ อันนี้ส่วนใหญ่จะทำได้กัน (เพียงแต่อาจจะไม่เต็มทุกคนแค่นั้นเอง) ทีนี้มาอีกตัวนึงคือ แพท (PAT) ซึ่งผมเองลืมไปด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่ง่ายๆ คือมันจะมีแพท 1-7 แพทนึงก้วิชานึง ทีนี้วันนี้เป็นวันสอบแกท และแพทอีกตัวคือแพท 1 มันคือวิชาที่ง่ายที่สุดในสามโลก "คณิตศาสตร์"
ผมและอีกหลายๆ คนบอกได้คำเดียวว่ามันเป็นการสอบที่น่าเบื่อมากสำหรับคนที่ทำไม่ได้ ข้อสอบมีทั้งสิ้น 45 ข้อ ประกอบด้วยข้อเติมคำตอบ 15 ข้อ และช้อยส์ 30 ข้อ สำหรับตัวผมน้นทำข้อที่เป็นช้อยส์ได้ 7 ข้อ และข้อเติมคำตอบอีก 1 ข้อ โดยมีเวลาทำสอบถึง 3 ชม. ! คิดดูว่ามันจะน่าเบื่อขนาดไหน (แต่โชคยังดีที่ห้องสอบผมมีคนสวยอยู่พอควร พอบรรเทาความน่าเบื่อไปได้ แต่เรากำลังออกนอกประเด็นกัน)
ทีนี้ตอนสอบข้อสอบคณิต มันจะมีหลักการหนึ่งที่คนชอบมั่วจะรู้ดีคือ สมมติว่าใน 30 ข้อที่เป็นช้อยส์เราตอบได้สัก 5 ข้อ ช้อยส์ที่เราตอบไป 5 ตัวได้แก่ 2,2,4,4,3 ทีนี้เราจะเห็นว่ามีช้อยส์ตัวนึงที่เราไม่เคยตอบเลยคือช้อยส์ 1 ขั้นตอนต่อไปคือเราก็แค่ดิ่งมันเลย (สทศ.ไม่ได้ห้ามไว้) ทำไมถึงควรดิ่ง เพราะข้อสอบเลขทุกครั้งมักจะเฉลี่ยคำตอบ อย่างเช่น 30 ข้อที่ผมสอบในวันนี้ ช้อยส์ 1-4 ก็จะเฉลี่ยจำนวนให้เท่ากัน คือจะมีสองช้อย์ที่มี 8 ข้อ และอีกสองช้อยส์ที่มี 7 ข้อ ดังนั้นหากเราลองคิดคะแนนคร่าวๆ เราทำได้เอง 5 ข้อ กับที่เราดิ่งซึ่งเราอาจจะได้ 7-8 ข้อ เท่ากับว่าเราจะทำได้ 12-13 ข้อ เกือบครึ่งหนึ่งกันเลยทีเดียว ถ้าเรามั่วแบบไม่มีหลักการ กาตามใจฉัน จะมีหรือที่เราจะได้คะแนนสูงๆ
หากเราลองสังเกตดีๆ การลงทุนในตลาดหุ้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับข้อสอบแพท 1 คือ "ทิ้งดิ่ง" ในช้อยส์ที่เราเลือกมาเป็นอย่างดี การทิ้งดิ่งในที่นี้ความหมายคือ การกำหนดและยึดถือแนวทางหลักในการลงทุนของเราและเดินไปหามันโดยไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้าง ถนัดลงทุนแบบพื้นฐานก็ลุยพื้นฐาน ถนัดแบบเทคนิคคอลก็จัดเต็มเทคนิคคอล ยังไงซะหากเราทิ้งดิ่ง คะแนนมันจะหายไปไหน แต่ต่างจากการสอบตรงที่ ในการลงทุนคนส่วนใหญ่มักจะไม่ทิ้งดิ่ง แต่กลับสุ่มเลือกมั่วๆ โดยหวังว่าจะมีกำไรและสุดท้ายก็พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ นั่นก็คือการที่ไม่มีหลักยึดหรือแนวทางที่เป็นแกนหลักของตัวเอง หากเรายึดถืออย่างแน่วแน่ใน "วิธีการลงทุน" อย่างไม่หวั่นไหว กำไรมันจะหายไปไหนถ้าเราเดินตรงไปอย่างมุ่งมั่นและศรัทธาใน "ช้อยส์" ที่เราเลือก ดีกว่าใช้วิธีนั้นทีวิธีนู้นทีโดยหวังว่าจะได้กำไรแต่ไม่สนวิธีการให้ได้มาซึ่งกำไรเลย
การสอบครั้งนี้มันไม่ได้ให้คะแนนสำหรับผมนัก แต่มันให้สิ่งที่มีค่ากว่าคือบทเรียนที่ผมได้ย้ำเตือนตัวเองอีกครั้ง
สอบ GAT PAT กับตลาดหุ้น
ผมและอีกหลายๆ คนบอกได้คำเดียวว่ามันเป็นการสอบที่น่าเบื่อมากสำหรับคนที่ทำไม่ได้ ข้อสอบมีทั้งสิ้น 45 ข้อ ประกอบด้วยข้อเติมคำตอบ 15 ข้อ และช้อยส์ 30 ข้อ สำหรับตัวผมน้นทำข้อที่เป็นช้อยส์ได้ 7 ข้อ และข้อเติมคำตอบอีก 1 ข้อ โดยมีเวลาทำสอบถึง 3 ชม. ! คิดดูว่ามันจะน่าเบื่อขนาดไหน (แต่โชคยังดีที่ห้องสอบผมมีคนสวยอยู่พอควร พอบรรเทาความน่าเบื่อไปได้ แต่เรากำลังออกนอกประเด็นกัน)
ทีนี้ตอนสอบข้อสอบคณิต มันจะมีหลักการหนึ่งที่คนชอบมั่วจะรู้ดีคือ สมมติว่าใน 30 ข้อที่เป็นช้อยส์เราตอบได้สัก 5 ข้อ ช้อยส์ที่เราตอบไป 5 ตัวได้แก่ 2,2,4,4,3 ทีนี้เราจะเห็นว่ามีช้อยส์ตัวนึงที่เราไม่เคยตอบเลยคือช้อยส์ 1 ขั้นตอนต่อไปคือเราก็แค่ดิ่งมันเลย (สทศ.ไม่ได้ห้ามไว้) ทำไมถึงควรดิ่ง เพราะข้อสอบเลขทุกครั้งมักจะเฉลี่ยคำตอบ อย่างเช่น 30 ข้อที่ผมสอบในวันนี้ ช้อยส์ 1-4 ก็จะเฉลี่ยจำนวนให้เท่ากัน คือจะมีสองช้อย์ที่มี 8 ข้อ และอีกสองช้อยส์ที่มี 7 ข้อ ดังนั้นหากเราลองคิดคะแนนคร่าวๆ เราทำได้เอง 5 ข้อ กับที่เราดิ่งซึ่งเราอาจจะได้ 7-8 ข้อ เท่ากับว่าเราจะทำได้ 12-13 ข้อ เกือบครึ่งหนึ่งกันเลยทีเดียว ถ้าเรามั่วแบบไม่มีหลักการ กาตามใจฉัน จะมีหรือที่เราจะได้คะแนนสูงๆ
หากเราลองสังเกตดีๆ การลงทุนในตลาดหุ้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับข้อสอบแพท 1 คือ "ทิ้งดิ่ง" ในช้อยส์ที่เราเลือกมาเป็นอย่างดี การทิ้งดิ่งในที่นี้ความหมายคือ การกำหนดและยึดถือแนวทางหลักในการลงทุนของเราและเดินไปหามันโดยไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้าง ถนัดลงทุนแบบพื้นฐานก็ลุยพื้นฐาน ถนัดแบบเทคนิคคอลก็จัดเต็มเทคนิคคอล ยังไงซะหากเราทิ้งดิ่ง คะแนนมันจะหายไปไหน แต่ต่างจากการสอบตรงที่ ในการลงทุนคนส่วนใหญ่มักจะไม่ทิ้งดิ่ง แต่กลับสุ่มเลือกมั่วๆ โดยหวังว่าจะมีกำไรและสุดท้ายก็พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ นั่นก็คือการที่ไม่มีหลักยึดหรือแนวทางที่เป็นแกนหลักของตัวเอง หากเรายึดถืออย่างแน่วแน่ใน "วิธีการลงทุน" อย่างไม่หวั่นไหว กำไรมันจะหายไปไหนถ้าเราเดินตรงไปอย่างมุ่งมั่นและศรัทธาใน "ช้อยส์" ที่เราเลือก ดีกว่าใช้วิธีนั้นทีวิธีนู้นทีโดยหวังว่าจะได้กำไรแต่ไม่สนวิธีการให้ได้มาซึ่งกำไรเลย
การสอบครั้งนี้มันไม่ได้ให้คะแนนสำหรับผมนัก แต่มันให้สิ่งที่มีค่ากว่าคือบทเรียนที่ผมได้ย้ำเตือนตัวเองอีกครั้ง