มุมมองดีๆ กับการโดนปฎิเสธงาน จากบริษัทชื่อดัง

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกในชีวิตก็ว่าได้คะ หากมีอะไรผิดพลาด หรือว่าไม่ถูก ไม่ควน รบกวนติ ได้เลยคะ
ไม่ต้องเกรงใจ รับฟังถูกคำติชม ด้วยใจจริงคะ
(ขออนุญาตใช้ สรรพนามแทนตัวเองว่า “เรา” นะคะ )

เมื่อช่วงบ่าย ขณะที่กำลังนั่งดูตำแหน่งงาน จากเวปไซด์ธนาคารต่างๆ ก็ได้เปิดดูเฟสบุ๊ค ได้ไปอ่านสเตตัสของน้องผู้ชายคนหนึ่ง มีใจความประมาณว่า

“หลุดงานที่ บริษัทดังย่านบางซื่อ แล้วนะครับ (เป็นการสัมภาษณ์รอบสุดท้าย) ด้วยเหตุผลที่ว่า ตาบอดสี”  
แต่ประเด็นที่พูดถึงน้องคนนี้ ไม่ใช่เรื่องงานที่เขาหลุด แต่อยากให้เห็นมุมมองของน้องคนนี้ น้องได้พูดต่อว่า

“ไม่รู้เกี่ยวไร แต่ไม่เป็นไร ผมเชื่อว่าผมไปได้ไกลกว่านั้น มันเป็นเรื่องที่ผมเลือกเกิดไม่ได้ ผมไม่ซีเรียสนะ อย่างน้อยเราก็ได้พยายามเต็มที่แล้ว” แล้วน้องยังพูดติดตลกอีกว่า ตอนเกิดมาคงลืมติ๊ก ช่องตาบอดสี และยังขอบคุณ ทุกกำลังใจอีกด้วย

คือ โดยส่วนตัว ไม่ได้สนิทกับน้อง แต่ชอบสิ่งที่น้องคิด น้องไม่คิดแม้จะ ติว่าทางบริษัท หรือ คนอื่นๆ แต่กลับบอกทัศนคติอีกด้าน ซึ่งตรงกันข้ามกับ ความท้อแท้ หมดหวัง อย่างสิ้นเชิง

เราก็เลยคอมเม้นท์ ตอบน้องไปว่า  

“การที่บริษัท ไม่ได้รับน้องเข้าทำงาน ไม่ใช่ว่าน้องไม่ดี แต่พี่ว่าเขามองไม่เห็นสิ่งที่น้องมี หรือ เขาอาจจะเห็นว่า น้องไปได้ไกลกว่าที่จะมาทำงานกับเขา พี่เชื่อว่า สักวัน น้องต้องได้กลับมาทำงานที่นี่แน่นอน แต่กลับมาในคราบของผู้บริหารระดับสูง ที่ผ่านการขัดเกลาจากบริษัทชั้นนำระดับโลก”  

ไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะ ตอนอ่านสเตตัสของน้อง และตอนตอบกลับ ก็ยิ้มไปตอบไป รู้สึกดีใจ ที่น้องคิดแบบนี้ เพราะ เชื่อว่า ยังมีผู้สมัครงานอีกมากมาย ที่โดนตอบปฏิเสธ แล้วกลับคิดท้อแท้  แต่ถ้าเราลองเปลี่ยน มุมมอง ลองปรับเปลี่ยนข้อจำกัดของตัวเอง ทำตัวเองให้ยืดหยุ่น สิ่งที่ได้รับ คือไม่ใช่ได้งานที่ดีกว่า เพียงอย่างเดียว แต่หากเป็นจิตใจที่เข้มแข็ง มองหาอะไรที่ท้าทายในทุกก้าวของชีวิต เพราะ ส่วนตัวเชื่อว่า ทุกปัญหา ทุกวิกฤต แฝงไปด้วยโอกาส แต่เพียงแค่ว่า เราจะนั่งดูมันด้วยความรู้สึกท้อแท้ หมดหวัง หรือ จะลุกขึ้นมา ลุยกับมัน

....ลองสักครั้ง ลองทำมันให้เต็มที่ ถ้าหากมันจะไม่ได้ไม่สมหวัง อย่างน้อยเราก็ทำมันเต็มที่


สิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ไม่ได้ลอก หรือ เลียนแบบมาจากหนังสือใดๆ แต่หากเป็นสิ่งที่เราได้พบเจอมากับตัวเอง และเป็นมุมมองส่วนตัว  เราเอง ก็เป็นคนที่กำลังหางานคนหนึ่ง เราเพิ่งกลับมาเมืองไทยได้เดือนหนึ่ง เพิ่งเริ่มหางานจริงจัง 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา  เราจบปริญญาตรี วิศวรรมศาสตร์ ที่เมืองไทย และ มีโอกาส ได้ไปศึกษาปริญญาโท ที่ออสเตรเลีย เราเลือกเรียน Finance  (ต้องขอบอกก่อน ว่าเราเป็นคนเรียนไม่เก่ง แต่เป็นคนถึกมาก) จริงๆ เรื่องเล่าตลอด 3 ปี ที่อยู่ออสเตรเลีย มีเรื่องเล่าดีๆ เยอะมาก แต่วันนี้ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับการสมัครงาน และ แรงบันดาลใจเล็กๆ

ถ้าหากมองว่า เด็กจบเมืองนอก จะต้องเป็นลูกคุณหนู เรียน ช็อปปิ้ง ใช้เงินทางบ้านไปวันๆ                                                
อยากให้ลืมมุมมองนั้นสักครู่ แล้วลองอ่านเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ นี้ดูนะคะ อาจจะมีมุมมองใหม่ๆ

ถ้าหาก ถามว่าทำไม เลือกเรียน Finance ทั้งๆที่ จบ วิศวะ มา
ถ้าหากย้อนกลับไปตอน เรียนปริญญาตรี หน้าที่ของเด็กคนหนึ่งคือ เรียนหนังสือ เรียนให้จบปริญญาตรี ตอนนั้นรู้อย่างเดียวคือ ต้องเรียน แต่เรียนอะไรละ การที่เด็กต่างจังหวัด จะรู้จัก financial instruments (derivatives) มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าจะให้ไปเรียนบริหาร เด็กคนหนึ่ง จะไปหาคำตอบที่ไหน ว่าเรียนไปทำอะไร ก็ไม่มีใครตอบได้เห็นภาพ และประโยชน์ อย่างชัดเจน ฉะนั้น การเลือกเรียน จึงอยู่บนเหตุผลที่ว่า อาชีพอะไร จบมา เลี้ยงตัวเองได้ ก็คงหนีไม่พ้น พวก หมอ  วิศวะ และนี่ จึงเป็นเหตุผลที่เรียนวิศวะ

แต่แล้วก็มีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต ได้ไปเมืองนอก ดินแดนมหัศจรรย์ของชีวิตเรา “ออสเตรเลีย” ปกติเป็นคนไม่ชอบเที่ยว ชอบอยู่บ้าน
ฉะนั้น ออสเตรเลีย ที่ซึ่งไม่มีใครรู้จักเรา ย่อมเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยทีเดียว
(ขอตัดตอนก่อนนะคะ เรื่องดีๆเกิดขึ้นเยอะมากคะ มาที่ ปีที่2 ตอนที่อยู่ออสเตรเลีย)

แน่นอน การใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน ด้วยเม็ดเงินที่แพงกว่าบ้านเรา โดยที่ไม่ทำอะไร ก็ไม่ใช่ ก็ต้องทำงาน และงานที่ทำ ก็ต้องเป็นงานใช้แรงงาน
จำพวก เด็กเสริฟ์ ล้างจาน พนักงานทำความสะอาด ค่าแรงก็ต่างกันไป โดยส่วนตัวเราเอง ค่อนข้างโชคดี เราเจอแต่คนใจดี ค่าแรงก็ไม่น่าเกียจ
และตอนนี้แหละ ที่เกิดแรงบันดาลใจ ในการเลือกเรียน Finance

เรามีโอกาส ได้ทำงาน เป็น พนักงานทำความสะอาด ที่
JP Morgan
ASIC(Australian Securities & Investment Commission)
ANZ(The Australian and New Zealand Bank)
The Sydney Opera House

เรามีโอกาสได้เห็นการทำงานของพวกพนักงานเหล่านี้ ได้ไปเดินบนชั้น Global Market แบบถ่ายทอดสด คือฟังตอนเขาซื้อขาย วิเคราะห์กันแบบสดๆ
ทุกวันก่อนไปทำงาน ต้องมีเปิดอ่านข่าวก่อน เพราะเวลาฟังเขาพูดกัน จะได้รู้ว่าเขาพูดกันถึงไหน เลยเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้เกิดความสนใจ และ
ความสนใจเพิ่มมากขึ้นตอนที่เริ่มเรียนปริญญาโท นั่งเรียน Finance, Economics เหมือนนั่งเรียนประวัติศาสตร์ ทุกอย่างมีความเกี่ยวข้อง และต่อเนื่องกัน

เราเลือกเรียนมหาลัยที่มีเด็กไทยน้อยที่สุด (คือ เด็กไทยที่เรียนมหาลัยนี้ ก็จะมีแต่ ที่ไปพร้อมกับเรา แต่เรียนคนละคณะกัน ฉะนั้น ในห้อง จะมีเราคนเดียว ที่เป็นเด็กไทย) แน่นอนว่าเราต้องทำการบ้านหนักกว่าคนอื่น เพราะอาจารย์ที่สอน เขาจะไม่มารอเรา เพราะนักเรียนส่วนใหญ่เป็น Native และคูณสอง
เมื่อเราจบวิศวะ ไม่มีพื้นฐานด้าน Finance และคูณสาม เมื่อเราเลือกที่จะทำงานเก็บเงินไปด้วย ขณะเรียน (เราเลือกทำงาน 7 วัน วันที่เราสอบเสร็จ เรายังจำภาพที่ต้องวิ่งออกจากห้องสอบ เพื่อกระโดดขึ้นรถ ไปทำงานต่อเลย  เรามีความสุขนะ สุขทุกขณะ ที่อยู่ที่ออสเตรเลีย) เราสอบผ่านทุกตัว สัดส่วนคะแนนสอบ 70-80% ที่เหลือเป็นการบ้านพวก essay, report, presentation อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนเรียนไม่เก่ง คะแนนไม่ได้ดีมาก แต่ถึกมาก             เราจะอ่านหนังสือก่อนเรียน หรือไม่ก็ อ่านตอนนั่งรถไปเรียน บางทีก็ ตอนนั่งรถไปทำงาน หรืออาจจะเป็นช่วงตอนที่กินข้าว บางทีอาจฟังดูเหนื่อยและหนักสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง (อายุ26ปี นะคะ ไม่รู้เด็กเปล่า 55)  แต่จริงๆ มันเป็นเป้าหมายส่วนตัวที่ตั้งไว้ ว่า ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเรียน&เก็บเงินก้อนหนึ่ง สำหรับแผนการลงทุนส่วนตัว ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา (ฉะนั้น 1ปีสุดท้าย เลยทำงานเยอะมาก ทำงานส่งท้าย แต่ก่อนหน้านั้นก็ทำนะคะ ทำจนได้ค่าเทอม เลยเอาไปจ่ายค่าเทอม เลยเก็บใหม่)

การทำอะไรสักอย่างด้วยใจรัก ไม่ว่าจะเหนื่อย และหนักขนาดไหน มันทำให้เรา ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆคะ
นอกจากมีความสุขใจ หัวใจพองโตไม่ด้วยความสุขจริงๆคะ

(เราไม่ได้สักแต่จะเรียนให้จบนะ เราอ่านเยอะมาก อ่านเพราะเราชอบ เราสนใจ ไม่ได้อ่านแค่เข้าใจไปสอบ
และต้องเข้าใจมากด้วย เพราะตอนสอบเราต้องอธิบาย เป็นแบบ my own word ให้อาจารย์เข้าใจ
และการบ้านทุกตัว อาจารย์ขอ references ไม่ต่ำกว่าสิบ และต้องเขียนให้เข้าใจ)

ทุกอย่างที่เราได้ทำ และมีโอกาสได้ไปสัมผัส ตลอดเวลาที่อยู่ที่ออสเตรเลีย ทำให้เราเกิดความคิดหลายๆอย่าง ที่เปลี่ยนไป
-อย่ากลัวสิ่งที่คนอื่นพูด ถ้าหากยังไม่ได้ลงมือทำ เพราะ สิ่งที่คนอื่นว่ายาก บางที อาจจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเรา                    
-เมื่อเจอปัญหา อย่าวิ่งหนี แต่ให้วิ่งเข้าไปแก้ปัญหา เพราะ ทุกครั้งที่เราเจอปัญหา มันย่อมมีอะไรดีๆ เกิดขึ้น ตามมา
แต่ถ้าไม่กลับไปแก้มัน ปัญหานั้นจะใหญ่ขึ้น และซับซ้อนมากขึ้น ฉะนั้น มีปัญหาอะไร ลองนั่งทำความรู้จักกับมันดูนะคะ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดคะ
-อย่ากลัวที่จะเริ่ม และเริ่มทันทีที่คิดได้ อย่าผลัดวัน เพราะบางที พรุ่งนี้อาจไม่มี                                                                                                -อย่าใส่ใจ และให้ความสำคัญ กับคนที่เราไม่รู้จัก ที่ไม่ได้เป็นทั้งพ่อแม่ เพื่อน ของเรา มาทำลายกำลังใจเรา เขาจะพูดอะไร ก็ปล่อยเขาไป                          

และอีกมากมายคะ (เยอะมากจริงๆ)                                        

ออกนอกเรื่องซะนาน เมื่อวานนี้ มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งานกับ ธนาคารแห่งหนึ่ง ย่านฝั่งธน คือ เราอยากไปขอบคุณ พี่เขาด้วย ที่อ่าน RESUME ของเรา เพราะ เราเขียนไป 2 หน้า พยายามให้เหลือแต่ที่สำคัญ พี่ๆที่สัมภาษณ์น่ารักมากเลย ไม่รู้สึกเหมือนการสัมภาษณ์เลย แต่เหมือนกับเราได้ไปพูดคุยกัน พี่ๆถามเราว่า ทำไม เราเลือกเรียน Finance แล้วทำไมถึงเลือกที่จะสมัครงานที่นี่ จนสัมภาษณ์เสร็จ เพิ่งรู้ว่าพี่เขาตำแหน่งสูง เพราะก่อนหน้านี้ แลกเปลี่ยนทัศนคติกับพี่ที่สัมภาษณ์เยอะแยะมากมาย

ขอเป็นกำลังใจ ให้กับผู้ที่กำลังหางานทุกๆคนคะ ขอให้ได้งานที่ตัวเองปรารถนา
ถ้าเมื่อไร ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบ เรื่องผลตอบแทนไม่ต้องพูดถึงคะ
มันจะได้กลับมามากกว่าที่เราคาดหวังเสียอีก แถม performance ในการทำงานก็ดีเยี่ยมอีกด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่