สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
การมีแฟนต่างชาตินี่นอกจากจะต้องใจกว้างมากๆ เพราะความแตกต่างทางวัฒนธรรมแล้ว ยังต้องเผื่อใจไว้เยอะๆ สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยครับ
ผมว่าศาสนานี่มีส่วนมากนะครับ อย่าง คริสท์ หรือ อิสลาม การรักเพศเดียวกันนี่ผิดครับ เป็นบาป แต่ในความเป็นจริงในทุกศาสนามันก็ต้องมีคนที่เป็นเพศที่สามอยู่แล้วล่ะครับ ดังนั้นจึงต้องแอ๊บมากหน่อยเพราะสังคมไม่ค่อยยอมรับ ต่างกับบริบทในเอเชียอาคเนย์ ที่มีความเป็นพุทธค่อนข้างมาก และการเป็นรักร่วมเพศในทางพุทธไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นบาป แต่หมายถึงมันคือผลกรรมในอดีตที่ส่งผลมาชาตินี้ครับ ดังนั้นความรู้สึกนึกคิด ทั้งของเรา ของเค้า และสังคมรอบข้าง ย่อมแตกต่างกันแน่นอน เมื่อมันไปถึงจุดนึงที่มันไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าต่อได้แล้ว มันก็จะจบลงแบบนี้ล่ะครับ ถึงแม้จะไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่ได้โกรธกัน แต่ก็ต้องเลิกกันเพราะมันเดินไปข้างหน้าไม่ได้อ่ะครับ
ผมก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้นะ ไอ้ที่มันจะก้าวเดินไปข้างหน้าไม่ได้เนี่ย ตอนนั้นเลิกกันมั้ย เลิกครับ คล้ายๆ คุณ จขกท นี่แหละครับ เศร้ามั้ย เศร้ามากครับ ตอนนั้นผมเดินพารากอนไม่ได้ไปนานเลย เพราะเราไปเดินที่นั่นด้วยกันบ่อย แต่พอมันถึงจุดๆ หนึ่ง ก็คิดได้ว่าคนเรามันต้องเดินต่อไปข้างหน้าครับ ผมยังมีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู ยังมีเพื่อนๆ ที่เป็นกำลังใจให้ คนรอบๆ ตัวผมจะเศร้าเมื่อเห็นผมเศร้าครับ แล้ววันหนึ่งผมก็คิดได้ว่าจะต้องเลิกเศร้าแล้วนะ คนรอบข้างจะได้ไม่ต้องเศร้าตามเรา ก็ต้องยืนหยัดขึ้นมาให้ได้ครับ เพราะถ้าเราไม่สามารถยืนหยัดด้วยขาของเราเองได้ แล้วเราจะเป็นหลักให้คนอื่นได้อย่างไรล่ะครับ หลังจากนั้นผมก็ฝืนใจไปเดินพารากอน แรกๆ นี่แปล๊บเลยครับ ร้านนั้นเราเคยกินข้าวกัน โรงหนังนี้เราเคยมาดูด้วยกัน ร้านนั้น ร้านนี้ แต่พอเดินบ่อยๆ เข้า เริ่มชินครับ เริ่มคิดเรื่องเก่าๆ น้อยลง จนตอนนี้เดินพารากอนได้เป็นปกติแล้วครับ
อย่างให้คุณ จขกท เข้มแข็งให้มากๆ แล้วเดินหน้าต่อไปครับ ไม่มีแฟนก็ต้องอยู่คนเดียวให้ได้ครับ ก่อนจะมีแฟนเราก็อยู่ตัวคนเดียว พอเค้าจากไป เราก็แค่กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งครับ
โกวเล้ง บอกว่า "ชีวิตคนเรามีสิบส่วน แปดส่วนล้วนไม่เป็นไปอย่างที่ใจหวังอยู่แล้ว แล้วจะทำให้สองส่วนที่เหลือมันหม่นหมองไปด้วยหรือ" สู้นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้
ผมว่าศาสนานี่มีส่วนมากนะครับ อย่าง คริสท์ หรือ อิสลาม การรักเพศเดียวกันนี่ผิดครับ เป็นบาป แต่ในความเป็นจริงในทุกศาสนามันก็ต้องมีคนที่เป็นเพศที่สามอยู่แล้วล่ะครับ ดังนั้นจึงต้องแอ๊บมากหน่อยเพราะสังคมไม่ค่อยยอมรับ ต่างกับบริบทในเอเชียอาคเนย์ ที่มีความเป็นพุทธค่อนข้างมาก และการเป็นรักร่วมเพศในทางพุทธไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นบาป แต่หมายถึงมันคือผลกรรมในอดีตที่ส่งผลมาชาตินี้ครับ ดังนั้นความรู้สึกนึกคิด ทั้งของเรา ของเค้า และสังคมรอบข้าง ย่อมแตกต่างกันแน่นอน เมื่อมันไปถึงจุดนึงที่มันไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าต่อได้แล้ว มันก็จะจบลงแบบนี้ล่ะครับ ถึงแม้จะไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่ได้โกรธกัน แต่ก็ต้องเลิกกันเพราะมันเดินไปข้างหน้าไม่ได้อ่ะครับ
ผมก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้นะ ไอ้ที่มันจะก้าวเดินไปข้างหน้าไม่ได้เนี่ย ตอนนั้นเลิกกันมั้ย เลิกครับ คล้ายๆ คุณ จขกท นี่แหละครับ เศร้ามั้ย เศร้ามากครับ ตอนนั้นผมเดินพารากอนไม่ได้ไปนานเลย เพราะเราไปเดินที่นั่นด้วยกันบ่อย แต่พอมันถึงจุดๆ หนึ่ง ก็คิดได้ว่าคนเรามันต้องเดินต่อไปข้างหน้าครับ ผมยังมีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู ยังมีเพื่อนๆ ที่เป็นกำลังใจให้ คนรอบๆ ตัวผมจะเศร้าเมื่อเห็นผมเศร้าครับ แล้ววันหนึ่งผมก็คิดได้ว่าจะต้องเลิกเศร้าแล้วนะ คนรอบข้างจะได้ไม่ต้องเศร้าตามเรา ก็ต้องยืนหยัดขึ้นมาให้ได้ครับ เพราะถ้าเราไม่สามารถยืนหยัดด้วยขาของเราเองได้ แล้วเราจะเป็นหลักให้คนอื่นได้อย่างไรล่ะครับ หลังจากนั้นผมก็ฝืนใจไปเดินพารากอน แรกๆ นี่แปล๊บเลยครับ ร้านนั้นเราเคยกินข้าวกัน โรงหนังนี้เราเคยมาดูด้วยกัน ร้านนั้น ร้านนี้ แต่พอเดินบ่อยๆ เข้า เริ่มชินครับ เริ่มคิดเรื่องเก่าๆ น้อยลง จนตอนนี้เดินพารากอนได้เป็นปกติแล้วครับ
อย่างให้คุณ จขกท เข้มแข็งให้มากๆ แล้วเดินหน้าต่อไปครับ ไม่มีแฟนก็ต้องอยู่คนเดียวให้ได้ครับ ก่อนจะมีแฟนเราก็อยู่ตัวคนเดียว พอเค้าจากไป เราก็แค่กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งครับ
โกวเล้ง บอกว่า "ชีวิตคนเรามีสิบส่วน แปดส่วนล้วนไม่เป็นไปอย่างที่ใจหวังอยู่แล้ว แล้วจะทำให้สองส่วนที่เหลือมันหม่นหมองไปด้วยหรือ" สู้นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้
ความคิดเห็นที่ 29
เราเป็นสาวสองค่ะ ที่หลายๆคนเรียกว่ากะเทย. สายตาคนอื่นจะมองเพศเราเป็นตัวตลก แต่สำหรับเราแล้ว การที่ได้ทำให้คนอื่นขำ หรือตลกแล้วมีความสุข ตัวเราก็ยินดีค่ะ. ทุกวันนี้คิดตลอดเลยว่าแก่ตัวไปจะเป็นยังไง สมมติว่าไม่มีครอบครัวทางบ้านแล้ว แล้วต้องอยู่ตัวคนเดียวคงเหงาแย่. ทำใจไว้แล้วค่ะ. เลยหาเวลาไปช่วยงานการกุศลและพวกงานอาสาค่ะ. ไปทำเพื่อประโยชน์ต่อสังคม. มันจะทำให้เรามีความสุขกับคำว่า "การให้". เราอยากมีลูกเป็นของตัวเองนะ แต่คงทำเองไม่ได้ เลยหาเวลาว่างไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และด้อยโอกาสค่ะ. เรามอบความอบอุ่นให้แก่เด็กพวกนั้น ทำให้เราหายเหงาได้
ส่วนเรื่องทางบ้าน ตอนแรกที่บ้านก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าเราเป็น. เราก็ไม่ได้บอกก่อนว่าเราเป็น พอนานๆไปพ่อก็จะถามเรื่องครอบครัวตลอด เราก็ทำเฉยๆค่ะ จากนั้นได้ย้ายมาเรียน กทม. ไม่ได้กลับบ้านนานประมานปีนึงค่ะ แอบเทคยาและทำทุกอย่างให้ร่างกายเหมือนผู้หญิง แล้วก็รวมคลวามกล้าทั้งหมดกลับไปบ้าน เพื่อเปิดใจตัวเองให้พ่อแม่ยอมรับก่อน ที่แรกท่านก็ไม่ยอมรับนะคะ แต่นานๆไปพ่อแม่และญาติๆก็จะชินไปเองค่ะ เราก็ถามแม่ว่ารับได้หรือเปล่าที่เราเป็นแบบนี้ แม่ก็ตอบว่า ถ้าลูกเป็นแล้วมีความสุข แม่คงไม่กล้าห้ามไม่ให้ลูกเป็นหรอก. ที่จริงแม่รู้มานานแล้ว แต่แค่ให้เราเปิดใจพูดตรงๆกับแม่ซะทีค่ะ. ยังไงคนเป็นพ่อแม่ก็ต้องเข้าใจเรรดีอยู่แล้ว สิ่งไหนที่ลูกมีความสุข พ่อแม่ก็มีความสุขด้วย
สุดท้ายขอเป็กำลังใจให้เข้าของกระทู้ และทุกๆคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาอยู่นะคะ ไม่ว่าเรื่องงาน เรื่องชีวิต. ให้ลองค้นหาคำตอบหลายๆด้านดู มันได้ผลจริงๆค่ะ.
สู้ๆนะคะ
ส่วนเรื่องทางบ้าน ตอนแรกที่บ้านก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าเราเป็น. เราก็ไม่ได้บอกก่อนว่าเราเป็น พอนานๆไปพ่อก็จะถามเรื่องครอบครัวตลอด เราก็ทำเฉยๆค่ะ จากนั้นได้ย้ายมาเรียน กทม. ไม่ได้กลับบ้านนานประมานปีนึงค่ะ แอบเทคยาและทำทุกอย่างให้ร่างกายเหมือนผู้หญิง แล้วก็รวมคลวามกล้าทั้งหมดกลับไปบ้าน เพื่อเปิดใจตัวเองให้พ่อแม่ยอมรับก่อน ที่แรกท่านก็ไม่ยอมรับนะคะ แต่นานๆไปพ่อแม่และญาติๆก็จะชินไปเองค่ะ เราก็ถามแม่ว่ารับได้หรือเปล่าที่เราเป็นแบบนี้ แม่ก็ตอบว่า ถ้าลูกเป็นแล้วมีความสุข แม่คงไม่กล้าห้ามไม่ให้ลูกเป็นหรอก. ที่จริงแม่รู้มานานแล้ว แต่แค่ให้เราเปิดใจพูดตรงๆกับแม่ซะทีค่ะ. ยังไงคนเป็นพ่อแม่ก็ต้องเข้าใจเรรดีอยู่แล้ว สิ่งไหนที่ลูกมีความสุข พ่อแม่ก็มีความสุขด้วย
สุดท้ายขอเป็กำลังใจให้เข้าของกระทู้ และทุกๆคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาอยู่นะคะ ไม่ว่าเรื่องงาน เรื่องชีวิต. ให้ลองค้นหาคำตอบหลายๆด้านดู มันได้ผลจริงๆค่ะ.
สู้ๆนะคะ
ความคิดเห็นที่ 47
Stay low profile and enjoy your life.
I have a lot of gay friends, who have good education and jobs.
Some are engineers, some are doctors.
They have their group of friends, and lovers.
They live in a nice apartment, travel a lot, enjoy their lives.
You don't have to marry a woman.
Just be yourself, and work on your relationship.
There are many couples, whose lovers are pilots, flight attendants, office people.. whoever..
The key thing is find "your time together, once on while" when it cannot be together all the time.
Don't make your life too complicated and mess aound with other woman's life.
Be proud of who you are, and live your life.
I have a lot of gay friends, who have good education and jobs.
Some are engineers, some are doctors.
They have their group of friends, and lovers.
They live in a nice apartment, travel a lot, enjoy their lives.
You don't have to marry a woman.
Just be yourself, and work on your relationship.
There are many couples, whose lovers are pilots, flight attendants, office people.. whoever..
The key thing is find "your time together, once on while" when it cannot be together all the time.
Don't make your life too complicated and mess aound with other woman's life.
Be proud of who you are, and live your life.
ความคิดเห็นที่ 19
เคยอ่านเจออยู่กระทู้หนึ่งค่ะ แต่จำไม่ได้
เนื้อความประมาณว่า ผู้ชายเป็นเกย์ ส่วนผู้หญิงก็อยากจะมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนไปจนแก่
เค้าใช้วิธีเปิดอก และตกลงกันว่า จะแต่งงานกัน มีลูกด้วยกัน เพื่อรักษาสถานภาพทางสังคม
แต่ผู้หญิงรู้ดีว่า ผู้ชายเป็นเกย์ หากจะมีกิ๊กเป็นผู้ชายก็ไม่ว่ากัน
ส่วนผู้หญิง ก็ไม่ได้คิดจะมีกิ๊กเป็นผู้ชายคนอื่นนะ เพียงแต่เค้ารู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนที่ดี และนิสัยดีมาก
ยังไงเค้าก็จะดูแลเค้าและลูกไปตลอดชีวิตแน่ๆ
คือจะบอกว่า ไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่แต่งงานกันเพราะแก่ไป จะได้ดูแลกันและกันได้ในฐานะเพื่อน
แล้วยังมีลูกด้วยกันอีก ประมาณนั้นค่ะ
เนื้อความประมาณว่า ผู้ชายเป็นเกย์ ส่วนผู้หญิงก็อยากจะมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนไปจนแก่
เค้าใช้วิธีเปิดอก และตกลงกันว่า จะแต่งงานกัน มีลูกด้วยกัน เพื่อรักษาสถานภาพทางสังคม
แต่ผู้หญิงรู้ดีว่า ผู้ชายเป็นเกย์ หากจะมีกิ๊กเป็นผู้ชายก็ไม่ว่ากัน
ส่วนผู้หญิง ก็ไม่ได้คิดจะมีกิ๊กเป็นผู้ชายคนอื่นนะ เพียงแต่เค้ารู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนที่ดี และนิสัยดีมาก
ยังไงเค้าก็จะดูแลเค้าและลูกไปตลอดชีวิตแน่ๆ
คือจะบอกว่า ไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่แต่งงานกันเพราะแก่ไป จะได้ดูแลกันและกันได้ในฐานะเพื่อน
แล้วยังมีลูกด้วยกันอีก ประมาณนั้นค่ะ
แสดงความคิดเห็น
จะเเต่งงานได้อย่างไร ในเมื่อผมเป็นเกย์
ก่อนอื่น เเนะนำตัวก่อนครับ ผมอายุ 29 เเล้ว ทำงานบริษัทชั้นนำของเมืองไทย นิสัยดี ไม่เกเรครับ 55555
ใช้ชีวิตปกติ (เเต่ผมชอบท่องเที่ยว) หนุ่มออฟฟิศทั่วไป หน้าตาผมคล้ายๆ Lee Sang Woo เเต่ผมคลำ้กว่าครับ 5555
ผมเองเคยมีเเฟนเป็นผู้หญิงตอนเด็กๆ เเบบคบตามกระเเส ตามเพื่อนๆดันครับ เเต่ก็ไม่มีอะไร ผมคิดว่านั้นไม่ได้เรียกว่า"รัก"เลย
ปัจจุบันก็มีสาวๆมาจีบผมเหมือนกัน...........เเต่ผมไม่เคยชอบ ผู้หญิงเลยครับ
ตอนนี้อายุก็เยอะ บางครั้งอยู่คนเดียวก็เหงาๆ ผมมีเเฟนครับ (ผู้ชาย) เเต่เขาเรียนอยู่ต่างประเทศเเละไม่ใช่คนไทย
คบกันมาเเล้วจะ 2 ปี เราเจอกันที่นาริตะ เเล้วไปเที่ยวด้วยกันอีกหลายหลายที่ เเน่นอนครับ คุย Skype กันทุกวัน เเละใช้ Social Media ทุกอย่าง
เนื่องด้วย Background สังคม วัฒนธรรม ที่ไม่เหมือนกัน ทำให้เรามีอุปสรรคที่ใหญ่มากๆเเละยังหาคำตอบไม่ได้ในความสัมพันธ์แบบนี้
จุดยืนของเขาคือ: เขารักผม เขาทุ่มเทให้ เเต่สุดท้ายเราก็เลิกกัน เพราะสภาพสังคมบีบบังคับ ยังไงก็อยู่ร่วมกันไม่ได้ ส่วนเขาจะเเต่งงานหรือไม่เเต่งงานอีกเรื่องหนึ่ง เเต่ที่เเน่ๆ เขาเป็นเกย์ 100% เขามองว่าเกย์เป็นเรื่องผิดศีลธรรม เเละ ไม่สามารถยอมรับในสังคมของเขาได้
จุดยืนของผม: ผมรักเขา อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ผมเป็นเกย์ 100% ผมไม่รู้ว่าการเป็นเกย์ผิดหรือถูก (ผมหาคำตอบไม่ได้) เเละผมก็ไม่รู้ว่าจะเลิกเป็นเกย์ได้อย่างไร ผมศึกษาจะกระทู้ต่างประเทศว่าจะเลิกเป็นได้อย่างไรเเละเลิกได้หรือไม่ คำตอบที่ได้คือ "ไม่มี" หรือ "ทำได้ไม่จริง" หรือไม่ก็มี "พวกที่บอกอย่างเดียวว่าผิดธรรมชาติ/ผิดศีลธรรม" เเต่พวกเขาไม่เคยพูดถึง "คำแนะนำหรือวิธีแก้ไขเลย" อ้อ บางคนบอกให้ไปเเต่งงาน เเล้วพระเจ้าจะเปิดใจให้
ผมไม่รู้ว่า "ผมควรทำอย่างไร" "เปลี่ยนแปลงอย่างไร" กับ "ความเป็นตัวตนของผม" อึดอัดมากครับ
เนื่องจากจุดยืนที่ต่างกัน:
เเฟนผมพยายามจะเลิกกับผมแบบอ้อมๆ เขาเคยเลิกคุยกันผมมา 5 เดือน เเต่สุดท้ายเราก็กลับมา เหตุผลอย่างเดียวเลยคือ "รักต้องห้าม"
เเต่เขาก็ยังรักผมเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง ในใจลึกๆเขาพยายามจะหายไปจากผมเพื่อให้ผมไปเเต่งงานหรือมีชีวิตที่ดีตามสังคม(เเต่งงาน มีลูก)
เเล้วเขาเองก็จะไปเเต่งงานเหมือนกันในอนาคต (สังคม วัฒนธรรม บีบบังคับ) ประเด็นอยู่ที่เราทั้งคู่ไม่มีใคร ตอนนี้รู้เเต่เพียงว่า เราสองคนรักกัน ซื้อสัตย์ต่อกัน เเละต่างคนต่างไม่มีใครเลย เเต่เขาก็บอกเสมอว่า "ไม่อยากเสียผมไปอยากเก็บผมไว้เป็นเพื่อน" ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ตาม......
เศร้านะครับ........เมื่อรู้ว่าการคบกับใครเพื่อสุดท้ายเเล้วจะเลิกกัน บางครั้งผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ ว่า "ทำไมเมื่อรู้เเบบนี้เเล้วยังคบกับเขาอีก"
เเละ "เขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน" เเต่เราก็ทำหน้าที่ ณ ปัจจุบัน ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมยังมีครอบครัว เพื่อนฝูง คนรู้จัก คนรอบข้าง ที่ให้กำลังใจ เเต่มันก็คนละส่วนครับ ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง ขอบเขตของตัวเอง ผมทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีเเละเรียกได้ว่าเเทบจะสมบูรณ์
เเต่เรื่องชีวิตคู่ ชีวิตส่วนตัว ผมมานั่งมองตัวเอง: ผมสงสารตัวเองจังเลยครับ ผมไม่รู้ต้องโทษใคร ผมไม่รู้ผมต้องทำอย่างไร อะไรคือเป้าหมายของชีวิต ที่ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ทำไปทำไม ทำไปเพื่อใคร ผมมองไม่เห็นอะไรเลยครับ.............ชีวิตเศร้าจังเลยครับ
ผมรู้เเละยอมรับตัวเองดี ผมเป็นเกย์ (ก็เเค่นั้น) ผมเเค่มีความรักกับคนเพศเดียวกัน (คุณคิดว่าผมโง่ไหม ทำไมผมต้อง"เลือก"ทำให้ชีวิตมันวุ่นวาย ยุ่งเหยิงไปมากกว่าเดิม) ผมไม่ได้ "เลือกครับ" บอกไว้เลย เเละคนเป็นเกย์ทุกคนก็ "ไม่ได้เลือก" ผมเชื่ออย่างนั้น
เเล้วผมจะเเต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รัก ไปทำไม เพื่ออะไร? ผมสงสารผู้หญิง เเละผมจะเเต่งงานได้อย่างไร ในเมื่อผมเป็นเกย์
ขอบคุณที่รับฟังนะครับ
คุณมีเรื่องราวก็ช่วยแชร์ให้ผมอ่านบ้างนะครับ