สามก๊กฉบับอ่านซ้ำ
เกิดเรื่องเพราะภรรยา
“ เล่าเซี่ยงชุน “
วันหนึ่งภรรยาของเอียวปิว ก็ไปเยี่ยมภรรยาของกุยกี คำนับกันตามธรรมเนียมภรรยาขุนนางด้วยกันแล้ว ภรรยาเอียวปิวก็ว่าตนได้ยินกิตติศัพท์ ว่ากุยกีได้ลอบรักใคร่กับภรรยาของลิฉุย และกระซิบว่าเนื้อความนี้ถ้ารู้ถึงหูลิฉุยแล้ว เห็นว่ากุยกีจะเป็นอันตราย กับแนะนำว่า
“......... ท่านจงคิดอ่านห้ามปรามผัวท่านเสีย อย่าให้ทำการสืบไป ซึ่งข้าพเจ้าบอกทั้งนี้เพราะมีใจเอ็นดูท่าน..........”
ภรรยากุยกีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า กุยกีไปหาลิฉุยบ่อย ๆ ลางทีก็ไปนอนค้างบ้าน ตนคิดว่าเป็นเพื่อนข้าราชการรักกันมาก และว่า
“.........ซึ่งกุยกีไปทำการรักใคร่ภรรยาลิฉุย เรามิได้รู้ หากท่านมีน้ำใจบอกมานั้นขอบใจนัก แต่นี้เราจะห้ามมิให้กุยกีไปบ้านลิฉุยเลย.........”
ภรรยาเอียวปิวเห็นว่าตนวางเพลิงไว้ได้ผลแล้ว ก็ลากลับบ้านไป ภรรยาของกุยกีก็คอยดูแลสามีของตน ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในครอบครัวของลิฉุยอีก เลิกราชการแล้วก็ให้กลับบ้านทุกวัน
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ลิฉุยให้คนมาเชิญกุยกีไปกินโต๊ะที่บ้านของตน ภรรยากุยกี ก็ห้ามปรามว่าอย่าไปเลย เพราะต่างก็เป็นใหญ่เท่ากัน เผื่อลิฉุยอยากเป็นใหญ่ผู้เดียว แล้วเอายาพิษให้กินก็จะถึงแก่ความตาย แล้วอ้อนว่า
“........... ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้หญิง จะบ่ายหน้าไปพึ่งผู้ใดได้ .........”
กุยกีก็ปฏิบัติตนเป็นสามีที่ดี เชื่อฟังถ้อยคำภรรยา ไม่ไปหาลิฉุยที่บ้านตามคำเชิญ พอถึงตอนเย็น ลิฉุยเห็นว่ากุยกีไม่มาแน่ ก็ให้คนใช้เอาอาหารที่เตรียมไว้นั้นไปให้ถึงบ้าน เวลานั้นกุยกีนอนหลับอยู่ ภรรยาจึงออกมารับอาหารไว้ และเพื่อจะให้สมจริงดังคำพูดของตน จึงเอายาพิษแอบใส่ลงไว้ในอาหารทั้งปวง
เมื่อกุยกีตื่นขึ้นคนใช้ในเรือนจึงจัดโต๊ะอาหาร แล้วบอกว่าลิฉุยได้เอาอาหารนี้มาให้ ภรรยาจึงรีบห้ามกุยกีว่า
“.........ของนี้ท่านอย่าเพิ่งกิน จงชันสูตรดูก่อน.......”
แล้วก็เอาอาหารนั้นโยนให้สุนัขกิน สุนัขตัวนั้นก็ตาย กุยกีเห็นดังนั้นก็เกิดความสงสัย คิดคล้อยตามคำของภรรยา ที่ว่าลิฉุยอาจจะคิดปองร้ายตน
อยู่มาอีกหลายวัน เมื่อออกจากที่เฝ้าแล้ว ลิฉุยก็ชวนกุยกีไปปรึกษาราชการที่บ้าน แล้วก็ชวนให้กินโต๊ะเสพสุราอาหารกันเป็นที่สบาย กุยกีลืมคำเตือนของภรรยา ก็อยู่บ้านลิฉุยจนค่ำมืด พอกลับถึงบ้านก็ปวดท้อง ภรรยาจึงถามว่า เมื่อออกจากที่เฝ้าแล้วไปไหนมา กุยกีก็บอกตามตรงว่าไปปรึกษาข้อราชการที่บ้านลิฉุย แล้วก็กินเลี้ยงกัน ภรรยาก็ทำท่า
ตกใจแล้วว่า
“..........ข้าพเจ้าเห็นประจักษ์อยู่แล้ว ยังขืนไปกินโต๊ะที่บ้านลิฉุย เขามิใส่ยาพิษลงแล้วหรือ........”
แล้วภรรยากุยกีก็เอาน้ำผสมอาจมกรอกกุยกีเข้าไป กุยกีก็อาเจียนออกมา ที่ปวดท้องก็คลายลง กุยกีก็คิดโกรธลิฉุยว่า เสียแรงได้ร่วมคิดจะทำการใหญ่ด้วยกัน กลับไม่ซื่อต่อกันคิดร้ายตนก่อน จำจะคิดฆ่ามันเสียให้ได้ แล้วก็จัดแจงยกทหารของตนไปล้อมบ้านลิฉุยไว้
ฝ่ายลิฉุยแจ้งข่าวว่ากุยกียกทหารมาจะทำร้ายตน ก็คิดว่าตนเองหาความผิดมิได้ กุยกีบังอาจมาทำร้ายตน จะละไว้มิได้ จึงยกทหารของตนออกไปพบกับทหารของกุยกีที่ริมกำแพงเมือง ทั้งสองฝ่ายก็ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองเดือดร้อน เพราะทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็ถือโอกาส แย่งชิงทรัพย์สินของราษฎรในบริเวณนั้นติดมือไปเป็นของตนเสียด้วย
ระหว่างนั้นลิฉุยก็ให้ลิเซียมหลานชายคุมทหารไปล้อมวังไว้ ลิเซียมจึงให้กาเซี่ยงเอารถไปสองคัน เชิญเสด็จฮ่องเต้ขึ้นรถคันหนึ่ง ให้นางฮกเฮามเหสีขึ้นอีกคันหนึ่ง แล้วต้อนขันทีและนางสนมทั้งปวง ให้ทหารคุมยกขบวนออกทางประตูท้ายวัง ก็มาพบกับกองทหารของกุยกีที่ถอยออกมาจากสมรภูมิ กุยกีก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ถูกทหารของลิเซียมตายไปหลายคน พอดีลิฉุย คุมทหารตามมาทัน ก็เข้าโจมตีกองทหารของกุยกีอีก กุยกีต้านทานมิได้ ต้องถอยหนีต่อไป ลิฉุยจึงพาฮ่องเต้และมเหสีออกไปตั้งที่พักอยู่นอกวัง
ฝ่ายกุยกีก็ไม่ยอมเสียเปรียบ รีบยกทหารเข้าไปในวัง เก็บเอาทรัพย์สินสิ่งของในท้องพระคลัง แล้วก็จุดเพลิงเผาวังเสียสิ้น ครั้นรุ่งเช้าก็ยกพลไปตั้งหน้าที่พักของลิฉุย เพื่อจะรบชิงตัวฮ่องเต้ ลิฉุยก็ยกพลออกมารบด้วย กุยกีก็สู้มิได้อีก ต้องพาทหารถอยมาตั้งที่พักอยู่อีกแห่งหนึ่ง ลิฉุยจึงพาฮ่องเต้กับมเหสีและนางสนมกำนัลกับพวกขันที ยกไปอยู่เมืองใหม่ที่ตั๋งโต๊ะได้สร้างไว้ สมัยที่เป็นมหาอุปราชอยู่ แล้วก็ให้ลิเซียมควบคุมไว้อย่างแข็งแรง
เอียวปิวซึ่งอยู่ในขบวนเสด็จของฮ่องเต้ด้วย ก็เข้าไปปลอบโยนพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ลิฉุยนั้นมีใจหยาบช้า ครั้งนี้พระองค์อยู่ในบังคับของมัน จงอดพระทัยไว้ก่อนเถิด ฮ่องเต้ก็ทรงพระกันแสงจนน้ำพระเนตรชุ่มฉลองพระองค์ ขณะนั้นก็มีคนเข้ามากราบทูลว่า มีกองทัพยกมาจะรับเสด็จ แต่เมื่อทรงให้ขันทีออกไปสืบข่าว ก็กลายเป็นกองทัพของกุยกี ฮ่องเต้ก็ยิ่งทรงพระวิตก ว่าจะเป็นอันตรายแก่พระองค์อีก ก็มิได้หยุดกันแสง
ลิฉุยรู้ว่ากุยกียกกองทัพมา ก็จัดแจงทหารยกออกจากเมืองไปประจันหน้ากัน แล้วทั้งสองก็กล่าวโทษกันและกันว่าเป็นศัตรูราชสมบัติ ลงท้ายลิฉุยก็ท้าว่ามารบกันตัวต่อตัวดีกว่า ทหารเลวทั้งปวงจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน ถ้าผู้ใดชนะก็เชิญฮ่องเต้เสด็จไป
แล้วลิฉุยก็ขับม้าออกไปรบกับกุยกี แต่รบกันได้สิบเพลงแล้ว ก็ยังมิได้แพ้ชนะแก่กัน เอียวปิวผู้เป็นต้นเหตุเห็นเรื่องราววุ่นวายใหญ่โต เกินกว่าที่คิดไว้ จึงพา ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประมาณหกสิบคน รีบออกไปห้ามทัพของผู้สำเร็จราชการทั้งสองไว้ ทั้งสองฝ่ายก็เลิกทัพ ลิฉุย นั้นยกทหารกลับเข้าเมือง กุยกีก็ยกทหารจะไปเมืองเตียงอัน เอียวปิวก็ตามไปขอร้องให้กุยกีเลิกเป็นศัตรูกับลิฉุยเสีย แต่กุยกีกลับให้ทหารจับตัวขุนนางทั้งหมดไปขังคุกไว้ ขุนนางทั้งปวงก็ร้องว่า
“............เราหาความผิดมิได้ เรามาหวังจะห้ามปรามท่านมิให้รบกัน เป็นไฉนท่านจึงจะให้เอาไปใส่คุกเสีย..........”
กุยกีก็เถียงว่า
“...........ลิฉุยนั้นพาเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้แลพระสนมไปขังไว้ เราจึงจะเอาท่านทั้งปวงไปจำไว้บ้าง............”
เอียวปิวก็ดักคอว่า
“............ฝ่ายลิฉุยจับพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปไว้ ฝ่ายท่านให้จับขุนนางไปจำไว้ฉะนี้ ท่านจะคิดประการใดหรือ..........”
กุยกีได้ฟังก็โกรธ ชักกระบี่ออกจะฟันเอียวปิว นายทหารของกุยกีก็ห้ามไว้ กุยกีจึงปล่อยเอียวปิวกับจูฮีเสีย แต่ให้เอาขุนนางทั้งหกสิบคนไปขังไว้ตามคำสั่งเดิม ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองก็เสียใจว่า พวกตนเป็นขุนนาง พระมหากษัตริย์ชุบเลี้ยงอยู่ในแผ่นดิน ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระทุกข์ทรมานอยู่ แต่ไม่สามารถจะช่วยทำนุบำรุงพระองค์ให้เป็นสุขได้ เมื่อต่างกลับไปถึงบ้านแล้ว จูฮีก็เป็นไข้ใจ ถึงแก่ความตายไป แต่เอียวปิวยังคิดที่จะช่วยฮ่องเต้ให้พ้นภัยอยู่
ฝ่ายลิฉุยซึ่งอยู่ในเมืองใหม่ กับกุยกีซึ่งอยู่ในค่ายหน้าเมือง ต่างก็ยกพลออกมารบกันทุกวันมิได้ขาดเป็นเวลาประมาณสองเดือน ไพร่พลทั้งสองฝ่ายก็ล้มตายไปเป็นอันมาก ลิฉุยนั้นเมื่อกลับเข้ามาอยู่ในเมือง ก็ปรึกษากับพวกทรงเจ้าเข้าผี กาเซี่ยงห้ามปรามหลายครั้งก็ไม่เชื่อฟัง เอียวกี ขุนนางอีกผู้หนึ่งก็เข้าไปทูลฮ่องเต้ว่า กาเซี่ยงเป็นที่ปรึกษาของลิฉุย แต่จะแนะนำประการใดลิฉุยก็มิได้ทำตาม เห็นว่ากาเซี่ยงจะมีน้ำใจสามิภักดิ์ต่อพระองค์อยู่ ขอให้ทรงเรียกกาเซี่ยงมาเฝ้าเพื่อปรึกษาราชการ ฮ่องเต้ก็เห็นด้วยจึงมีรับสั่งให้กาเซี่ยงเข้าเฝ้าเป็นการลับ ฮ่องเต้ก็ขับขันทีออกไปเสียภายนอก แล้วทรงพระกันแสงตรัสแก่กาเซี่ยงว่า
“.............ครั้งนี้เราได้ความทุกข์เวทนานัก ท่านจงมีใจภักดีต่อแผ่นดิน ช่วยเอาชีวิตเราไว้ให้รอดด้วย...........”
กาเซี่ยงก็กราบถวายบังคม แล้วทูลว่า
“.............ทุกวันนี้ข้าพระเจ้าคิดจะทำการสนองพระคุณอยู่ พระองค์อย่าเพ่อตรัสเนื้อความให้แพร่งพรายก่อน ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาคิดการให้สำเร็จ...........”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ค่อยคลายพระทัย ก็พอดีลิฉุยเดินถือกระบี่เข้ามา ฮ่องเต้ก็ตกพระทัยทรงคิดว่าลิฉุยจะเข้ามาทำอันตราย แต่ลิฉุยกลับทูลว่า
“.............กุยกีนั้นคิดขบถต่อพระองค์ มันจึงจับเอาขุนนางทั้งปวงไปจำไว้ หากว่าข้าพเจ้าเชิญเสด็จมาไว้ พระองค์จึงพ้นภัย..........”
ฮ่องเต้ก็คำนับแล้วตรัสว่า
“............ซึ่งท่านทำดังนี้ขอบคุณหาที่สุดมิได้...........”
เมื่อลิฉุยลาฮ่องเต้ออกไปแล้ว ฮองหูเ
ยบ นายทหารเก่าก็เข้ามาเฝ้า ฮ่องเต้ทรงทราบว่าฮองหูเ
ยบเป็นชาวบ้านเดียวกับลิฉุย จึงทรงพระอักษรให้เอาไปห้ามลิฉุยกับกุยกีให้เลิกรบกันเสีย ฮองหูเ
ยบรับพระอักษรแล้วก็เอาไปให้กุยกีที่ค่ายนอกเมือง กุยกีเห็นพระอักษรของฮ่องเต้แล้วก็ว่า
“............ลิฉุยปล่อยพระเจ้าเหี้ยนเต้เสีย แล้วเราจะปล่อยขุนนางเสียบ้าง เรากับ ลิฉุยก็จะเป็นปกติกันสืบไป..........”
ฮองหูเ
ยบก็กลับมาหาลิฉุยแล้วว่า
“...........พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นว่า ข้าพเจ้ากับท่านเป็นชาวบ้านเดียวกัน จึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือรับสั่งมาห้ามท่านกับกุยกี อย่าให้รบพุ่งกัน กุยกีนั้นก็ฟังรับสั่งแล้ว ฝ่ายท่านจะว่าประการใด........”
ลิฉุยตอบว่า
“..........เราได้ทำนุบำรุงมาถึงสี่ปีแล้ว ความชอบก็มีอยู่เป็นอันมาก กุยกีนั้นเป็นแต่ผู้ร้ายลักม้า มาได้ดีขึ้น ครั้งนี้บังอาจถือตัวว่าเป็นใหญ่เอาขุนนางทั้งปวงไปจำไว้ แล้วจะทำร้ายเรา เราจะฆ่ามันเสียให้จงได้...........”
เมื่อผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ต่างก็มีทิษฐิมานะไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันดังนี้ คนกลางที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย จะทำประการใดจึงจะสำเร็จ ตามรับสั่งของฮ่องเต้ ก็ต้องดูกันต่อไป.
##########
เกิดเรื่องเพราะภรรยา ๒๑ ก.พ.๕๗
เกิดเรื่องเพราะภรรยา
“ เล่าเซี่ยงชุน “
วันหนึ่งภรรยาของเอียวปิว ก็ไปเยี่ยมภรรยาของกุยกี คำนับกันตามธรรมเนียมภรรยาขุนนางด้วยกันแล้ว ภรรยาเอียวปิวก็ว่าตนได้ยินกิตติศัพท์ ว่ากุยกีได้ลอบรักใคร่กับภรรยาของลิฉุย และกระซิบว่าเนื้อความนี้ถ้ารู้ถึงหูลิฉุยแล้ว เห็นว่ากุยกีจะเป็นอันตราย กับแนะนำว่า
“......... ท่านจงคิดอ่านห้ามปรามผัวท่านเสีย อย่าให้ทำการสืบไป ซึ่งข้าพเจ้าบอกทั้งนี้เพราะมีใจเอ็นดูท่าน..........”
ภรรยากุยกีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า กุยกีไปหาลิฉุยบ่อย ๆ ลางทีก็ไปนอนค้างบ้าน ตนคิดว่าเป็นเพื่อนข้าราชการรักกันมาก และว่า
“.........ซึ่งกุยกีไปทำการรักใคร่ภรรยาลิฉุย เรามิได้รู้ หากท่านมีน้ำใจบอกมานั้นขอบใจนัก แต่นี้เราจะห้ามมิให้กุยกีไปบ้านลิฉุยเลย.........”
ภรรยาเอียวปิวเห็นว่าตนวางเพลิงไว้ได้ผลแล้ว ก็ลากลับบ้านไป ภรรยาของกุยกีก็คอยดูแลสามีของตน ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในครอบครัวของลิฉุยอีก เลิกราชการแล้วก็ให้กลับบ้านทุกวัน
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ลิฉุยให้คนมาเชิญกุยกีไปกินโต๊ะที่บ้านของตน ภรรยากุยกี ก็ห้ามปรามว่าอย่าไปเลย เพราะต่างก็เป็นใหญ่เท่ากัน เผื่อลิฉุยอยากเป็นใหญ่ผู้เดียว แล้วเอายาพิษให้กินก็จะถึงแก่ความตาย แล้วอ้อนว่า
“........... ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้หญิง จะบ่ายหน้าไปพึ่งผู้ใดได้ .........”
กุยกีก็ปฏิบัติตนเป็นสามีที่ดี เชื่อฟังถ้อยคำภรรยา ไม่ไปหาลิฉุยที่บ้านตามคำเชิญ พอถึงตอนเย็น ลิฉุยเห็นว่ากุยกีไม่มาแน่ ก็ให้คนใช้เอาอาหารที่เตรียมไว้นั้นไปให้ถึงบ้าน เวลานั้นกุยกีนอนหลับอยู่ ภรรยาจึงออกมารับอาหารไว้ และเพื่อจะให้สมจริงดังคำพูดของตน จึงเอายาพิษแอบใส่ลงไว้ในอาหารทั้งปวง
เมื่อกุยกีตื่นขึ้นคนใช้ในเรือนจึงจัดโต๊ะอาหาร แล้วบอกว่าลิฉุยได้เอาอาหารนี้มาให้ ภรรยาจึงรีบห้ามกุยกีว่า
“.........ของนี้ท่านอย่าเพิ่งกิน จงชันสูตรดูก่อน.......”
แล้วก็เอาอาหารนั้นโยนให้สุนัขกิน สุนัขตัวนั้นก็ตาย กุยกีเห็นดังนั้นก็เกิดความสงสัย คิดคล้อยตามคำของภรรยา ที่ว่าลิฉุยอาจจะคิดปองร้ายตน
อยู่มาอีกหลายวัน เมื่อออกจากที่เฝ้าแล้ว ลิฉุยก็ชวนกุยกีไปปรึกษาราชการที่บ้าน แล้วก็ชวนให้กินโต๊ะเสพสุราอาหารกันเป็นที่สบาย กุยกีลืมคำเตือนของภรรยา ก็อยู่บ้านลิฉุยจนค่ำมืด พอกลับถึงบ้านก็ปวดท้อง ภรรยาจึงถามว่า เมื่อออกจากที่เฝ้าแล้วไปไหนมา กุยกีก็บอกตามตรงว่าไปปรึกษาข้อราชการที่บ้านลิฉุย แล้วก็กินเลี้ยงกัน ภรรยาก็ทำท่า
ตกใจแล้วว่า
“..........ข้าพเจ้าเห็นประจักษ์อยู่แล้ว ยังขืนไปกินโต๊ะที่บ้านลิฉุย เขามิใส่ยาพิษลงแล้วหรือ........”
แล้วภรรยากุยกีก็เอาน้ำผสมอาจมกรอกกุยกีเข้าไป กุยกีก็อาเจียนออกมา ที่ปวดท้องก็คลายลง กุยกีก็คิดโกรธลิฉุยว่า เสียแรงได้ร่วมคิดจะทำการใหญ่ด้วยกัน กลับไม่ซื่อต่อกันคิดร้ายตนก่อน จำจะคิดฆ่ามันเสียให้ได้ แล้วก็จัดแจงยกทหารของตนไปล้อมบ้านลิฉุยไว้
ฝ่ายลิฉุยแจ้งข่าวว่ากุยกียกทหารมาจะทำร้ายตน ก็คิดว่าตนเองหาความผิดมิได้ กุยกีบังอาจมาทำร้ายตน จะละไว้มิได้ จึงยกทหารของตนออกไปพบกับทหารของกุยกีที่ริมกำแพงเมือง ทั้งสองฝ่ายก็ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองเดือดร้อน เพราะทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็ถือโอกาส แย่งชิงทรัพย์สินของราษฎรในบริเวณนั้นติดมือไปเป็นของตนเสียด้วย
ระหว่างนั้นลิฉุยก็ให้ลิเซียมหลานชายคุมทหารไปล้อมวังไว้ ลิเซียมจึงให้กาเซี่ยงเอารถไปสองคัน เชิญเสด็จฮ่องเต้ขึ้นรถคันหนึ่ง ให้นางฮกเฮามเหสีขึ้นอีกคันหนึ่ง แล้วต้อนขันทีและนางสนมทั้งปวง ให้ทหารคุมยกขบวนออกทางประตูท้ายวัง ก็มาพบกับกองทหารของกุยกีที่ถอยออกมาจากสมรภูมิ กุยกีก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ถูกทหารของลิเซียมตายไปหลายคน พอดีลิฉุย คุมทหารตามมาทัน ก็เข้าโจมตีกองทหารของกุยกีอีก กุยกีต้านทานมิได้ ต้องถอยหนีต่อไป ลิฉุยจึงพาฮ่องเต้และมเหสีออกไปตั้งที่พักอยู่นอกวัง
ฝ่ายกุยกีก็ไม่ยอมเสียเปรียบ รีบยกทหารเข้าไปในวัง เก็บเอาทรัพย์สินสิ่งของในท้องพระคลัง แล้วก็จุดเพลิงเผาวังเสียสิ้น ครั้นรุ่งเช้าก็ยกพลไปตั้งหน้าที่พักของลิฉุย เพื่อจะรบชิงตัวฮ่องเต้ ลิฉุยก็ยกพลออกมารบด้วย กุยกีก็สู้มิได้อีก ต้องพาทหารถอยมาตั้งที่พักอยู่อีกแห่งหนึ่ง ลิฉุยจึงพาฮ่องเต้กับมเหสีและนางสนมกำนัลกับพวกขันที ยกไปอยู่เมืองใหม่ที่ตั๋งโต๊ะได้สร้างไว้ สมัยที่เป็นมหาอุปราชอยู่ แล้วก็ให้ลิเซียมควบคุมไว้อย่างแข็งแรง
เอียวปิวซึ่งอยู่ในขบวนเสด็จของฮ่องเต้ด้วย ก็เข้าไปปลอบโยนพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ลิฉุยนั้นมีใจหยาบช้า ครั้งนี้พระองค์อยู่ในบังคับของมัน จงอดพระทัยไว้ก่อนเถิด ฮ่องเต้ก็ทรงพระกันแสงจนน้ำพระเนตรชุ่มฉลองพระองค์ ขณะนั้นก็มีคนเข้ามากราบทูลว่า มีกองทัพยกมาจะรับเสด็จ แต่เมื่อทรงให้ขันทีออกไปสืบข่าว ก็กลายเป็นกองทัพของกุยกี ฮ่องเต้ก็ยิ่งทรงพระวิตก ว่าจะเป็นอันตรายแก่พระองค์อีก ก็มิได้หยุดกันแสง
ลิฉุยรู้ว่ากุยกียกกองทัพมา ก็จัดแจงทหารยกออกจากเมืองไปประจันหน้ากัน แล้วทั้งสองก็กล่าวโทษกันและกันว่าเป็นศัตรูราชสมบัติ ลงท้ายลิฉุยก็ท้าว่ามารบกันตัวต่อตัวดีกว่า ทหารเลวทั้งปวงจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน ถ้าผู้ใดชนะก็เชิญฮ่องเต้เสด็จไป
แล้วลิฉุยก็ขับม้าออกไปรบกับกุยกี แต่รบกันได้สิบเพลงแล้ว ก็ยังมิได้แพ้ชนะแก่กัน เอียวปิวผู้เป็นต้นเหตุเห็นเรื่องราววุ่นวายใหญ่โต เกินกว่าที่คิดไว้ จึงพา ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประมาณหกสิบคน รีบออกไปห้ามทัพของผู้สำเร็จราชการทั้งสองไว้ ทั้งสองฝ่ายก็เลิกทัพ ลิฉุย นั้นยกทหารกลับเข้าเมือง กุยกีก็ยกทหารจะไปเมืองเตียงอัน เอียวปิวก็ตามไปขอร้องให้กุยกีเลิกเป็นศัตรูกับลิฉุยเสีย แต่กุยกีกลับให้ทหารจับตัวขุนนางทั้งหมดไปขังคุกไว้ ขุนนางทั้งปวงก็ร้องว่า
“............เราหาความผิดมิได้ เรามาหวังจะห้ามปรามท่านมิให้รบกัน เป็นไฉนท่านจึงจะให้เอาไปใส่คุกเสีย..........”
กุยกีก็เถียงว่า
“...........ลิฉุยนั้นพาเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้แลพระสนมไปขังไว้ เราจึงจะเอาท่านทั้งปวงไปจำไว้บ้าง............”
เอียวปิวก็ดักคอว่า
“............ฝ่ายลิฉุยจับพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปไว้ ฝ่ายท่านให้จับขุนนางไปจำไว้ฉะนี้ ท่านจะคิดประการใดหรือ..........”
กุยกีได้ฟังก็โกรธ ชักกระบี่ออกจะฟันเอียวปิว นายทหารของกุยกีก็ห้ามไว้ กุยกีจึงปล่อยเอียวปิวกับจูฮีเสีย แต่ให้เอาขุนนางทั้งหกสิบคนไปขังไว้ตามคำสั่งเดิม ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองก็เสียใจว่า พวกตนเป็นขุนนาง พระมหากษัตริย์ชุบเลี้ยงอยู่ในแผ่นดิน ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระทุกข์ทรมานอยู่ แต่ไม่สามารถจะช่วยทำนุบำรุงพระองค์ให้เป็นสุขได้ เมื่อต่างกลับไปถึงบ้านแล้ว จูฮีก็เป็นไข้ใจ ถึงแก่ความตายไป แต่เอียวปิวยังคิดที่จะช่วยฮ่องเต้ให้พ้นภัยอยู่
ฝ่ายลิฉุยซึ่งอยู่ในเมืองใหม่ กับกุยกีซึ่งอยู่ในค่ายหน้าเมือง ต่างก็ยกพลออกมารบกันทุกวันมิได้ขาดเป็นเวลาประมาณสองเดือน ไพร่พลทั้งสองฝ่ายก็ล้มตายไปเป็นอันมาก ลิฉุยนั้นเมื่อกลับเข้ามาอยู่ในเมือง ก็ปรึกษากับพวกทรงเจ้าเข้าผี กาเซี่ยงห้ามปรามหลายครั้งก็ไม่เชื่อฟัง เอียวกี ขุนนางอีกผู้หนึ่งก็เข้าไปทูลฮ่องเต้ว่า กาเซี่ยงเป็นที่ปรึกษาของลิฉุย แต่จะแนะนำประการใดลิฉุยก็มิได้ทำตาม เห็นว่ากาเซี่ยงจะมีน้ำใจสามิภักดิ์ต่อพระองค์อยู่ ขอให้ทรงเรียกกาเซี่ยงมาเฝ้าเพื่อปรึกษาราชการ ฮ่องเต้ก็เห็นด้วยจึงมีรับสั่งให้กาเซี่ยงเข้าเฝ้าเป็นการลับ ฮ่องเต้ก็ขับขันทีออกไปเสียภายนอก แล้วทรงพระกันแสงตรัสแก่กาเซี่ยงว่า
“.............ครั้งนี้เราได้ความทุกข์เวทนานัก ท่านจงมีใจภักดีต่อแผ่นดิน ช่วยเอาชีวิตเราไว้ให้รอดด้วย...........”
กาเซี่ยงก็กราบถวายบังคม แล้วทูลว่า
“.............ทุกวันนี้ข้าพระเจ้าคิดจะทำการสนองพระคุณอยู่ พระองค์อย่าเพ่อตรัสเนื้อความให้แพร่งพรายก่อน ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาคิดการให้สำเร็จ...........”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ค่อยคลายพระทัย ก็พอดีลิฉุยเดินถือกระบี่เข้ามา ฮ่องเต้ก็ตกพระทัยทรงคิดว่าลิฉุยจะเข้ามาทำอันตราย แต่ลิฉุยกลับทูลว่า
“.............กุยกีนั้นคิดขบถต่อพระองค์ มันจึงจับเอาขุนนางทั้งปวงไปจำไว้ หากว่าข้าพเจ้าเชิญเสด็จมาไว้ พระองค์จึงพ้นภัย..........”
ฮ่องเต้ก็คำนับแล้วตรัสว่า
“............ซึ่งท่านทำดังนี้ขอบคุณหาที่สุดมิได้...........”
เมื่อลิฉุยลาฮ่องเต้ออกไปแล้ว ฮองหูเยบ นายทหารเก่าก็เข้ามาเฝ้า ฮ่องเต้ทรงทราบว่าฮองหูเยบเป็นชาวบ้านเดียวกับลิฉุย จึงทรงพระอักษรให้เอาไปห้ามลิฉุยกับกุยกีให้เลิกรบกันเสีย ฮองหูเยบรับพระอักษรแล้วก็เอาไปให้กุยกีที่ค่ายนอกเมือง กุยกีเห็นพระอักษรของฮ่องเต้แล้วก็ว่า
“............ลิฉุยปล่อยพระเจ้าเหี้ยนเต้เสีย แล้วเราจะปล่อยขุนนางเสียบ้าง เรากับ ลิฉุยก็จะเป็นปกติกันสืบไป..........”
ฮองหูเยบก็กลับมาหาลิฉุยแล้วว่า
“...........พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นว่า ข้าพเจ้ากับท่านเป็นชาวบ้านเดียวกัน จึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือรับสั่งมาห้ามท่านกับกุยกี อย่าให้รบพุ่งกัน กุยกีนั้นก็ฟังรับสั่งแล้ว ฝ่ายท่านจะว่าประการใด........”
ลิฉุยตอบว่า
“..........เราได้ทำนุบำรุงมาถึงสี่ปีแล้ว ความชอบก็มีอยู่เป็นอันมาก กุยกีนั้นเป็นแต่ผู้ร้ายลักม้า มาได้ดีขึ้น ครั้งนี้บังอาจถือตัวว่าเป็นใหญ่เอาขุนนางทั้งปวงไปจำไว้ แล้วจะทำร้ายเรา เราจะฆ่ามันเสียให้จงได้...........”
เมื่อผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ต่างก็มีทิษฐิมานะไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันดังนี้ คนกลางที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย จะทำประการใดจึงจะสำเร็จ ตามรับสั่งของฮ่องเต้ ก็ต้องดูกันต่อไป.
##########