ครบรอบแต่งงาน 14 ปีในเดือนนี้ ขอระลึกความหลังด้วยคำถามนี้สักหน่อยนะครับ เพราะเคยกลุ้มใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เมาไม่ขับ กลับแท็กซี่ ฯลฯ มานานจนทนไม่ไหวต้องนั่งรถเมล์ไปบ้านเจ๊ที่แอบพาไปเที่ยวบ่อยๆ (เรื่องผมกับเจ๊ เคยเกริ่นไว้แล้วใน
http://ppantip.com/topic/31608223 ) ไปขอว่าที่พ่อตาว่าจะกรุณายกลูกสาวให้ผมได้ไหม...
เรื่องผ่านมานาน แต่ทุกอย่างยังจำได้ดีเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น อาจเป็นประสบการณ์ที่ดีให้กับชายไทยใจกล้าหน้าด้านรุ่นหลานๆ ได้เอาอย่าง ผมจึงขอเล่าอย่างเขินอายเล็กน้อยให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์ครับ
ย้อนไปกว่า 14 ปีที่แล้ว ผมเป็นพนักงานบริษัทครับ เงินเดือนก็อย่างที่บอก พาหนะประจำตำแหน่งเป็นรถเมล์หลายสายให้เลือกใช้ครับ
เจ๊ที่ผมหมายปองมาจากการแนะนำของคนรอบข้างครับ แรกๆ ก็แอบชอบ จนใจกล้าไปถ่ายรูปรับปริญญาให้ ตอนนั้นวุ่นวายมากเพราะไม่คุ้นเคยกรุงเทพ (บ้านอยู่นนท์) เจ๊แกจบมหาลัยแถวๆ สามย่าน กว่าจะไปถึงก็หลงไปไหนต่อไหน หลังจากรับปริญญาเสร็จก็เข้าทางครับ ผมคบกับเจ๊แกอยู่พักหนึ่งก็ต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษก็ได้แต่เฝ้ารอ
เพราะไม่มีปัญญาบินไปเรียนเมืองนอกเหมือนเจ๊ ผมเลยกัดฟันเรียนโทในประเทศนี่แหละ ค่าเทอมไม่มีก็กัดฟันทำงานพิเศษ พอเรียนจบเจ๊ก็กลับมาเมืองไทยพอดี (โล่งใจไปนึกว่าเสร็จฝรั่งไปแล้ว) ระหว่างนี้ผมก็ทำอะไรก็อกๆแก๊กๆ หารายได้พิเศษนอกจากเงินเดือนไปตลอด ทั้งสอนหนังสือ เขียนบทความ รับจ้างทำ 3D (ตอนนั้นเงินดีครับ)
รถไม่มีเพราะรู้ว่านอกจากค่าน้ำมันแล้วค่าซ่อมก็อ้วกแตกเลย เวลาพาเจ๊ไปเที่ยวก็หรูขึ้นมาหน่อยคือนั่งรถ ปอ. ครับ เย็นสบายดี
แต่คบมานานๆ เข้าเจ๊แกก็มีงอนนะครับ เพราะไม่มาขอสักที ใครจะไปกล้าขอล่ะครับ ไอ้เราก็เจียมตัวเจียมใจ เพราะที่บ้านก็ไม่ได้มีสมบัติอะไรมากมาย แต่คิดๆ แล้วก็ “เอาวะ” ลองใจกล้าหน้าด้านไปคุยกับว่าที่พ่อตาดูสักที
สมัยนั้นเรื่องสินสอดทองหมั้นก็เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างผม เพราะไม่รู้จะเอาอะไรที่ไหนมาให้ โชคดีเล็กน้อยที่ได้ย้ายงานใหม่ แถมที่ทำงานเก่าก็ยังจ้างอยู่แต่ให้เข้าไปเดือนละหน ดูจะมีอนาคตพอสมควรบวกกับเงินเก็บที่พอดูได้ จึงกล้าพูดกับว่าที่พ่อตาตรงๆ ว่าผมรักลูกสาวของพ่อครับ... ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่เงินเก็บที่มีก็น่าจะพอสร้างบ้านหลังเล็กๆ ได้ (แถมเอามารีวิวไว้แล้วในนี้ด้วย
http://ppantip.com/topic/31589625 ) และที่ทำงานใหม่ เงินเดือนเพิ่มขึ้น ก็จะตัดสินใจผ่อนรถมาใช้ ลูกสาวพ่อจะได้ไม่ลำบาก
ผมใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมง วาดฝันอนาคตให้ท่านฟัง ว่าจะทำอะไรบ้าง จะมีรายได้จากตรงไหนมาเสริม จะสร้างบ้านผ่อนบ้านอย่างไร ผ่อนรถหมดในกี่ปี จะมีลูกได้เมื่อไร (คนเป็นพ่อตาส่วนใหญ่อยากมีหลานไวๆ ครับ... เป็นเคล็ดลับ)
สิ่งสำคัญที่สุดคือความจริงใจครับ ผมไม่ได้ร่างสคริปต์อะไรมาทั้งสิ้น เล่าให้ฟังสดๆ จากใจจริง
ท่านฟังแล้วถอนหายใจยาว... หลับตาลง (เป็นชั่ววินาทีที่ยาวนานยังกะการก่อตัวของเอกภพ) แล้วเล่าเรื่องของท่านให้ฟังอีกครึ่งชั่วโมง ว่าสร้างครอบครัวมาอย่างไร ทำงานหนักแค่ไหน เก็บเงินอย่างไร ฯลฯ
ปิดท้าย ท่านบอกว่าเห็นผมทำงานหนัก ตั้งใจและรู้จักเก็บหอมรอมริบ จึงไม่ขัดข้องอะไรถ้าจะขอแต่งงาน และไม่ต้องคิดมากเรื่องสินสอด (โห… อ่านใจได้ด้วยอ่ะ) เพราะแค่สร้างบ้าน ซื้อรถ ก็เป็นภาระมากพอแล้ว
ผมตัดสินใจแต่งงานในปีถัดมา แต่ก็ต้องผิดคำสัญญากับคุณพ่อตาที่ให้รีบผ่อนบ้านผ่อนรถให้หมดตามกำหนด เพราะผ่านไปแค่ 3 ปีผมก็ผ่อนหมดทุกอย่างแล้วครับ
ทุกวันนี้ผมกับเจ๊อยู่ดีมีสุข มีลูก 2 คน มีหมา แมว กระต่าย ตุ๊กแก จิ้งจก ประจำบ้าน อบอุ่นได้พอประมาณ ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยเงินทองแต่ก็สุขใจอยู่ลึกๆ ในรูปนี้เจ๊แปลงร่างเป็นครูจอมโหดสอนการบ้านลูกชายอยู่
เห็นกระทู้เรื่องสินสอดในนี้แหละ เลยคิดมาตั้งแต่วันนั้นว่าผมโชคดีชะมัด และเชื่อว่าถ้าเรามีความเอาจริงเอาจัง มีความเป็นผู้นำ และทำให้ว่าที่พ่อตารู้สึกมั่นใจว่าฝากอนาคตของลูกสาวไว้ในมือเราได้ เรื่องสินสอดทองหมั้นทั้งหลายก็เป็นเรื่องรองครับ
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบโดยไม่อ้วกแตกไปเสียก่อน และขอให้คู่รักทุกคู่มีความสุขนะครับ
อายุจะ 30 ยังไม่มีรถ เงินเดือน 2 หมื่นนิดๆ จะไปขอสาวนักเรียนนอก ไม่มีเงินสินสอด เขาจะยกลูกสาวให้มั้ยครับ...?
เรื่องผ่านมานาน แต่ทุกอย่างยังจำได้ดีเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น อาจเป็นประสบการณ์ที่ดีให้กับชายไทยใจกล้าหน้าด้านรุ่นหลานๆ ได้เอาอย่าง ผมจึงขอเล่าอย่างเขินอายเล็กน้อยให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์ครับ
ย้อนไปกว่า 14 ปีที่แล้ว ผมเป็นพนักงานบริษัทครับ เงินเดือนก็อย่างที่บอก พาหนะประจำตำแหน่งเป็นรถเมล์หลายสายให้เลือกใช้ครับ
เจ๊ที่ผมหมายปองมาจากการแนะนำของคนรอบข้างครับ แรกๆ ก็แอบชอบ จนใจกล้าไปถ่ายรูปรับปริญญาให้ ตอนนั้นวุ่นวายมากเพราะไม่คุ้นเคยกรุงเทพ (บ้านอยู่นนท์) เจ๊แกจบมหาลัยแถวๆ สามย่าน กว่าจะไปถึงก็หลงไปไหนต่อไหน หลังจากรับปริญญาเสร็จก็เข้าทางครับ ผมคบกับเจ๊แกอยู่พักหนึ่งก็ต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษก็ได้แต่เฝ้ารอ
เพราะไม่มีปัญญาบินไปเรียนเมืองนอกเหมือนเจ๊ ผมเลยกัดฟันเรียนโทในประเทศนี่แหละ ค่าเทอมไม่มีก็กัดฟันทำงานพิเศษ พอเรียนจบเจ๊ก็กลับมาเมืองไทยพอดี (โล่งใจไปนึกว่าเสร็จฝรั่งไปแล้ว) ระหว่างนี้ผมก็ทำอะไรก็อกๆแก๊กๆ หารายได้พิเศษนอกจากเงินเดือนไปตลอด ทั้งสอนหนังสือ เขียนบทความ รับจ้างทำ 3D (ตอนนั้นเงินดีครับ)
รถไม่มีเพราะรู้ว่านอกจากค่าน้ำมันแล้วค่าซ่อมก็อ้วกแตกเลย เวลาพาเจ๊ไปเที่ยวก็หรูขึ้นมาหน่อยคือนั่งรถ ปอ. ครับ เย็นสบายดี
แต่คบมานานๆ เข้าเจ๊แกก็มีงอนนะครับ เพราะไม่มาขอสักที ใครจะไปกล้าขอล่ะครับ ไอ้เราก็เจียมตัวเจียมใจ เพราะที่บ้านก็ไม่ได้มีสมบัติอะไรมากมาย แต่คิดๆ แล้วก็ “เอาวะ” ลองใจกล้าหน้าด้านไปคุยกับว่าที่พ่อตาดูสักที
สมัยนั้นเรื่องสินสอดทองหมั้นก็เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างผม เพราะไม่รู้จะเอาอะไรที่ไหนมาให้ โชคดีเล็กน้อยที่ได้ย้ายงานใหม่ แถมที่ทำงานเก่าก็ยังจ้างอยู่แต่ให้เข้าไปเดือนละหน ดูจะมีอนาคตพอสมควรบวกกับเงินเก็บที่พอดูได้ จึงกล้าพูดกับว่าที่พ่อตาตรงๆ ว่าผมรักลูกสาวของพ่อครับ... ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่เงินเก็บที่มีก็น่าจะพอสร้างบ้านหลังเล็กๆ ได้ (แถมเอามารีวิวไว้แล้วในนี้ด้วย http://ppantip.com/topic/31589625 ) และที่ทำงานใหม่ เงินเดือนเพิ่มขึ้น ก็จะตัดสินใจผ่อนรถมาใช้ ลูกสาวพ่อจะได้ไม่ลำบาก
ผมใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมง วาดฝันอนาคตให้ท่านฟัง ว่าจะทำอะไรบ้าง จะมีรายได้จากตรงไหนมาเสริม จะสร้างบ้านผ่อนบ้านอย่างไร ผ่อนรถหมดในกี่ปี จะมีลูกได้เมื่อไร (คนเป็นพ่อตาส่วนใหญ่อยากมีหลานไวๆ ครับ... เป็นเคล็ดลับ)
สิ่งสำคัญที่สุดคือความจริงใจครับ ผมไม่ได้ร่างสคริปต์อะไรมาทั้งสิ้น เล่าให้ฟังสดๆ จากใจจริง
ท่านฟังแล้วถอนหายใจยาว... หลับตาลง (เป็นชั่ววินาทีที่ยาวนานยังกะการก่อตัวของเอกภพ) แล้วเล่าเรื่องของท่านให้ฟังอีกครึ่งชั่วโมง ว่าสร้างครอบครัวมาอย่างไร ทำงานหนักแค่ไหน เก็บเงินอย่างไร ฯลฯ
ปิดท้าย ท่านบอกว่าเห็นผมทำงานหนัก ตั้งใจและรู้จักเก็บหอมรอมริบ จึงไม่ขัดข้องอะไรถ้าจะขอแต่งงาน และไม่ต้องคิดมากเรื่องสินสอด (โห… อ่านใจได้ด้วยอ่ะ) เพราะแค่สร้างบ้าน ซื้อรถ ก็เป็นภาระมากพอแล้ว
ผมตัดสินใจแต่งงานในปีถัดมา แต่ก็ต้องผิดคำสัญญากับคุณพ่อตาที่ให้รีบผ่อนบ้านผ่อนรถให้หมดตามกำหนด เพราะผ่านไปแค่ 3 ปีผมก็ผ่อนหมดทุกอย่างแล้วครับ
ทุกวันนี้ผมกับเจ๊อยู่ดีมีสุข มีลูก 2 คน มีหมา แมว กระต่าย ตุ๊กแก จิ้งจก ประจำบ้าน อบอุ่นได้พอประมาณ ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยเงินทองแต่ก็สุขใจอยู่ลึกๆ ในรูปนี้เจ๊แปลงร่างเป็นครูจอมโหดสอนการบ้านลูกชายอยู่
เห็นกระทู้เรื่องสินสอดในนี้แหละ เลยคิดมาตั้งแต่วันนั้นว่าผมโชคดีชะมัด และเชื่อว่าถ้าเรามีความเอาจริงเอาจัง มีความเป็นผู้นำ และทำให้ว่าที่พ่อตารู้สึกมั่นใจว่าฝากอนาคตของลูกสาวไว้ในมือเราได้ เรื่องสินสอดทองหมั้นทั้งหลายก็เป็นเรื่องรองครับ
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบโดยไม่อ้วกแตกไปเสียก่อน และขอให้คู่รักทุกคู่มีความสุขนะครับ