สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ดีใจที่คุณแม่เข้าใจว่าผมไม่ได้เข้ามาก่อกวนใดๆ ปัจจุบันผมเป็นคุณพ่อลูก2 คนโตเพิ่ง2ขวบนิดๆ ผมทำงานเป็นแพทย์อยู่ชม. แฟนก้อหมอฟัน เมื่อมีลูกจึงเริ่มอ่านและค้นหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเด็กมากขึ้น จึงต้องยอมรับว่าที่เคยเรียนๆมา มาเข้าใจบ้างตอนมีลูกนี่เอง ลูกหลายคนถูกคาดหวังอย่างมากจากครอบครัว ทั้งๆที่ตัวเค้าก้อแค่นี้เอง แต่ถ้าจะให้พูดบอกกันตรงๆ ใส่เข้าไปเถอะครับ ติวเข้าไปเถอะครับ(ประชด) ถ้าโชคดีน้องมีไอคิวดี มีหน่วยความจำเยอะ ก้อใส่ได้มาก แต่ถ้ามีน้อยหน่อยก้อใส่ได้อยู่ครับ เพราะตัวเค้าแค่นี้เองยังรับการใส่เติมเข้าไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้ามันเติมจนเต็มก้อจะตื้อน่ะครับ เครื่องจะอืดๆหน่อย ประมาณสักป.4-5 ก้อจะเริ่มเรียนได้เกรตน้อยลง คุณพ่อแม่ ก้อตกใจ จับเรียนเสริมเข้าไปอีก แล้วมันจะยัดเข้าเหรอครับ เพราะหน่วยความจำมันเต็มแล้ว จากเด็กเก่งก้อกลายเป็นเด็กธรรมดาไป แล้วเราจะทำยังไงดีเพื่อไม่ให้สมองลูกแฮงค์ตอนโต เคล็ดลับมันอยู่ตรงข้ามกับที่คุณกำลังทำให้ลูกไงครับ เรามาเข้าใจสมองกันสักหน่อยก่อนมั้ย?
1.พัฒนาจำนวนเซลล์สมองได้สูงสุดแค่0-2ขวบ-1000วันแรกนับแต่ปฏสนธิ-ก็คือสร้างจำนวนหน่วยความจำขึ้นมานั่นเอง กระตุ้นเค้าตั้งอยู่ในท้อง จนถึง2ขวบ กระตุ้นได้ด้วย อาหาร นมแม่ และตามขั้นตอนของหนังสือพัฒนาการเด็ก-หามาอ่านดูน่ะครับ-
2.พํฒนาสิ่งที่สำคัญที่สุด สำคัญมากกว่าจำนวนเซลล์สมอง เราเรียกมันว่า synapse หรือการเชื่อมโยงประสาท ยิ่งเราทำให้เซลล์ประสาทเชื่อมโยงกันมากเท่าไหร่ สมองก้อจะยิ่งไหลลื่นมากเท่านั้น เหมือนมีสมองเพิ่มขึ้นเป็น100เท่า แล้วsynapseสร้างขึ้นได้ยังไง มันจะสร้างช่วง2-5ขวบ สร้างจากขบวนการคิดของเด็ก แล้วเด็กคิดอะไร เด็กคิดอยู่เรื่องเดียวครับคือ เล่น ยิ่งของที่เค้าเล่นมีลักษณะ free form เปลี่ยนแปลงได้หลายลักษณะมันจะยิ่งแตกsynapseออกมากมาย เช่น ทราย น้ำ แป้งโดจ์ สี บล็อค เลโก้ ฯลฯ แล้วถ้าเด็กถูกปิดกั้นจินตนาการล่ะ synape ก้อจะสร้างน้อยลง ดั้งนั้น รร.ที่เน้น การเร่ง เขียน อ่าน จับมือหัดเขียน เขียนอ่านตามครู หัดบวกลบเลข ก่อน5ขวบ เป็นการทำตามอย่าง ไม่ใช่เล่นตามจินตนาการ เด็กเหล่านี้จึงมีsynapseน้อย และถูกเร่งใช้จำนวนเซลล์สมองโดยไม่จำเป็น จึงตื้อตอนปลาย ตอนนี้พอจะเข้าใจมั้ยครับ ว่าเร่งตั้งแต่อนุบาล เพื่อหวังจะสอบเข้า ป.1รร.ดังๆ เป็นการทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ synapse ลองดู100อันดับรร.มัธยมที่ดีที่สุดประกอบก็จะพอมองเห็นภาพตอนจบได้น่ะครับ
3.synapse ว่าสำคัญที่สุดแล้วยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าอีกครับ
3.1สมาธิ สร้างในวัย0-3เด็กที่ขาดสมาธิจะทำสิ่งใดๆเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้เลยน่ะครับ เรียนหนังสือก็เรียนไม่ได้ เพราะจะวิ่งเล่นอย่างเดียว สมาธิจะพํฒนาโดยการให้เด็กมีใจจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานๆเช่น ฟังแม่อ่านนิทานให้ฟัง ฟังเพลง ต่อเลโก้ แต่ศัตรูตัวร้ายที่จะทำให้สมาธิเด็กถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง คือสื่ออิเลคโทรนิกส์ เช่นทีวี คอมป์ เทปเลท ห้ามเด็ดขาดก่อน3ขวบน่ะครับ ชิวิตเด็กจะพังยับเยินเลยทีเดียว
ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังต่อน่ะครับ
1.พัฒนาจำนวนเซลล์สมองได้สูงสุดแค่0-2ขวบ-1000วันแรกนับแต่ปฏสนธิ-ก็คือสร้างจำนวนหน่วยความจำขึ้นมานั่นเอง กระตุ้นเค้าตั้งอยู่ในท้อง จนถึง2ขวบ กระตุ้นได้ด้วย อาหาร นมแม่ และตามขั้นตอนของหนังสือพัฒนาการเด็ก-หามาอ่านดูน่ะครับ-
2.พํฒนาสิ่งที่สำคัญที่สุด สำคัญมากกว่าจำนวนเซลล์สมอง เราเรียกมันว่า synapse หรือการเชื่อมโยงประสาท ยิ่งเราทำให้เซลล์ประสาทเชื่อมโยงกันมากเท่าไหร่ สมองก้อจะยิ่งไหลลื่นมากเท่านั้น เหมือนมีสมองเพิ่มขึ้นเป็น100เท่า แล้วsynapseสร้างขึ้นได้ยังไง มันจะสร้างช่วง2-5ขวบ สร้างจากขบวนการคิดของเด็ก แล้วเด็กคิดอะไร เด็กคิดอยู่เรื่องเดียวครับคือ เล่น ยิ่งของที่เค้าเล่นมีลักษณะ free form เปลี่ยนแปลงได้หลายลักษณะมันจะยิ่งแตกsynapseออกมากมาย เช่น ทราย น้ำ แป้งโดจ์ สี บล็อค เลโก้ ฯลฯ แล้วถ้าเด็กถูกปิดกั้นจินตนาการล่ะ synape ก้อจะสร้างน้อยลง ดั้งนั้น รร.ที่เน้น การเร่ง เขียน อ่าน จับมือหัดเขียน เขียนอ่านตามครู หัดบวกลบเลข ก่อน5ขวบ เป็นการทำตามอย่าง ไม่ใช่เล่นตามจินตนาการ เด็กเหล่านี้จึงมีsynapseน้อย และถูกเร่งใช้จำนวนเซลล์สมองโดยไม่จำเป็น จึงตื้อตอนปลาย ตอนนี้พอจะเข้าใจมั้ยครับ ว่าเร่งตั้งแต่อนุบาล เพื่อหวังจะสอบเข้า ป.1รร.ดังๆ เป็นการทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ synapse ลองดู100อันดับรร.มัธยมที่ดีที่สุดประกอบก็จะพอมองเห็นภาพตอนจบได้น่ะครับ
3.synapse ว่าสำคัญที่สุดแล้วยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าอีกครับ
3.1สมาธิ สร้างในวัย0-3เด็กที่ขาดสมาธิจะทำสิ่งใดๆเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้เลยน่ะครับ เรียนหนังสือก็เรียนไม่ได้ เพราะจะวิ่งเล่นอย่างเดียว สมาธิจะพํฒนาโดยการให้เด็กมีใจจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานๆเช่น ฟังแม่อ่านนิทานให้ฟัง ฟังเพลง ต่อเลโก้ แต่ศัตรูตัวร้ายที่จะทำให้สมาธิเด็กถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง คือสื่ออิเลคโทรนิกส์ เช่นทีวี คอมป์ เทปเลท ห้ามเด็ดขาดก่อน3ขวบน่ะครับ ชิวิตเด็กจะพังยับเยินเลยทีเดียว
ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังต่อน่ะครับ
ความคิดเห็นที่ 8
ในวัย0-2ขวบ สมองกำลังพัฒนาขึ้นทุกส่วน 2-5สร้างทางเชื่อมโยงเซลล์ประสาท(synapse) แต่เราจะลืมตัวเอกอีกตัวไม่ได้เลย มันคือ สารสื่อประสาท(neurotransmitters)ที่ทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นในการขนส่งข้อมูลของสมอง แบ่งง่ายๆเป็น4กลุ่ม
a-กลุ่มกระตุ้นให้การสื่อประสาทไหลลื่นต่อเนื่องด้วยดีและทำให้ใจมีความสุข สงบ มีสมาธิ เกิดเมื่อ คิด เล่น อย่างมีความสุข ได้รับคำชม กอด หอม ไม่ถูกด่า ตวาด ตำหนิ แกล้ง ไม่ถูกตี ไม่เร่งเด็กเรียนวิชาการในระดับอนุบาล
b-กลุ่มยับยั้งชะลอการสื่อประสาทไม่ให้เกิดขึ้น เกิดเมื่ออยู่ในอารมณ์ซึมเศร้า หดหู่ เช่นเด็กที่โดนดุ ด่า ตี ทำร้ายบ่อยๆ คิดว่าพ่อแม่ไม่รักหรือไม่มีเวลาให้ ครอบครัวไม่อบอุ่น
c-กลุ่มรบกวนการสื่อประสาทให้กระโดดไปกระโดดมาวุ่นวาย เกิดเมื่อเด็กอยู่ในสภาวะที่เด็กได้รับข้อมูลมากมายและมีการเคลื่อนไหวอย่าวรวดเร็ว เช่น เล่นเกมส์ เล่นคอมป์ เทบเลทเยอะๆ ดูทีวีมากๆ
d-กลุ่มที่ทำให้เกิดการลัดวงจร เกิดเมื่อร่างกายเครียด กังวล กลัว ตกใจ เกิดในเด็กที่ครอบครัวตั้งความหวังกับเด็กมากเกินไป เรียนมากไป เด็กทนทำอะไรที่ไม่ชอบนานเกินไปจนเกิดความคับข้องใจ
ถ้าอยากให้เด็กมีสารสื่อประสาทกลุ่มa-เยอะๆ เล่นให้มาก กอด หอม เค้าทุกวัน ให้เค้าพบเห็นสิ่งแปลกๆใหม่ๆทุกๆวัน ฟังเพลง เล่นดนตรี เล่นกีฬา เล่านิทาน ให้เจอสื่ออิเลคโทรนิกส์น้อยที่สุด
ถ้าอยากให้เด็กมีสารสื่อประสาทกลุ่มb-เยอะๆ พ่อแม่ก็ทำงานหาเงินเยอะๆจนเหลือเวลาเล่นกับลูกน้อยๆ อารมณ์เสียเมื่ออยู่กัยลูก ด่า ตี ลูกบ่อยๆ ชอบตำหนิลูกต่อหน้าคนอื่น ชอบพูดทำลายจินตนาการหรือเรื่องคาดหวังต่างๆของเด็กให้พังลงไป
ถ้าอยากให้เด็กมีสารสื่อประสาทกลุ่มc-เยอะๆ ให้เล่นเกมส์ คอมป์เทบเลท และดูทีวีมากๆ
เมื่อเด็กพ้น 5 ขวบไปแล้วสารสื่อประสาทกลุ่มไหนเยอะ จะเป็นตัว set programe ในสมองและกำหนดอุปนิสัยเด็กขึ้นมา
-ถ้ามีaเยอะก็เป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริง คล่องแคล่ว และจะค่อยๆเรียนเก่งขึ้น แต่ตอนป.1-4จะไม่ค่อยเก่งน่ะ เพราะยังไม่ทันเพื่อนที่ใช้เซลล์สมองอัดข้อมูลจำนวนมากจากรร.อนุบาลวิชาการมาล่วงหน้าแล้ว ประมาณสักป.5-6เมื่อเนื้อหาแปลกใหม่ขึ้นเยอะ จะเริ่มเด่นแล้วแซงหน้าเพื่อนๆด้วยจำนวนเซลล์สมองว่างๆที่มีเหลือเฟื้อ บวกกับsynapseและneurotransmitter-a-ที่สร้างไว้อย่างล้นเหลือ
-ถ้ามีbเยอะก็เป็นเด็กเก็บตัว ไม่มั่นใจ และไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีความภูมิใจในตัวเอง
-ถ้ามีcเยอะก็เป็นเด็กกลุ่มที่โชคร้ายที่สุด คือ มีความบกพร่องในการเรียนรู้และสื่อสาร เช่น ld autistic สมาธิสั้น(วันหลังจะพูดให้ฟัง)
-ถ้ามีdเยอะ ก็จะเป็นเด็กที่ขี้กังวล ไม่ร่าเริง การเรียนจะเรียนดีในช่วงแรก แต๋จะตกลงประมาณป.5-6 เมื่อเซลล์ความจำที่ว่างเหลือน้อยลง และsynapse@neurotrasmitter-a-มีน้อยไป แต่มีข้อยกเว้นครับ ถ้า1-มีIQสูงอยู่แล้วรับข้อมูลได้ไม่จำกัด 2-ได้neurotranmitter-a-จากครอบครัวที่อบอุ่น 3-ทำข้อสอบคะแนนดีได้จากาารติว(ไม่ได้จากความเข้าใจของตัวเอง)
ที่พูดมาทั้งหมด เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆที่เรากำลังจะสร้างเด็กสักคนขึ้นมา ตัวอย่างทั้งดีและเลวมีอยู่รอบๆตัวเราเต็มไปหมด อยากให้ลองสังเกตูดู หนังสือและข้อมูลในinternetมีมหาศาล คอร์สอบรมให้ความรู้พ่อแม่ก็มีมากมาย ก่อนจากลา อยากให้ลองอ่าน กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว นี่คือหนังสือมี่จุดประกายผมที่เริ่มศึกษาวิธีเลี้ยงลูกครับ-/หมอเชียงใหม่-
a-กลุ่มกระตุ้นให้การสื่อประสาทไหลลื่นต่อเนื่องด้วยดีและทำให้ใจมีความสุข สงบ มีสมาธิ เกิดเมื่อ คิด เล่น อย่างมีความสุข ได้รับคำชม กอด หอม ไม่ถูกด่า ตวาด ตำหนิ แกล้ง ไม่ถูกตี ไม่เร่งเด็กเรียนวิชาการในระดับอนุบาล
b-กลุ่มยับยั้งชะลอการสื่อประสาทไม่ให้เกิดขึ้น เกิดเมื่ออยู่ในอารมณ์ซึมเศร้า หดหู่ เช่นเด็กที่โดนดุ ด่า ตี ทำร้ายบ่อยๆ คิดว่าพ่อแม่ไม่รักหรือไม่มีเวลาให้ ครอบครัวไม่อบอุ่น
c-กลุ่มรบกวนการสื่อประสาทให้กระโดดไปกระโดดมาวุ่นวาย เกิดเมื่อเด็กอยู่ในสภาวะที่เด็กได้รับข้อมูลมากมายและมีการเคลื่อนไหวอย่าวรวดเร็ว เช่น เล่นเกมส์ เล่นคอมป์ เทบเลทเยอะๆ ดูทีวีมากๆ
d-กลุ่มที่ทำให้เกิดการลัดวงจร เกิดเมื่อร่างกายเครียด กังวล กลัว ตกใจ เกิดในเด็กที่ครอบครัวตั้งความหวังกับเด็กมากเกินไป เรียนมากไป เด็กทนทำอะไรที่ไม่ชอบนานเกินไปจนเกิดความคับข้องใจ
ถ้าอยากให้เด็กมีสารสื่อประสาทกลุ่มa-เยอะๆ เล่นให้มาก กอด หอม เค้าทุกวัน ให้เค้าพบเห็นสิ่งแปลกๆใหม่ๆทุกๆวัน ฟังเพลง เล่นดนตรี เล่นกีฬา เล่านิทาน ให้เจอสื่ออิเลคโทรนิกส์น้อยที่สุด
ถ้าอยากให้เด็กมีสารสื่อประสาทกลุ่มb-เยอะๆ พ่อแม่ก็ทำงานหาเงินเยอะๆจนเหลือเวลาเล่นกับลูกน้อยๆ อารมณ์เสียเมื่ออยู่กัยลูก ด่า ตี ลูกบ่อยๆ ชอบตำหนิลูกต่อหน้าคนอื่น ชอบพูดทำลายจินตนาการหรือเรื่องคาดหวังต่างๆของเด็กให้พังลงไป
ถ้าอยากให้เด็กมีสารสื่อประสาทกลุ่มc-เยอะๆ ให้เล่นเกมส์ คอมป์เทบเลท และดูทีวีมากๆ
เมื่อเด็กพ้น 5 ขวบไปแล้วสารสื่อประสาทกลุ่มไหนเยอะ จะเป็นตัว set programe ในสมองและกำหนดอุปนิสัยเด็กขึ้นมา
-ถ้ามีaเยอะก็เป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริง คล่องแคล่ว และจะค่อยๆเรียนเก่งขึ้น แต่ตอนป.1-4จะไม่ค่อยเก่งน่ะ เพราะยังไม่ทันเพื่อนที่ใช้เซลล์สมองอัดข้อมูลจำนวนมากจากรร.อนุบาลวิชาการมาล่วงหน้าแล้ว ประมาณสักป.5-6เมื่อเนื้อหาแปลกใหม่ขึ้นเยอะ จะเริ่มเด่นแล้วแซงหน้าเพื่อนๆด้วยจำนวนเซลล์สมองว่างๆที่มีเหลือเฟื้อ บวกกับsynapseและneurotransmitter-a-ที่สร้างไว้อย่างล้นเหลือ
-ถ้ามีbเยอะก็เป็นเด็กเก็บตัว ไม่มั่นใจ และไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีความภูมิใจในตัวเอง
-ถ้ามีcเยอะก็เป็นเด็กกลุ่มที่โชคร้ายที่สุด คือ มีความบกพร่องในการเรียนรู้และสื่อสาร เช่น ld autistic สมาธิสั้น(วันหลังจะพูดให้ฟัง)
-ถ้ามีdเยอะ ก็จะเป็นเด็กที่ขี้กังวล ไม่ร่าเริง การเรียนจะเรียนดีในช่วงแรก แต๋จะตกลงประมาณป.5-6 เมื่อเซลล์ความจำที่ว่างเหลือน้อยลง และsynapse@neurotrasmitter-a-มีน้อยไป แต่มีข้อยกเว้นครับ ถ้า1-มีIQสูงอยู่แล้วรับข้อมูลได้ไม่จำกัด 2-ได้neurotranmitter-a-จากครอบครัวที่อบอุ่น 3-ทำข้อสอบคะแนนดีได้จากาารติว(ไม่ได้จากความเข้าใจของตัวเอง)
ที่พูดมาทั้งหมด เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆที่เรากำลังจะสร้างเด็กสักคนขึ้นมา ตัวอย่างทั้งดีและเลวมีอยู่รอบๆตัวเราเต็มไปหมด อยากให้ลองสังเกตูดู หนังสือและข้อมูลในinternetมีมหาศาล คอร์สอบรมให้ความรู้พ่อแม่ก็มีมากมาย ก่อนจากลา อยากให้ลองอ่าน กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว นี่คือหนังสือมี่จุดประกายผมที่เริ่มศึกษาวิธีเลี้ยงลูกครับ-/หมอเชียงใหม่-
ความคิดเห็นที่ 23
จากใจลูกเลยนะคะ "อยากโตมาเป็นคนมีความสุขค่ะ อยากเข้ากับเพื่อนๆได้ อยากเป็นที่รักของทุกคน อยากเป็นคนมีความมั่นใจ กล้าคิดกล้าทำ"
ตอนเด็กๆโดนดุ โดนตี โดนบังคับให้อ่านหนังสือ เยอะมาก สอนการบ้านก็ทั้งด่าทั้งตี อยากไปเล่นก็ห้าม อะไรๆก็ห้าม อยากเรียนดนตรีก็อด อยากเต้นบัลเลต์ก็อด
สมัยเด็กๆเรียนดีนะ สอบได้ที่ 1 หรือได้ที่ต้นๆตลอด เรียนอะไรก็เข้าใจ หนังสือก็อ่านล่วงหน้ามาหมด พอเรียนสูงขึ้นเหมือนหัวมันตื้อๆไปหมด เรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่องไม่อยากเรียน หมกการบ้าน นั่งตาลอย เพื่อนก็ไม่คบ ทำงานกลุ่มก็โดนทิ้ง เพื่อนบอกเป็นคนประหลาด หน้าอมทุกข์ บทจะพูดก็พูดไม่รักษาน้ำใจใคร บทจะไม่พูดก็เงียบน่ากลัว ไม่มีเพื่อนก็อ่านหนังสือมันเข้าไป อ่านๆๆ หนังสือเรียนหรืออ่านเล่นก็อ่านเข้าไป เคี่ยวเข็ญจนเข้ามหาลัยได้ เรียนแย่กว่าเดิมอีก โดนด่าอีก ซ้ำอีก เข้าสอบนี่เครียดจนเป็นลมไม่ได้สอบ เพราะเรียนไม่รู้เรื่องมันเครียด สอบไม่ได้ ได้เอฟอีก เรียนไปกินยากล่อมประสาทไป
พ่อแม่ทำลายชีวิตหนูนะ แต่หนูก็ยังเชื่อฟังพ่อแม่อยู่ดี หนูถึงได้กึ่งบ้ากึ่งบออยู่ทุกวันนี้ ทุกวันนี้คือบุคลิกขัดแย้ง อารมณ์แปรปรวน ขี้อายแต่โมโหร้าย
ลูกไม่ใช่สัตว์เลี้ยงประกวด ที่จะต้องขัดสีฉวีวัน ฝึกความสามารถสารพัดเพื่อเอามาประกวดอวดคนอื่น เลี้ยงลูกให้เป็นคนเถอะ อย่าให้เป็นเครื่องจักร หรือเป็นคนบ้าแบบเราเลย
ตอนเด็กๆโดนดุ โดนตี โดนบังคับให้อ่านหนังสือ เยอะมาก สอนการบ้านก็ทั้งด่าทั้งตี อยากไปเล่นก็ห้าม อะไรๆก็ห้าม อยากเรียนดนตรีก็อด อยากเต้นบัลเลต์ก็อด
สมัยเด็กๆเรียนดีนะ สอบได้ที่ 1 หรือได้ที่ต้นๆตลอด เรียนอะไรก็เข้าใจ หนังสือก็อ่านล่วงหน้ามาหมด พอเรียนสูงขึ้นเหมือนหัวมันตื้อๆไปหมด เรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่องไม่อยากเรียน หมกการบ้าน นั่งตาลอย เพื่อนก็ไม่คบ ทำงานกลุ่มก็โดนทิ้ง เพื่อนบอกเป็นคนประหลาด หน้าอมทุกข์ บทจะพูดก็พูดไม่รักษาน้ำใจใคร บทจะไม่พูดก็เงียบน่ากลัว ไม่มีเพื่อนก็อ่านหนังสือมันเข้าไป อ่านๆๆ หนังสือเรียนหรืออ่านเล่นก็อ่านเข้าไป เคี่ยวเข็ญจนเข้ามหาลัยได้ เรียนแย่กว่าเดิมอีก โดนด่าอีก ซ้ำอีก เข้าสอบนี่เครียดจนเป็นลมไม่ได้สอบ เพราะเรียนไม่รู้เรื่องมันเครียด สอบไม่ได้ ได้เอฟอีก เรียนไปกินยากล่อมประสาทไป
พ่อแม่ทำลายชีวิตหนูนะ แต่หนูก็ยังเชื่อฟังพ่อแม่อยู่ดี หนูถึงได้กึ่งบ้ากึ่งบออยู่ทุกวันนี้ ทุกวันนี้คือบุคลิกขัดแย้ง อารมณ์แปรปรวน ขี้อายแต่โมโหร้าย
ลูกไม่ใช่สัตว์เลี้ยงประกวด ที่จะต้องขัดสีฉวีวัน ฝึกความสามารถสารพัดเพื่อเอามาประกวดอวดคนอื่น เลี้ยงลูกให้เป็นคนเถอะ อย่าให้เป็นเครื่องจักร หรือเป็นคนบ้าแบบเราเลย
ความคิดเห็นที่ 25
ผมสงสัยว่า เด็ก ป.1 คุณแม่สอนเองไม่ได้หรอครับ
อันนี้ผมถามจริงๆนะไม่ได้กวน
เพราะตอนเด็กๆ ก่อนเข้าป.1 แม่ผมก็จับมือลองเขียนหนังสือ หัดให้สะกดคำ
ผมจำได้ถึงทุกวันนี้เลย มันเป็นภาพความสุขในความทรงจำผมเลยหละครับ
แม่ถ่ายทอดวิชาให้ อารมณ์ผมนี่เหมือนได้รับวิทยายุทธ โดยตรงจากเจ้าสำนักเลยครับ
ผมมีความสุขจริงๆนะตอนแม่ผมสอนอ่านหนังสืออะ
อันนี้ผมถามจริงๆนะไม่ได้กวน
เพราะตอนเด็กๆ ก่อนเข้าป.1 แม่ผมก็จับมือลองเขียนหนังสือ หัดให้สะกดคำ
ผมจำได้ถึงทุกวันนี้เลย มันเป็นภาพความสุขในความทรงจำผมเลยหละครับ
แม่ถ่ายทอดวิชาให้ อารมณ์ผมนี่เหมือนได้รับวิทยายุทธ โดยตรงจากเจ้าสำนักเลยครับ
ผมมีความสุขจริงๆนะตอนแม่ผมสอนอ่านหนังสืออะ
ความคิดเห็นที่ 4
กวดวิชากัน เร่งกัน รีบเรียนกัน รีบยัดๆๆกันเข้าไปในสมองของเด็กเพื่ออะไรกันครับ หรือเพื่อให้เข้ามหาลัยได้แพทย์ วิศวะฯลฯ แล้วสุดท้ายถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์แล้ว เด็กรร.ดังๆเหล่านี้สอบเข้าคณะที่พูดถึงกันได้กี่เปอร์เซนต์กันครับ คุณแม่ทั้งหลายคิดแต่จะเอาลูก ติวๆๆๆ เรียนๆๆๆ เคยถามเด็กมั้ยครับว่าเค้าอยากเรียนมั้ย?? เคยอ่านกันมั้ยครับหนังสือพัฒนาการเด็ก หนังสือเคล็ดลับของครอบครัวที่มีลูกประสบความสำเร็จ ได้แพทย์ ได้เหรียญทองโอลิมปิก ว่าเค้าทำกันยังไง?? รร.ทางเลือกเป็นยังไง ดียังไง?? ครอบครัวพูด2ภาษาเป็นยังไง?? ลองหาดูมั้ยครับ ที่พูดให้ฟังเนี่ย เพราะอยากจะเตือนแล้วพูดให้คิดว่า สังคมพ่อแม่คนไทยมันบ้ากันไปใหญ่แล้ว
แสดงความคิดเห็น
ติวเข้า ป.1 อัสสัมชัญคอนแวนต์ ที่ไหนดีคะ แนะนำด้วยค่ะ