จักรยานเมาเท่นไบค์สีดำสนิทจอดแน่นิ่งอยู่ในห้องเก็บของเงียบๆ นานแล้วที่ไม่ได้ปั่นจักรยาน นานมากแล้วที่ไม่ได้ออกไปสู่โลกกว้างด้วยสองขา และนานเกินไปที่จมลึกอยู่กับความเจ็บปวดจากความรัก – จนถึงวันนี้อาการก็ยังสาหัสเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน... ผมกำลังคิดงานออกแล้วเชียว แต่เพราะเจ้าของเสียงและเจ้าของงานนั่นแหละที่ทำให้ผมประสาทเสียจนถึงกับต้อง จับจักรยานออกมาปั่นขึ้นสะพานพระรามแปดตอนเกือบเที่ยงคืนแบบนี้, สาบาน ผมไม่อยากได้ยินเสียงของเธอเลย ทุกครั้งที่กำลังร่างแบบด้วยจิตใจที่จดจ่อ แค่สาเหตุจากความรักที่พังลงก็สาหัสจะแย่ แล้วยังมาเจอเสียงแปดหลอดของเธออีก –
“คุณบอกว่าจะส่งงานให้ดูในสองสามวันนี้ คืบหน้าไปถึงไหนแล้วคะ นี่มันก็ใกล้จะครบกำหนดแล้ว ฉันต้องเตรียมของ เตรียมเปิดร้าน”
เสียงที่ดังมาตามสาย ทำให้ผมแทบอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งแล้วเหยียบซ้ำ
“ผมกำลังเร่งอยู่ครับ”
ถ้าไม่เพราะรับเงินค่าจ้างมาครึ่งหนึ่งแล้วละก็ผมอาจจะโยนแบบแปลนนั้นใส่หน้าเธอแล้วบอกให้ไปออกแบบที่เหลือเองก็เป็นได้ - - ผู้หญิงอะไร ช่างไม่เข้าใจผู้ชายอกหักซะบ้างเลย
อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากรับงานนี้เท่าไหร่นักหรอก ถ้าไม่เพราะน้องสาวตัวแสบที่ทำตัวเหมือนลูกแมวคอยพันแข้งพันขาอ้อนวอนให้รับงานนั้นมาเพียงเพราะเธอเป็นแฟนกับน้องชายของผู้หญิงคนนั้น ความซวยเลยต้องมาตกอยู่ที่คนเป็นพี่นี่แหละ -- ผมไม่เคยเจอเธอ รู้เพียงแค่เธอเองก็เป็นสถาปนิกเหมือนผมนี่แหละ เธอเขียนแปลนคร่าวๆ ม้วนๆ แล้วมัดหนังยางฝากน้องสาวผมมา พร้อมเบอร์โทรศัพท์ อีเมลล์ และรายละเอียดที่ต้องการให้เพิ่มเติมอีกยาวประมาณสามหน้ากระดาษ – เอากับเธอสิ, แน่นอนว่าหลังจากนั้นผมก็ทำงานไป และส่งไฟล์งานให้ดูเป็นระยะๆ หากเธอไม่ชอบและต้องการแก้ไขในรายละเอียดส่วนใด เธอก็จะสื่อสารด้วยอีเมลล์ และโทรศัพท์ เธออ้างเหตุผลว่ามีงานล้นมือและไม่มีเวลามานั่งออกแบบร้านกาแฟที่จะเปิดอีกไม่ช้านี้ – คนอะไรมันจะยุ่งได้ขนาดนั้นนี่
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสี่ทุ่มเศษ ผมปั่นออกจากบ้านที่สามเสนเลียบทางรถไฟผ่านเสาชิงช้าแล้วอ้อมมาสนามหลวง ขึ้นสะพานพระรามแปดยกจักรยานข้ามมาที่ขอบสะพาน แสงไฟแว้บๆ เหมือนแสงของกระสือ อยู่ห่างออกไปไม่ไกล นักปั่นทุกคนดูออกว่ามันคือแสงไฟติดท้ายรถจักรยาน ลมเย็นพัดเบาๆ แสงไฟวิบวับดับแสงดาวซะมิด ผมจูงจักรยานมาที่กลางสะพานก่อนลงเนิน...
เสือหมอบคันบางยี่ห้อดังอิมพอร์ตจากต่างประเทศ ท่าทางจะเบา กะด้วยสายตาแล้วไม่น่าเกินพลังที่หญิงสาวตัวเล็กๆ อย่างเธอจะแบกมันขึ้นมาได้ ผมกำลังจะเดินผ่านเธอไป และด้วยมารยาทสังคมของคนจักรยานที่เมื่อเจอกันก็จะเอ่ยทักทาย “สวัสดี” นั่นเป็นความเท่ระเบิดเถิดเทิงกว่าจักรยานที่ตนขี่ – เพราะประโยคสวัสดีและรอยยิ้มที่ส่งมาให้กันระหว่างปั่นจักรยานสวนทางกันนั้นมันคือสิ่งที่หาไม่ได้จากการขับขี่พาหนะชนิดอื่น...
“คุณว่าพระจันทร์จะตกน้ำมั้ยคะคืนนี้”
นั่นเป็นพระโยคต่อจากสวัสดีซึ่งทำให้ผมแทบเบรคหัวทิ่มเพราะไม่คิดว่าจะมีประโยคคำถามตามมาแบบนี้ ไอ้ครั้นจะตอบแบบวัยรุ่น “ก็ไม่รู้สินะ” เดี๋ยวจะถูกค้อนเอาเปล่าๆ จึงตอบกลับไปว่า “ไม่รู้เหมือนกันครับ” แล้วก็รีบปั่นจักรยานลงสะพานหนี – เพราะกลัวว่าที่เห็นนั้นจะไม่ใช่คน... บ้าหรือเปล่า ดึกดื่นป่านนี้ หญิงสาวกับจักรยานราคาสูงมากมานั่งดราม่าเหมือนกำลังอกหักอยู่บนสะพานพระรามแปด... บางทีสิ่งที่เขาเห็นอาจเป็นเพียงวิญญาณของคนที่โดดสะพานตายแล้วมาทักทายเพราะเห็นว่าเขากำลังอกหัก สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็เป็นได้ - -
...กลับไปปั่นงานส่งยัยแปดหลอดนั่นดีกว่า เพราะไม่รู้ว่าถ้าปั่นจักรยานต่อไปจะเจออะไรอีก
ผมไม่รู้หรอกว่า พระจันทร์ตกน้ำหรือเปล่า หรือตกไปตอนไหน... ระหว่างที่นอนมองเพดานในสายวันเสาร์ น้องสาวตัวแสบก็โผล่พรวดเข้ามาในห้องนอน ไม่ได้แหกเนตรดูเลยว่าพี่ชายกำลังเศร้าจนไอ้นั่นตั้ง –
“พี่จ๋าวันนี้มีทริปชวนคนโสดมาปั่นเป็นคู่ พี่ลืมหรือยัง”
เธอเขย่าแขนที่พ้นผ้าห่มออกมา โชคดีนักที่เธอไม่เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วดึงพี่ชายลงจากเตียงเพื่อปลุกให้ตื่นเหมือนทุกครั้ง
“เออว่ะ – ลืมจริงๆ ด้วย”
“เผื่อพี่อาจจะไปเจอคู่ในงานก็ได้นะ เพราะเค้าบอกว่าจะให้จับสลากระหว่างหญิงกับชายแล้วให้เป็นบั๊ดดี้ดูแลกันไปตลอดทริป”
“แล้วน้ำจะไปทำไมก็ในเมื่อน้ำไม่โสดแล้ว”
สำเนียงหมั่นไส้แกมอิจฉาที่ปิดไม่มิด จนน้องสาวทำตาลอยเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่น
“แฟนน้ำก็ไป เราสัญญากันว่าถ้าจับสลากไม่ได้เลขเดียวกันเราก็จะวิ่งไปแลกให้ได้เลขเหมือนกันมาให้จงได้”
“ถ้าต้องพยายามขนาดนั้น ไม่ขอเลขเค้ามาเลยล่ะ ทั้งคู่น่ะ”
“เอาน่า ไปเร็วอาบน้ำแต่งตัว เดี๋ยวน้ำเอาจักรยานมารอนะ”
น้องสาวตัวแสบเรียนปริญญาตรีปีสุดท้าย แต่หน้าตาและนิสัยไม่ต่างจากเด็ก ม.ปลาย ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียวและพ่อกับแม่รักเหมือนเทวดา น้องสาวอยากได้อะไร หรืออยากทำอะไรจึงไม่เคยมีใครขัดใจนางได้ และโชคดีของครอบครัวเราที่น้องสาวเป็นคนน่ารัก ครอบครัวเราจึงอบอุ่นมาก
และแล้วสองพี่น้องก็มาร่วมงาน “ชวนคนโสดมาปั่นเป็นคู่” ที่ดูอลังการงานสร้างในการจัดกิจกรรม ซึ่งเป็นไอเดียที่ดีมาก เพราะนอกจากจะเป็นการโปรโมทสถานที่ชอปปิ้งแห่งใหม่ของประเทศแล้วยังอาจทำให้คนโสดโดนคลุมถุงชนอย่างไม่น่าเกลียดจนเกินไปนักด้วย
ผมจับสลากได้หมายเลขยี่สิบเจ็ดเท่าอายุเป๊ะ ส่วนน้องสาวกับแฟนหนุ่มของเธอก็จับสลากได้หมายเลขเดียวกันดั่งกามเทพล็อบบี้มา – ผมนั่งรอ “หญิงสาว” หมายเลขเดียวกับผมอยู่จนกระทั่งงานเริ่ม ก็ไร้วี่แวว มองไปรายรอบมีชายหนุ่มและหญิงสาวหน้าตาดีถึงดีมากอยู่เต็มไปหมด จนอดคิดไม่ได้ว่า หน้าตาดีแบบนี้ยังโสดแล้วหนังหน้าอย่างเราเล่า...
ผมเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าทำไมคนอื่นมีคู่แล้วผมถึงได้คี่ – เจ้าหน้าที่ขอโทษขออภัยอย่างสุภาพเพราะจำนวนคนที่มาลงทะเบียนไม่ครบ จึงจะมีคน “คี่” อยู่สี่ห้าคนทั้งหญิงชาย... คิดดูเถอะ ขนาดทริปปั่น “จับคู่” แล้วยัง “คี่” อะไรมันจะไร้วาสนาขนาดนั้น แต่ไม่เป็นไร –เพราะผมก็ไม่ได้มาตามหารักแท้จากงานแบบนี้หรอก ผมมาเพราะไม่อยากขัดน้องสาวเท่านั้นแหละ
“หวัดดี หมายเลขยี่สิบเจ็ด ป้ายนี่เค้าให้ติดตรงไหน”
น้ำเสียงโมโนโทนแบบนี้มันคุ้นมาก เหมือนเคยได้ยินมาก่อนจากที่ไหนสักแห่งแต่ก็จำไม่ได้
“เอิ่ม ติดหลังเสื้อมังครับ”
“ฉันเอื้อมไม่ถึง คุณติดให้หน่อยได้มั้ย”
“ได้สิ” แล้วเธอก็เหลือบมาเห็นป้ายหมายเลขประจำตัว ที่ผมติดบนกระเป๋า
“ไม่เอาละ เราจะติดบนกระเป๋าเหมือนนาย”
เธอเป็นเจ้าของหมายเลขสามสิบเอ็ด หน้าไม่ยิ้ม นอกจากไม่ยิ้มแล้วยังไม่สวยอีกต่างหาก ผมคิดในใจ มิน่าเล่าเธอถึงมาทริปคนโสด
“แล้วคู่ของคุณล่ะครับ ให้เขาติดให้ก็ได้นะ”
“ฉันไม่มีคู่ เจ้าหน้าที่บอกว่าคนมาลงทะเบียนไม่ครบ ฉันเลยคี่” น้ำเสียงไม่มีสูงต่ำ ราบเรียบ จนไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี
“แล้วบั๊ดดี้คุณล่ะคะ”
“ผมก็คี่เหมือนคุณนั่นแหละ”
“อ้าว ถ้างั้นเราก็คู่แล้วดิ เพราะคี่ทั้งคู่ ก็คู่พอดี”
“เอางั้นเลยเหรอ”
“เอางั้นเลยสิ – จะเป็นไรไป ฉันไม่ได้มาหาแฟน ฉันถูกน้องชายบังคับให้อยู่จบทริปก็เท่านั้นเอง”
“ผมก็เหมือนกัน” เธอเรียกผมว่า หมายเลขยี่สิบเจ็ด และผมเรียกเธอว่า คุณสามสิบเอ็ด –
ระหว่างเตรียมออกเดินทางเราเอาจักรยานมาจอดคู่กัน - - ชัดเลย ผมจำจักรยานคันนี้ได้แม่น กลางสะพานพระรามแปดคืนนั้น กับน้ำเสียงแบบนี้... แต่ผมไม่บอกเธอหรอกว่าเราเคยเจอกันมาก่อนแบบถากๆ เพราะมันอาจทำให้เธอคิดว่านั่นคือ บุพเพสันนิวาส ซึ่งผมยังไม่พร้อมที่จะมีบุพเพอาละวาดอะไรกับใคร ณ จุดนี้ เพราะระหว่างที่ผมมาปั่นจักรยานเป็นเพื่อนน้องสาวนี้ มั่นใจได้เลยว่ายัยแปดหลอดเจ้าของงานที่ผมยังเขียนไม่เสร็จคงแอบด่าเช็ดอยู่ในใจเป็นแน่... ก็คนมันอกหัก - - ต้องพักบ้างอะไรบ้าง ไม่งั้นออกแบบไปก็ไม่สวย งานสถาปัตย์มันก็คืองานศิลปะดีๆ นี่เองแหละ ถ้าอารมณ์ไม่ดี ผลงานก็ออกมาไม่แจ่ม ( เหล่านี้ล้วนเป็นข้ออ้างที่ทำให้ยัยแปดหลอดอาละวาดใส่หูโทรศัพท์มาแล้ว)
คุณสามสิบเอ็ด ยื่นขวดเครื่องดื่มเกลือแร่สปอนเซอร์ของงานมาให้ พร้อมน้ำเปล่าอีกขวด แถมด้วยผ้าเย็นอีกสองผืน ระหว่างปั่นจักรยาน เธอจะปั่นอยู่ข้างหลังผม เมื่อสังเกตว่าลมยางผมอ่อน เธอปั่นมาดักหน้าและบอกให้จอดเพื่อเช็คลมยาง – เธอใช้สูบมือเติมลมให้ ในขณะที่ผมยืนมอง... ผู้หญิงอะไร โคตรแมน
รายทางระหว่างปั่นจักรยานเป็นทุ่งนาที่กำลังเขียวชะอุ่ม กลุ่มจักรยานปั่นเลียบคลองมาหยุดทำกิจกรรม ณ จุดนัดหมาย คุณสามสิบเอ็ดอีกเช่นกันที่คอยนำน้ำดื่ม, ผ้าเย็น และขนมมาให้ – เธอเป็นบั๊ดดี้ที่ เอาใจใส่ผมจนอดซึ้งใจไม่ได้จริงๆ ระหว่างพักปั่นจักรยาน เราจึงมีโอกาสได้นั่งริมคลองดูน้ำเน่า เล่าเรื่องของตัวเอง และแลกไลน์ไว้คุยกัน – เราไม่ได้แลกเบอร์โทร. เพราะสมัยนี้มีแค่ไลน์อย่างเดียวก็คุยกันได้แล้ว...
หลังจบทริป ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับ น้องสาวตัวแสบของผมกับคนรักของเธอจับสลากได้รางวัลคู่พิเศษอีกต่างหาก – ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
ความรักนี่ก็แปลก ทำให้บางคนมีรอยยิ้ม และทำให้อีกคนมีน้ำตา
ทั้งที่ก็ชื่อว่าความรักเหมือนกัน
เรื่องสั้น : เรื่องรักของนักถีบ
จักรยานเมาเท่นไบค์สีดำสนิทจอดแน่นิ่งอยู่ในห้องเก็บของเงียบๆ นานแล้วที่ไม่ได้ปั่นจักรยาน นานมากแล้วที่ไม่ได้ออกไปสู่โลกกว้างด้วยสองขา และนานเกินไปที่จมลึกอยู่กับความเจ็บปวดจากความรัก – จนถึงวันนี้อาการก็ยังสาหัสเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน... ผมกำลังคิดงานออกแล้วเชียว แต่เพราะเจ้าของเสียงและเจ้าของงานนั่นแหละที่ทำให้ผมประสาทเสียจนถึงกับต้อง จับจักรยานออกมาปั่นขึ้นสะพานพระรามแปดตอนเกือบเที่ยงคืนแบบนี้, สาบาน ผมไม่อยากได้ยินเสียงของเธอเลย ทุกครั้งที่กำลังร่างแบบด้วยจิตใจที่จดจ่อ แค่สาเหตุจากความรักที่พังลงก็สาหัสจะแย่ แล้วยังมาเจอเสียงแปดหลอดของเธออีก –
“คุณบอกว่าจะส่งงานให้ดูในสองสามวันนี้ คืบหน้าไปถึงไหนแล้วคะ นี่มันก็ใกล้จะครบกำหนดแล้ว ฉันต้องเตรียมของ เตรียมเปิดร้าน”
เสียงที่ดังมาตามสาย ทำให้ผมแทบอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งแล้วเหยียบซ้ำ
“ผมกำลังเร่งอยู่ครับ”
ถ้าไม่เพราะรับเงินค่าจ้างมาครึ่งหนึ่งแล้วละก็ผมอาจจะโยนแบบแปลนนั้นใส่หน้าเธอแล้วบอกให้ไปออกแบบที่เหลือเองก็เป็นได้ - - ผู้หญิงอะไร ช่างไม่เข้าใจผู้ชายอกหักซะบ้างเลย
อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากรับงานนี้เท่าไหร่นักหรอก ถ้าไม่เพราะน้องสาวตัวแสบที่ทำตัวเหมือนลูกแมวคอยพันแข้งพันขาอ้อนวอนให้รับงานนั้นมาเพียงเพราะเธอเป็นแฟนกับน้องชายของผู้หญิงคนนั้น ความซวยเลยต้องมาตกอยู่ที่คนเป็นพี่นี่แหละ -- ผมไม่เคยเจอเธอ รู้เพียงแค่เธอเองก็เป็นสถาปนิกเหมือนผมนี่แหละ เธอเขียนแปลนคร่าวๆ ม้วนๆ แล้วมัดหนังยางฝากน้องสาวผมมา พร้อมเบอร์โทรศัพท์ อีเมลล์ และรายละเอียดที่ต้องการให้เพิ่มเติมอีกยาวประมาณสามหน้ากระดาษ – เอากับเธอสิ, แน่นอนว่าหลังจากนั้นผมก็ทำงานไป และส่งไฟล์งานให้ดูเป็นระยะๆ หากเธอไม่ชอบและต้องการแก้ไขในรายละเอียดส่วนใด เธอก็จะสื่อสารด้วยอีเมลล์ และโทรศัพท์ เธออ้างเหตุผลว่ามีงานล้นมือและไม่มีเวลามานั่งออกแบบร้านกาแฟที่จะเปิดอีกไม่ช้านี้ – คนอะไรมันจะยุ่งได้ขนาดนั้นนี่
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสี่ทุ่มเศษ ผมปั่นออกจากบ้านที่สามเสนเลียบทางรถไฟผ่านเสาชิงช้าแล้วอ้อมมาสนามหลวง ขึ้นสะพานพระรามแปดยกจักรยานข้ามมาที่ขอบสะพาน แสงไฟแว้บๆ เหมือนแสงของกระสือ อยู่ห่างออกไปไม่ไกล นักปั่นทุกคนดูออกว่ามันคือแสงไฟติดท้ายรถจักรยาน ลมเย็นพัดเบาๆ แสงไฟวิบวับดับแสงดาวซะมิด ผมจูงจักรยานมาที่กลางสะพานก่อนลงเนิน...
เสือหมอบคันบางยี่ห้อดังอิมพอร์ตจากต่างประเทศ ท่าทางจะเบา กะด้วยสายตาแล้วไม่น่าเกินพลังที่หญิงสาวตัวเล็กๆ อย่างเธอจะแบกมันขึ้นมาได้ ผมกำลังจะเดินผ่านเธอไป และด้วยมารยาทสังคมของคนจักรยานที่เมื่อเจอกันก็จะเอ่ยทักทาย “สวัสดี” นั่นเป็นความเท่ระเบิดเถิดเทิงกว่าจักรยานที่ตนขี่ – เพราะประโยคสวัสดีและรอยยิ้มที่ส่งมาให้กันระหว่างปั่นจักรยานสวนทางกันนั้นมันคือสิ่งที่หาไม่ได้จากการขับขี่พาหนะชนิดอื่น...
“คุณว่าพระจันทร์จะตกน้ำมั้ยคะคืนนี้”
นั่นเป็นพระโยคต่อจากสวัสดีซึ่งทำให้ผมแทบเบรคหัวทิ่มเพราะไม่คิดว่าจะมีประโยคคำถามตามมาแบบนี้ ไอ้ครั้นจะตอบแบบวัยรุ่น “ก็ไม่รู้สินะ” เดี๋ยวจะถูกค้อนเอาเปล่าๆ จึงตอบกลับไปว่า “ไม่รู้เหมือนกันครับ” แล้วก็รีบปั่นจักรยานลงสะพานหนี – เพราะกลัวว่าที่เห็นนั้นจะไม่ใช่คน... บ้าหรือเปล่า ดึกดื่นป่านนี้ หญิงสาวกับจักรยานราคาสูงมากมานั่งดราม่าเหมือนกำลังอกหักอยู่บนสะพานพระรามแปด... บางทีสิ่งที่เขาเห็นอาจเป็นเพียงวิญญาณของคนที่โดดสะพานตายแล้วมาทักทายเพราะเห็นว่าเขากำลังอกหัก สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็เป็นได้ - -
...กลับไปปั่นงานส่งยัยแปดหลอดนั่นดีกว่า เพราะไม่รู้ว่าถ้าปั่นจักรยานต่อไปจะเจออะไรอีก
ผมไม่รู้หรอกว่า พระจันทร์ตกน้ำหรือเปล่า หรือตกไปตอนไหน... ระหว่างที่นอนมองเพดานในสายวันเสาร์ น้องสาวตัวแสบก็โผล่พรวดเข้ามาในห้องนอน ไม่ได้แหกเนตรดูเลยว่าพี่ชายกำลังเศร้าจนไอ้นั่นตั้ง –
“พี่จ๋าวันนี้มีทริปชวนคนโสดมาปั่นเป็นคู่ พี่ลืมหรือยัง”
เธอเขย่าแขนที่พ้นผ้าห่มออกมา โชคดีนักที่เธอไม่เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วดึงพี่ชายลงจากเตียงเพื่อปลุกให้ตื่นเหมือนทุกครั้ง
“เออว่ะ – ลืมจริงๆ ด้วย”
“เผื่อพี่อาจจะไปเจอคู่ในงานก็ได้นะ เพราะเค้าบอกว่าจะให้จับสลากระหว่างหญิงกับชายแล้วให้เป็นบั๊ดดี้ดูแลกันไปตลอดทริป”
“แล้วน้ำจะไปทำไมก็ในเมื่อน้ำไม่โสดแล้ว”
สำเนียงหมั่นไส้แกมอิจฉาที่ปิดไม่มิด จนน้องสาวทำตาลอยเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่น
“แฟนน้ำก็ไป เราสัญญากันว่าถ้าจับสลากไม่ได้เลขเดียวกันเราก็จะวิ่งไปแลกให้ได้เลขเหมือนกันมาให้จงได้”
“ถ้าต้องพยายามขนาดนั้น ไม่ขอเลขเค้ามาเลยล่ะ ทั้งคู่น่ะ”
“เอาน่า ไปเร็วอาบน้ำแต่งตัว เดี๋ยวน้ำเอาจักรยานมารอนะ”
น้องสาวตัวแสบเรียนปริญญาตรีปีสุดท้าย แต่หน้าตาและนิสัยไม่ต่างจากเด็ก ม.ปลาย ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียวและพ่อกับแม่รักเหมือนเทวดา น้องสาวอยากได้อะไร หรืออยากทำอะไรจึงไม่เคยมีใครขัดใจนางได้ และโชคดีของครอบครัวเราที่น้องสาวเป็นคนน่ารัก ครอบครัวเราจึงอบอุ่นมาก
และแล้วสองพี่น้องก็มาร่วมงาน “ชวนคนโสดมาปั่นเป็นคู่” ที่ดูอลังการงานสร้างในการจัดกิจกรรม ซึ่งเป็นไอเดียที่ดีมาก เพราะนอกจากจะเป็นการโปรโมทสถานที่ชอปปิ้งแห่งใหม่ของประเทศแล้วยังอาจทำให้คนโสดโดนคลุมถุงชนอย่างไม่น่าเกลียดจนเกินไปนักด้วย
ผมจับสลากได้หมายเลขยี่สิบเจ็ดเท่าอายุเป๊ะ ส่วนน้องสาวกับแฟนหนุ่มของเธอก็จับสลากได้หมายเลขเดียวกันดั่งกามเทพล็อบบี้มา – ผมนั่งรอ “หญิงสาว” หมายเลขเดียวกับผมอยู่จนกระทั่งงานเริ่ม ก็ไร้วี่แวว มองไปรายรอบมีชายหนุ่มและหญิงสาวหน้าตาดีถึงดีมากอยู่เต็มไปหมด จนอดคิดไม่ได้ว่า หน้าตาดีแบบนี้ยังโสดแล้วหนังหน้าอย่างเราเล่า...
ผมเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าทำไมคนอื่นมีคู่แล้วผมถึงได้คี่ – เจ้าหน้าที่ขอโทษขออภัยอย่างสุภาพเพราะจำนวนคนที่มาลงทะเบียนไม่ครบ จึงจะมีคน “คี่” อยู่สี่ห้าคนทั้งหญิงชาย... คิดดูเถอะ ขนาดทริปปั่น “จับคู่” แล้วยัง “คี่” อะไรมันจะไร้วาสนาขนาดนั้น แต่ไม่เป็นไร –เพราะผมก็ไม่ได้มาตามหารักแท้จากงานแบบนี้หรอก ผมมาเพราะไม่อยากขัดน้องสาวเท่านั้นแหละ
“หวัดดี หมายเลขยี่สิบเจ็ด ป้ายนี่เค้าให้ติดตรงไหน”
น้ำเสียงโมโนโทนแบบนี้มันคุ้นมาก เหมือนเคยได้ยินมาก่อนจากที่ไหนสักแห่งแต่ก็จำไม่ได้
“เอิ่ม ติดหลังเสื้อมังครับ”
“ฉันเอื้อมไม่ถึง คุณติดให้หน่อยได้มั้ย”
“ได้สิ” แล้วเธอก็เหลือบมาเห็นป้ายหมายเลขประจำตัว ที่ผมติดบนกระเป๋า
“ไม่เอาละ เราจะติดบนกระเป๋าเหมือนนาย”
เธอเป็นเจ้าของหมายเลขสามสิบเอ็ด หน้าไม่ยิ้ม นอกจากไม่ยิ้มแล้วยังไม่สวยอีกต่างหาก ผมคิดในใจ มิน่าเล่าเธอถึงมาทริปคนโสด
“แล้วคู่ของคุณล่ะครับ ให้เขาติดให้ก็ได้นะ”
“ฉันไม่มีคู่ เจ้าหน้าที่บอกว่าคนมาลงทะเบียนไม่ครบ ฉันเลยคี่” น้ำเสียงไม่มีสูงต่ำ ราบเรียบ จนไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี
“แล้วบั๊ดดี้คุณล่ะคะ”
“ผมก็คี่เหมือนคุณนั่นแหละ”
“อ้าว ถ้างั้นเราก็คู่แล้วดิ เพราะคี่ทั้งคู่ ก็คู่พอดี”
“เอางั้นเลยเหรอ”
“เอางั้นเลยสิ – จะเป็นไรไป ฉันไม่ได้มาหาแฟน ฉันถูกน้องชายบังคับให้อยู่จบทริปก็เท่านั้นเอง”
“ผมก็เหมือนกัน” เธอเรียกผมว่า หมายเลขยี่สิบเจ็ด และผมเรียกเธอว่า คุณสามสิบเอ็ด –
ระหว่างเตรียมออกเดินทางเราเอาจักรยานมาจอดคู่กัน - - ชัดเลย ผมจำจักรยานคันนี้ได้แม่น กลางสะพานพระรามแปดคืนนั้น กับน้ำเสียงแบบนี้... แต่ผมไม่บอกเธอหรอกว่าเราเคยเจอกันมาก่อนแบบถากๆ เพราะมันอาจทำให้เธอคิดว่านั่นคือ บุพเพสันนิวาส ซึ่งผมยังไม่พร้อมที่จะมีบุพเพอาละวาดอะไรกับใคร ณ จุดนี้ เพราะระหว่างที่ผมมาปั่นจักรยานเป็นเพื่อนน้องสาวนี้ มั่นใจได้เลยว่ายัยแปดหลอดเจ้าของงานที่ผมยังเขียนไม่เสร็จคงแอบด่าเช็ดอยู่ในใจเป็นแน่... ก็คนมันอกหัก - - ต้องพักบ้างอะไรบ้าง ไม่งั้นออกแบบไปก็ไม่สวย งานสถาปัตย์มันก็คืองานศิลปะดีๆ นี่เองแหละ ถ้าอารมณ์ไม่ดี ผลงานก็ออกมาไม่แจ่ม ( เหล่านี้ล้วนเป็นข้ออ้างที่ทำให้ยัยแปดหลอดอาละวาดใส่หูโทรศัพท์มาแล้ว)
คุณสามสิบเอ็ด ยื่นขวดเครื่องดื่มเกลือแร่สปอนเซอร์ของงานมาให้ พร้อมน้ำเปล่าอีกขวด แถมด้วยผ้าเย็นอีกสองผืน ระหว่างปั่นจักรยาน เธอจะปั่นอยู่ข้างหลังผม เมื่อสังเกตว่าลมยางผมอ่อน เธอปั่นมาดักหน้าและบอกให้จอดเพื่อเช็คลมยาง – เธอใช้สูบมือเติมลมให้ ในขณะที่ผมยืนมอง... ผู้หญิงอะไร โคตรแมน
รายทางระหว่างปั่นจักรยานเป็นทุ่งนาที่กำลังเขียวชะอุ่ม กลุ่มจักรยานปั่นเลียบคลองมาหยุดทำกิจกรรม ณ จุดนัดหมาย คุณสามสิบเอ็ดอีกเช่นกันที่คอยนำน้ำดื่ม, ผ้าเย็น และขนมมาให้ – เธอเป็นบั๊ดดี้ที่ เอาใจใส่ผมจนอดซึ้งใจไม่ได้จริงๆ ระหว่างพักปั่นจักรยาน เราจึงมีโอกาสได้นั่งริมคลองดูน้ำเน่า เล่าเรื่องของตัวเอง และแลกไลน์ไว้คุยกัน – เราไม่ได้แลกเบอร์โทร. เพราะสมัยนี้มีแค่ไลน์อย่างเดียวก็คุยกันได้แล้ว...
หลังจบทริป ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับ น้องสาวตัวแสบของผมกับคนรักของเธอจับสลากได้รางวัลคู่พิเศษอีกต่างหาก – ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
ความรักนี่ก็แปลก ทำให้บางคนมีรอยยิ้ม และทำให้อีกคนมีน้ำตา
ทั้งที่ก็ชื่อว่าความรักเหมือนกัน