Time Line จดหมาย ความทรงจำ หนังที่มีดีกว่าคำว่าภาคต่อ

ก่อนอื่นต้องขอ ออกตัวว่าไม่ได้จะมารีวิวหรือสปอยด์หนังอะไรมากมายนะคะ เพราะไม่เคยเขียนวิจารณ์หนังมาก่อนเลย ยิ้ม
จริงๆ แค่อยากเข้ามาแชร์ประสบการณ์ ความรู้สึก ผ่านตัวหนังสือเท่านั้นเอง อมยิ้ม04

เล่นพันทิปมาหลายปีแล้วแต่นี่เป็นกระทู้แรกที่ตั้ง เพราะไปดูเรื่องนี้มาแล้วอยากให้ทุกคนได้รับรู้ ว่าหนังเรื่องนี้มันดีแค่ไหน
ไปดูเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา ป่านนี้ยังคงคิดถึงแทน จูนอยู่เลย

เหตุผลหลักที่ไปดูเรื่องนี้มีสองอย่างคือชอบ The Letter มาก เมื่อได้รู้ว่าพี่อุ๋ยจะสร้างเรื่องนี้ก็ดีใจและรอคอยว่าจะถ่ายทอดออกมายังไง
อย่างที่สองคือชอบน้องเจมส์จิ ไม่ได้ถึงขนาดเป็นแฟนคลับ แต่ก็พยายามไปตามอีเวนท์ของน้องบ้าง เท่าที่โอกาสจะอำนวย

หนังเดินเรื่องแบบช้าๆ โดยมีแทนเป็นศูนย์กลางของเรื่อง ยอมรับว่าแรกๆยังเห็นเงาของเจมส์จิในตัว"แทน"
แต่พอดูไปเรื่อยๆ ภาพเหล่านั้นก็หายไป เห็นแต่ตัว"แทน" เด็กผู้ชายที่เข้ากรุงเทพฯมาด้วยความงงๆกับชีวิต คิดอย่างเดียวคือไม่อยากอยู่บ้าน ไม่อยากทำไร่ แต่มีกิจกรรมอย่างนึงที่ชอบทำทุกที่ ทุกเวลาคือการวาดรูป

หนังเล่าไปเรื่อยๆให้เห็นอารมณ์ ความรู้สึกของแม่มัท และจูน ผู้ซึ่งเป็นคนใกล้ตัวแทน แต่ก็เป็นบุคลลที่แทนมองข้ามไป หาใครหรืออะไรก็ไม่รู้
ที่ชอบอย่างนึงคือพี่อุ๋ย สอดแทรกองค์ประกอบในชีวิตแทนได้ครบทั้งคน สัตว์(เจ้าหมาน้อย) สิ่งของ(จักรยาน) แทนมองข้ามมันไปทุกสิ่งอย่าง แล้วพยายามตามหาสิ่งใหม่มาทดแทน ซึ่งมันตรงกับชีวิตคนในปัจจุบันที่สุด เราตัดสินใจเร็วไป เราเลือกอะไรๆง่ายไป เรามองค่าของสิ่งต่างๆแค่จากภายนอก

สิ่งที่ชอบอีกอย่างในหนังเรื่องนี้คือภาพและโลเคชั่นค่ะ มันโรแมนติก งดงาม และสร้างบรรยากาศของความรักในความเหงาได้ชัดเจนมาก
ทั้งความหนาวแบบฝนๆในฉากบ้านแทน ความเป็นสถานที่ที่ถูกลืมของเกาะสีชัง รวมถึงจังหวัดซากะที่ก็เพิ่งรู้ว่าญี่ปุ่นมีเมืองน่ารักๆแบบนี้ด้วย

จนพอมาถึงจุดไคลแมกซ์ของเรื่องที่บีบคั้นอารมณ์คนดูอย่างเรา เพราะจบแบบเหนือความคาดหมายมากๆ แต่เป็นการจบแบบให้เราได้คิด ได้ทบทวน ได้เห็นอะไรที่เคยมองข้ามมาโดยตลอด นั่นก็คือความรัก ความใส่ใจ ความหวังดี ที่ตัวละครมีให้กัน

ตอนแรกคาดหวังไว้ว่า คงจะร้องไห้ให้กับตัวละครตัวใดตัวหนึ่งในเรื่อง เหมือนกับที่ร้องไห้ให้ต้นไปพร้อมๆกับดิว แต่เปล่าเลยค่ะ จริงๆ เราร้องไห้ให้กับความอิ่มเอมใจ มันคือกุญแจปลดล็อคความฝันของ"แทน" กุญแจดอกนี้แหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้แทนลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง โดยที่ตัวเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะทำ

ตอนสุดท้ายของหนัง ทุกชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไป แต่เป็นการเดินต่อไปด้วยความสุขและความหวัง ดำเนินต่อไปด้วยความฝันที่ต่อยอดไปเรื่อยๆ
ประทับใจที่มันจบแบบไม่ได้เศร้ามาก แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความละเมียดละไมของตัวละคร

ดูหนังจบเลยคิดถึงคำๆหนึ่งที่เคยอ่านเจอในเฟซบุค ต้องขออภัยก่อนนะคะที่ไม่ทราบว่าเครดิตมาจากไหน ขอขอบคุณเจ้าของคำคมไว้ ณ ที่นี้ นะคะ

"คนมักจะคิดว่า เราจะรู้ค่าของสิ่งใด ก็ต่อเมื่อเสียมันไปแล้ว
แต่จริงๆ เรารู้ว่าเรามีอะไร เราแค่ไม่เคยคิดว่าจะเสียมันไป เท่านั้นเอง"

สรุปคือ อยากให้ไปดูหนังเรื่องนี้แบบไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องคิดถึงเนื้อเรื่อง ไม่ต้องคิดถึงนักแสดง ไม่ต้องคิดถึงบทวิจารณ์ที่อ่านมา
ขอให้คิดแค่ว่าฉันกำลังจะไปดูหนังรักที่ดีที่สุดในปีนี้ ก็พอค่ะ

แล้วคุณอาจจะเข้าใจคำว่ารัก มากขึ้นกว่าเดิมก็ได้

ขอบคุณที่อ่านกันมาจนจบนะคะ อาจเขียนรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ทุกคำคือความประทับใจที่มีต่อหนังเรื่องนี้ค่ะ
พาพันขอบคุณ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่