วันที่ 9 ก.พ.
เราตื่นเช้ากันมาแล้วมุ่งหน้าไปที่เมืองยอร์ค นครต้นแบบของ “นิวยอร์ค” ที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกี่ยวกับอะไรกับ “ยอร์ค” ยี่ห้อแอร์ หรือว่า “ดไวท์ ยอร์ค” แต่ที่นี่คลาสสิคมาก ๆ โดยเฉพาะ มหาวิหารและคริสตจักรมหานครแห่งนักบุญเปโตรในกรุงยอร์ค ที่สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ.1472 แน่นอนเราต้องเติมพลังกันก่อนในตอนเช้า
ร้านที่นี่เก๋ไก๋สไลเดอร์มาก ๆ ร้านช็อคโกแลตแสนอร่อย ก็ยังอยู่ ส่วนที่ชอบสุด ๆของเราก็คงจะไม่พ้น เพราะเราคือผู้พิชิตวิลเลี่ยม ฮิลล์ และแลดโบรคส์ 555555+
เราไปรับประทานอาหารกลางวันแบบอังกฤษแท้ ๆ อย่าง “ฟิช แอนด์ ชิพ” ริมแม่น้ำกลางนครยอร์ค อาหารอร่อยมาก จากนั้นเรามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อไปชมเกม “ผีแดง” ปะทะกับ “เจ้าสัว”
คณะเราเข้าไปชมเกมนี้ท่ามกลางอากาศเพียง 3 องศาเท่ากับที่ ลิเวอร์พูล ก่อนจะจบเกมยิ่งกว่าดราม่า เพราะ ผีแดงอุตส่าห์ไล่แซงนำ 2-1 แต่มาโดนตีเสมอ 2-2 ในช่วงทดเวลาเจ็บนาทีสุดท้ายนาทีที่ 94 กว่า ๆ เหลือแค่ 28 วินาทีเท่านั้น ซึ่งรอบสนามแมนฯยูไนเต็ด มีร้านขายของทำเท่ห์เยอะทีเดียวครับ แต่ส่วนใหญ่จะปิดเพราะเข้าไปเชียร์บอล
จบเกมเราฝ่าอากาศหนาวสุด ๆ ทั้งลมทั้งฝนมาที่รถ ก่อนจะมาทานอาหารไทย มื้อแรกตั้งแต่เดินทางมาถึง เราจัดหนักอาหาร 8 อย่าง/4คน หนักแค่ไหนลองดูนะครัช
คณะเราถึงกับจุก "พี่ปุ้ม บางนา" คนหล่อแกนนำเช่าพระเครื่อง ตะโกนถามว่า “ตกลงนี่พามาทัวร์บอลหรือพามากินอาหาร” เล่นเอาทุกคนเมาข้าวนอนหลับยาวกันแบบไม่มีใครหนีไปไหนในคืนนี้
วันที่ 10 ก.พ.
คณะเราบ๊ายบายห้องพักสุดหรูอดีตวังเก่า ที่เดอะ มิดแลนด์ (ทริปหน้าก็พักที่นี่นะฮะ) พร้อมอากาศหนาวสุดขั้วหัวใจ 1 องศา เดินทางเข้ามหานครลอนดอน
ตามหมายกำหนดการณ์ แต่ก่อนจะเข้ากรุง เราไปแวะที่ บริซเตอร์ วิลเลจ เอาท์เล็จ ที่ว่ากันว่าดีติดท็อป ๆ ของโลกใบนี้
แน่นอนว่า เสียเงินกันไปมิใช่น้อย
ละลายทรัพย์เสร็จเรียบร้อย “คุณมาร์ค” คนขับรถของเรา เร่งเครื่องเต็มที่(แต่ก็เกิน 80 กม./ชม.ไม่ได้) เราต้องเจอกับรถติดหนักมาก ๆ เพราะมีอุบัติเหตุถึง 2 จุด แต่จนแล้วจนรอดก็เดินทางมาถึงสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล
เราเดินรอบสนามไปชมรูปปั้นของ เธียร์รี่ อองรี ยอดกองหน้า, เฮอร์เบิร์ต แชปแมน ยอดกุนซือ ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ใช้ชื่อรถไฟฟ้าจาก “กิลเลสพี” มาเป็นสถานี “อาร์เซนอล” และปิดท้ายด้วยรูปปั้น “กัปตันแอลกอฮอล์” โทนี่ อดัมส์
แน่นอนเราต้องเข้าไปละลายทรัพย์กันอีกทีในสโตร์ของสโมสร และนำแฟนบอลไปดูการสลักความทรงจำของแฟนบอลบริเวณถนนหน้าสนามสุดคลาสสิค
คณะเราออกจากถิ่นปืน มุ่งหน้าไปสู่อาหารมื้อพิเศษ “เป็ดโฟร์ซีซั่น” อันเลื่องชื่อ พร้อมกับ “ล็อปเตอร์” จานเชื่อง ให้คณะได้อร่อยลิ้นกันในมื้อดีฮะ
จากนั้นในยามค่ำคืน ผมโชว์พลังการเป็น “ลอนดอนเนอร์” ให้กับคณะ ด้วยการพาไปที่พิคคาเดลลี่ เซอร์คัส เพื่อไปช็อปปิ้งเสื้อบอลที่ลิลลี่ไวท์ ต่อด้วยนำไปเที่ยวร้านช็อคโกแลต M&M ที่ใหญ่สุด ๆ เหมาะกับสุภาพสตรีอย่างมาก ต่อด้วยพาลัดเลาะไปถิ่นที่ผู้ชายชอบ 5555555+
วันที่ 11 ก.พ.
คณะเรานัดแนะกันไว้ก่อนแล้วว่า จะมี 6 ท่านแยกคณะการ”ซิตี้ ทัวร์” ไปเที่ยวสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ และให้ผมเป็นคนนำทัพ ส่วน “พี่จุ้ย” ให้อยู่กับคณะใหญ่ ที่วันนี้นอกจาก “น้องแทต” ไกด์ผู้ดูแลตลอดทริปแล้ว เราก็ได้ “พี่หมึก” ไกด์อันดับ 1 คนไทยในเมืองผู้ดีมาเสริมความสมบูรณ์แบบให้กับทริปนี้
ผมนำคณะทั้งหมด 7 ชีวิตเดินทางออกไปตั้งแต่ 8 โมงเช้า ก่อนจะแว่บไปถ่ายภาพที่บิ๊กเบน และลอนดอน อาย ให้เรียบร้อยเพื่อจะได้ไม่ตกเทรนด์ ที่สถานีรถไฟชื่อดังอย่าง”วอเตอร์ลู”
จากนั้นคณะ 7heaven ได้มุ่งหน้าต่อไปยังสถานีฟูแล่ม บรอดเวย์ เพื่อไปสู่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ แม้ฝนจะตกแต่ทุกคนแฮปปี้สุด ๆ เมื่อได้เห็นสนาม และสโตร์ของทีมที่สวยงาม มากไปด้วยสินค้าให้ได้ช็อปปิ้งกันอย่างเมามันส์
เช่นเดียวกับคณะใหญ่ที่ก็สุขสุด ๆ เช่นเดียวกัน
จากนั้นคณะเดอะ บริดจ์ เดินทางไปสมทบกับคณะใหญ่ที่ร้านอาหารจีน เราทานอาหารร่วมกันเป็นมื้อใหญ่มื้อสุดท้ายที่อิง-กะ-แลนด์ ซึ่งเสริฟทุกคนด้วยเป็ดปักกิ่งเป็นแกนนำทัพ
อร่อยกับอาหาร คณะมุ่งหน้าไปช็อปปิ้งต่อ 2 คณะ ทั้งที่ โคเวน การ์เดน และห้างดังอย่างแฮร์ร็อดด์ ต้องบอกว่าทุกคนซื้อกันเยอะจริง ๆ ส่วนผมสอย”หลุยส์”มา 1 ใบฮะก่อนที่เราจะเดินทางมายังสนามบินฮีทโธว์
เราบินด้วยเครื่องแอร์บัสของ เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ส มุ่งหน้ากลับมาที่ดูไบ พักเครื่องสองชั่วโมงนิด ๆ ก่อนจะกลับมาถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัยในเย็นวันที่ 12 ก.พ.ปิดทริปอย่างสมบูรณ์แบบและอบอุ่น
เสร็จสิ้นภารกิจ "ตะลุยอังกฤษ พิชิตพรีเมียร์ลีก" เป็นที่เรียบร้อย นี่คือหนึ่งในบทชีวิตความทรงจำที่กำหนดและกำเนิดจากคนรักฟุตบอล
ไม่น่าเชื่อครับ หลายท่านไปแค่คนเดียว หลายท่านไปเป็นคู่ แต่สุดท้ายเรากลับสนิทกันเหมือนกับเจอกันมานานแบบเหลือเชื่อจริง ๆ .....................
จากนี้ทุกท่านไม่ใช่แค่ "แฟนรายการ กับ นักจัดรายการ" หรือ "หัวหน้าทัวร์ กับ ลูกทัวร์" เพราะเราคือ "พี่น้องและเพื่อนกันตลอดไป" ครับพ้ม......
ฟินคร้าบบบบผมฟิ้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนน! แอร่รรร @#$%^&*()_+|
ปล.สำหรับทริปต่อไป เราจะเดินทางในวันที่ 24-30 เมษายนนี้ ไปชมเกม ลิเวอร์พูล พบกับ เชลซี ในเกมพรีเมียร์ลีก ที่แอนฟิลด์ ท่านสามารถชมโปรแกรมและจองด่วนได้ตามลิงค์นี้นะครับ
http://bit.ly/1aWRoAz
ส่วนคลิปล่างนี้เป็นการรวบรวมความสนุกสนานของทุกท่านที่ร่วมทริปไปกับเราครั้งนี้ มาให้ดูกัน และได้ออกอากาศรายการต่าง ๆ ประกอบด้วย
รายการสปอร์ตไลฟ์ ช่อง MCOT1 อสมท. วันเสาร์ที่ 15 มกราคม เวลา 08.0-09.00 น.
รายการ SPORT OF THE DAY ช่องสุวรรณภูมิ วันเสาร์ที่ 15 มกราคม เวลา 15.30-16..30 น.
รายการคิวทอง ON TV ช่อง ทีสปอร์ต วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม เวลา 14.00-14.30 น.
รายการ In The Games ช่อง ทีสปอร์ต วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม เวลา 14.30-15.00 น.
พร้อมกับรายการวิทยุ “กีฬาทั่วทิศ” FM 90.5 เวลา 12.30-13.00 น. ฟังสดทั่วโลกผ่านทางเว็บไซต์ www.footballdj.com วันเสาร์ที่ 15 มกราคม
กราบขอบพระคุณทุกท่าน มา ณ โอกาสนี้ ที่ให้ บี แหลมสิงห์ และจุ้ย คิวทอง แอนด์ สยามทราเวล ได้รับใช้ท่าน
บี แหลมสิงห์/บันทึกจากมหานครอิง-กะ-แลนด์ 6-12/2/14
สำหรับเรื่องของเกมนั้นคงไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การทำการตลาดของสองยักษ์ใหญ่
แมนฯยูไนเต็ด ในฐานะแชมป์เก่า และทีมที่มั่งคั่งความสำเร็จมากที่สุดของเกาะมหาสมบัติ เมื่อได้แชมป์ลีกสูงสุดไปแล้ว 20 สมัย ผลงานแม้จะดิ่งเหวเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือจาก เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาเป็น เดวิด มอยส์
ขณะที่ ลิเวอร์พูล ที่กลับมาตั้งไข่อีกครั้งตั้งแต่ซีซั่นก่อน เมื่อบอร์ดบริหารเลือก เบรแดน ร็อดเจอร์ส เข้ามาทำงานแทนที่ เคนนี่ “เดอะ คิง” ดัลกลิช
ร้านขายของที่ระลึกของ ยูไนเต็ด ที่เรียกว่า “เมกกะ สโตร์” สินค้ายังคงเหมือนเดิม ลักษณะเหมือนย่ำอยู่กับที่ เหมือนกับที่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เข้ามาซื้อทีม สินค้าก็คือ อยู่ไงก็อยู่อย่างนั้น
ผิดกับ “สโตร์” ของหงส์แดง ที่นับตั้งแต่ได้ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ เข้ามาเทคโอเวอร์ จริงอยู่ที่ขนาดของร้านจะเท่าเดิม แต่สินค้าเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
ขนาดหน้ากากยังทำขาย ซึ่งตรงนี้ เชลซี ก็จัดหนักแล้วเช่นกัน
อธิบายก็คือ เล็กกว่าแต่ของเยอะกว่า มีอะไรให้เลือกมากกว่า ดูดีกว่า และด้วยฟอร์มปัจจุบัน ของที่ระลึกลิเวอร์พูลขายแบบยิ่งกว่าเอามาแจก
สิ่งที่ เฮนรี่ นำเข้ามายังแอนฟิลด์ ก็คือทุกสิ่งอย่างเป็นเงินทั้งหมด และเริ่มที่จะทำผ้าพันคอที่ระลึกประจำการแข่งขันมาสู้กับร้านขายของหน้าสนามอย่าง “แฟนซีน”
ร้านขายของหน้าสนามที่แฟนบอลทำขึ้นนั้น จะทำผ้าพันคอประจำการแข่งขันสองสี คือมีทั้งทีมเหย้าและเยือนมีวันที่ระบุชัดเจน ไว้เป็นที่ระลึกสำหรับคนที่มาดูเกมนั้น ๆ โดยเฉพาะ
บางทีมยังไม่ทำ หลายทีมทำแล้ว อาทิ ลิเวอร์พูล
อย่างไรก็ตาม แฟนซีนของหงส์ ยังตามหลังแฟนซีนของผีแดงอยู่หลายก้าว เพราะที่หน้าโอลด์ แทรฟฟอร์ด เสื้อสกรีนลายต่าง ๆ มีให้เลือกเพียบ โดยเฉพาะข้อความจิกด่าคู่ปรับต่าง ๆ ถือว่าคลาสสิคและเหลือล้ำเกินที่จะอธิบายได้
เท่ากับว่า นาทีนี้หากวัดกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ ช็อปสินค้าอย่างเป็นทางการของหงส์แดงแซงหน้าผีแดงไปแล้วในเรื่องของสินค้า แต่ในทางกลับกัน แฟนซีนของผีแดงยังเหนือล้ำกว่าหงส์แดงไปหลายก้าวเช่นกัน
หากท่านใดมีโอกาสได้ไปอังกฤษ หากอยากจะช่วยเหลือสโมสร นำเงินเข้าทีมที่ท่านรัก ก็ซื้อของในช็อปอย่างเป็นทางการ แต่ก็เผื่อเหลือเผื่อขาดติดสตางค์ไปให้กับแฟนซีนหน้าสนาม รับรองว่า ไม่มีวันผิดหวัง
ตอกย้ำว่า ฟุตบอลอังกฤษไม่วันตาย ไม่ต้องดูในสนาม แค่สีสันริมขอบสนาม
ก็เลยคำว่า”คลาสสิค”ไปแล้วล่ะครับพี่น้อง!
รีวิวทริปตะลุยอังกฤษพิชิตพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล-อาร์เซน่อล,แมนฯยู - ฟูแล่ม (ตอน2)
เราตื่นเช้ากันมาแล้วมุ่งหน้าไปที่เมืองยอร์ค นครต้นแบบของ “นิวยอร์ค” ที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกี่ยวกับอะไรกับ “ยอร์ค” ยี่ห้อแอร์ หรือว่า “ดไวท์ ยอร์ค” แต่ที่นี่คลาสสิคมาก ๆ โดยเฉพาะ มหาวิหารและคริสตจักรมหานครแห่งนักบุญเปโตรในกรุงยอร์ค ที่สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ.1472 แน่นอนเราต้องเติมพลังกันก่อนในตอนเช้า
ร้านที่นี่เก๋ไก๋สไลเดอร์มาก ๆ ร้านช็อคโกแลตแสนอร่อย ก็ยังอยู่ ส่วนที่ชอบสุด ๆของเราก็คงจะไม่พ้น เพราะเราคือผู้พิชิตวิลเลี่ยม ฮิลล์ และแลดโบรคส์ 555555+
เราไปรับประทานอาหารกลางวันแบบอังกฤษแท้ ๆ อย่าง “ฟิช แอนด์ ชิพ” ริมแม่น้ำกลางนครยอร์ค อาหารอร่อยมาก จากนั้นเรามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อไปชมเกม “ผีแดง” ปะทะกับ “เจ้าสัว”
คณะเราเข้าไปชมเกมนี้ท่ามกลางอากาศเพียง 3 องศาเท่ากับที่ ลิเวอร์พูล ก่อนจะจบเกมยิ่งกว่าดราม่า เพราะ ผีแดงอุตส่าห์ไล่แซงนำ 2-1 แต่มาโดนตีเสมอ 2-2 ในช่วงทดเวลาเจ็บนาทีสุดท้ายนาทีที่ 94 กว่า ๆ เหลือแค่ 28 วินาทีเท่านั้น ซึ่งรอบสนามแมนฯยูไนเต็ด มีร้านขายของทำเท่ห์เยอะทีเดียวครับ แต่ส่วนใหญ่จะปิดเพราะเข้าไปเชียร์บอล
จบเกมเราฝ่าอากาศหนาวสุด ๆ ทั้งลมทั้งฝนมาที่รถ ก่อนจะมาทานอาหารไทย มื้อแรกตั้งแต่เดินทางมาถึง เราจัดหนักอาหาร 8 อย่าง/4คน หนักแค่ไหนลองดูนะครัช
คณะเราถึงกับจุก "พี่ปุ้ม บางนา" คนหล่อแกนนำเช่าพระเครื่อง ตะโกนถามว่า “ตกลงนี่พามาทัวร์บอลหรือพามากินอาหาร” เล่นเอาทุกคนเมาข้าวนอนหลับยาวกันแบบไม่มีใครหนีไปไหนในคืนนี้
วันที่ 10 ก.พ.
คณะเราบ๊ายบายห้องพักสุดหรูอดีตวังเก่า ที่เดอะ มิดแลนด์ (ทริปหน้าก็พักที่นี่นะฮะ) พร้อมอากาศหนาวสุดขั้วหัวใจ 1 องศา เดินทางเข้ามหานครลอนดอน
ตามหมายกำหนดการณ์ แต่ก่อนจะเข้ากรุง เราไปแวะที่ บริซเตอร์ วิลเลจ เอาท์เล็จ ที่ว่ากันว่าดีติดท็อป ๆ ของโลกใบนี้
แน่นอนว่า เสียเงินกันไปมิใช่น้อย
ละลายทรัพย์เสร็จเรียบร้อย “คุณมาร์ค” คนขับรถของเรา เร่งเครื่องเต็มที่(แต่ก็เกิน 80 กม./ชม.ไม่ได้) เราต้องเจอกับรถติดหนักมาก ๆ เพราะมีอุบัติเหตุถึง 2 จุด แต่จนแล้วจนรอดก็เดินทางมาถึงสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล
เราเดินรอบสนามไปชมรูปปั้นของ เธียร์รี่ อองรี ยอดกองหน้า, เฮอร์เบิร์ต แชปแมน ยอดกุนซือ ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ใช้ชื่อรถไฟฟ้าจาก “กิลเลสพี” มาเป็นสถานี “อาร์เซนอล” และปิดท้ายด้วยรูปปั้น “กัปตันแอลกอฮอล์” โทนี่ อดัมส์
แน่นอนเราต้องเข้าไปละลายทรัพย์กันอีกทีในสโตร์ของสโมสร และนำแฟนบอลไปดูการสลักความทรงจำของแฟนบอลบริเวณถนนหน้าสนามสุดคลาสสิค
คณะเราออกจากถิ่นปืน มุ่งหน้าไปสู่อาหารมื้อพิเศษ “เป็ดโฟร์ซีซั่น” อันเลื่องชื่อ พร้อมกับ “ล็อปเตอร์” จานเชื่อง ให้คณะได้อร่อยลิ้นกันในมื้อดีฮะ
จากนั้นในยามค่ำคืน ผมโชว์พลังการเป็น “ลอนดอนเนอร์” ให้กับคณะ ด้วยการพาไปที่พิคคาเดลลี่ เซอร์คัส เพื่อไปช็อปปิ้งเสื้อบอลที่ลิลลี่ไวท์ ต่อด้วยนำไปเที่ยวร้านช็อคโกแลต M&M ที่ใหญ่สุด ๆ เหมาะกับสุภาพสตรีอย่างมาก ต่อด้วยพาลัดเลาะไปถิ่นที่ผู้ชายชอบ 5555555+
วันที่ 11 ก.พ.
คณะเรานัดแนะกันไว้ก่อนแล้วว่า จะมี 6 ท่านแยกคณะการ”ซิตี้ ทัวร์” ไปเที่ยวสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ และให้ผมเป็นคนนำทัพ ส่วน “พี่จุ้ย” ให้อยู่กับคณะใหญ่ ที่วันนี้นอกจาก “น้องแทต” ไกด์ผู้ดูแลตลอดทริปแล้ว เราก็ได้ “พี่หมึก” ไกด์อันดับ 1 คนไทยในเมืองผู้ดีมาเสริมความสมบูรณ์แบบให้กับทริปนี้
ผมนำคณะทั้งหมด 7 ชีวิตเดินทางออกไปตั้งแต่ 8 โมงเช้า ก่อนจะแว่บไปถ่ายภาพที่บิ๊กเบน และลอนดอน อาย ให้เรียบร้อยเพื่อจะได้ไม่ตกเทรนด์ ที่สถานีรถไฟชื่อดังอย่าง”วอเตอร์ลู”
จากนั้นคณะ 7heaven ได้มุ่งหน้าต่อไปยังสถานีฟูแล่ม บรอดเวย์ เพื่อไปสู่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ แม้ฝนจะตกแต่ทุกคนแฮปปี้สุด ๆ เมื่อได้เห็นสนาม และสโตร์ของทีมที่สวยงาม มากไปด้วยสินค้าให้ได้ช็อปปิ้งกันอย่างเมามันส์
เช่นเดียวกับคณะใหญ่ที่ก็สุขสุด ๆ เช่นเดียวกัน
จากนั้นคณะเดอะ บริดจ์ เดินทางไปสมทบกับคณะใหญ่ที่ร้านอาหารจีน เราทานอาหารร่วมกันเป็นมื้อใหญ่มื้อสุดท้ายที่อิง-กะ-แลนด์ ซึ่งเสริฟทุกคนด้วยเป็ดปักกิ่งเป็นแกนนำทัพ
อร่อยกับอาหาร คณะมุ่งหน้าไปช็อปปิ้งต่อ 2 คณะ ทั้งที่ โคเวน การ์เดน และห้างดังอย่างแฮร์ร็อดด์ ต้องบอกว่าทุกคนซื้อกันเยอะจริง ๆ ส่วนผมสอย”หลุยส์”มา 1 ใบฮะก่อนที่เราจะเดินทางมายังสนามบินฮีทโธว์
เราบินด้วยเครื่องแอร์บัสของ เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ส มุ่งหน้ากลับมาที่ดูไบ พักเครื่องสองชั่วโมงนิด ๆ ก่อนจะกลับมาถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัยในเย็นวันที่ 12 ก.พ.ปิดทริปอย่างสมบูรณ์แบบและอบอุ่น
เสร็จสิ้นภารกิจ "ตะลุยอังกฤษ พิชิตพรีเมียร์ลีก" เป็นที่เรียบร้อย นี่คือหนึ่งในบทชีวิตความทรงจำที่กำหนดและกำเนิดจากคนรักฟุตบอล
ไม่น่าเชื่อครับ หลายท่านไปแค่คนเดียว หลายท่านไปเป็นคู่ แต่สุดท้ายเรากลับสนิทกันเหมือนกับเจอกันมานานแบบเหลือเชื่อจริง ๆ .....................
จากนี้ทุกท่านไม่ใช่แค่ "แฟนรายการ กับ นักจัดรายการ" หรือ "หัวหน้าทัวร์ กับ ลูกทัวร์" เพราะเราคือ "พี่น้องและเพื่อนกันตลอดไป" ครับพ้ม......
ฟินคร้าบบบบผมฟิ้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนน! แอร่รรร @#$%^&*()_+|
ปล.สำหรับทริปต่อไป เราจะเดินทางในวันที่ 24-30 เมษายนนี้ ไปชมเกม ลิเวอร์พูล พบกับ เชลซี ในเกมพรีเมียร์ลีก ที่แอนฟิลด์ ท่านสามารถชมโปรแกรมและจองด่วนได้ตามลิงค์นี้นะครับ http://bit.ly/1aWRoAz
ส่วนคลิปล่างนี้เป็นการรวบรวมความสนุกสนานของทุกท่านที่ร่วมทริปไปกับเราครั้งนี้ มาให้ดูกัน และได้ออกอากาศรายการต่าง ๆ ประกอบด้วย
รายการสปอร์ตไลฟ์ ช่อง MCOT1 อสมท. วันเสาร์ที่ 15 มกราคม เวลา 08.0-09.00 น.
รายการ SPORT OF THE DAY ช่องสุวรรณภูมิ วันเสาร์ที่ 15 มกราคม เวลา 15.30-16..30 น.
รายการคิวทอง ON TV ช่อง ทีสปอร์ต วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม เวลา 14.00-14.30 น.
รายการ In The Games ช่อง ทีสปอร์ต วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม เวลา 14.30-15.00 น.
พร้อมกับรายการวิทยุ “กีฬาทั่วทิศ” FM 90.5 เวลา 12.30-13.00 น. ฟังสดทั่วโลกผ่านทางเว็บไซต์ www.footballdj.com วันเสาร์ที่ 15 มกราคม
กราบขอบพระคุณทุกท่าน มา ณ โอกาสนี้ ที่ให้ บี แหลมสิงห์ และจุ้ย คิวทอง แอนด์ สยามทราเวล ได้รับใช้ท่าน
บี แหลมสิงห์/บันทึกจากมหานครอิง-กะ-แลนด์ 6-12/2/14
สำหรับเรื่องของเกมนั้นคงไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การทำการตลาดของสองยักษ์ใหญ่
แมนฯยูไนเต็ด ในฐานะแชมป์เก่า และทีมที่มั่งคั่งความสำเร็จมากที่สุดของเกาะมหาสมบัติ เมื่อได้แชมป์ลีกสูงสุดไปแล้ว 20 สมัย ผลงานแม้จะดิ่งเหวเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือจาก เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาเป็น เดวิด มอยส์
ขณะที่ ลิเวอร์พูล ที่กลับมาตั้งไข่อีกครั้งตั้งแต่ซีซั่นก่อน เมื่อบอร์ดบริหารเลือก เบรแดน ร็อดเจอร์ส เข้ามาทำงานแทนที่ เคนนี่ “เดอะ คิง” ดัลกลิช
ร้านขายของที่ระลึกของ ยูไนเต็ด ที่เรียกว่า “เมกกะ สโตร์” สินค้ายังคงเหมือนเดิม ลักษณะเหมือนย่ำอยู่กับที่ เหมือนกับที่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เข้ามาซื้อทีม สินค้าก็คือ อยู่ไงก็อยู่อย่างนั้น
ผิดกับ “สโตร์” ของหงส์แดง ที่นับตั้งแต่ได้ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ เข้ามาเทคโอเวอร์ จริงอยู่ที่ขนาดของร้านจะเท่าเดิม แต่สินค้าเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
ขนาดหน้ากากยังทำขาย ซึ่งตรงนี้ เชลซี ก็จัดหนักแล้วเช่นกัน
อธิบายก็คือ เล็กกว่าแต่ของเยอะกว่า มีอะไรให้เลือกมากกว่า ดูดีกว่า และด้วยฟอร์มปัจจุบัน ของที่ระลึกลิเวอร์พูลขายแบบยิ่งกว่าเอามาแจก
สิ่งที่ เฮนรี่ นำเข้ามายังแอนฟิลด์ ก็คือทุกสิ่งอย่างเป็นเงินทั้งหมด และเริ่มที่จะทำผ้าพันคอที่ระลึกประจำการแข่งขันมาสู้กับร้านขายของหน้าสนามอย่าง “แฟนซีน”
ร้านขายของหน้าสนามที่แฟนบอลทำขึ้นนั้น จะทำผ้าพันคอประจำการแข่งขันสองสี คือมีทั้งทีมเหย้าและเยือนมีวันที่ระบุชัดเจน ไว้เป็นที่ระลึกสำหรับคนที่มาดูเกมนั้น ๆ โดยเฉพาะ
บางทีมยังไม่ทำ หลายทีมทำแล้ว อาทิ ลิเวอร์พูล
อย่างไรก็ตาม แฟนซีนของหงส์ ยังตามหลังแฟนซีนของผีแดงอยู่หลายก้าว เพราะที่หน้าโอลด์ แทรฟฟอร์ด เสื้อสกรีนลายต่าง ๆ มีให้เลือกเพียบ โดยเฉพาะข้อความจิกด่าคู่ปรับต่าง ๆ ถือว่าคลาสสิคและเหลือล้ำเกินที่จะอธิบายได้
เท่ากับว่า นาทีนี้หากวัดกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ ช็อปสินค้าอย่างเป็นทางการของหงส์แดงแซงหน้าผีแดงไปแล้วในเรื่องของสินค้า แต่ในทางกลับกัน แฟนซีนของผีแดงยังเหนือล้ำกว่าหงส์แดงไปหลายก้าวเช่นกัน
หากท่านใดมีโอกาสได้ไปอังกฤษ หากอยากจะช่วยเหลือสโมสร นำเงินเข้าทีมที่ท่านรัก ก็ซื้อของในช็อปอย่างเป็นทางการ แต่ก็เผื่อเหลือเผื่อขาดติดสตางค์ไปให้กับแฟนซีนหน้าสนาม รับรองว่า ไม่มีวันผิดหวัง
ตอกย้ำว่า ฟุตบอลอังกฤษไม่วันตาย ไม่ต้องดูในสนาม แค่สีสันริมขอบสนาม
ก็เลยคำว่า”คลาสสิค”ไปแล้วล่ะครับพี่น้อง!