เปลี่ยนสีจีวร ! พระธรรมยุตออกกฎใหม่ในรอบร้อยปี จากสีพระป่า สีกรัก สีกรรมฐาน เป็น สีพระราชนิยม

กระทู้สนทนา
สมเด็จพระวันรัต

(จุณฑ์ พฺรหฺมคุตฺโต ป.ธ.9)
รก.เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รก.เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต

อา..คณะธรรมยุตกลายเป็น "คณะจิ้งจก" ไปเสียแล้ว เพราะแต่เดิมนั้น ตอนที่ในหลวง ร.4 เสด็จออกผนวชใหม่ๆ ประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุ ก็ทรงห่มจีวรแบบคณะนิกายเดิม คือใช้สีเหลืองและห่มพาดมังกร ต่อมาเมื่อเสด้จไปประทับ ณ วัดราชาธิวาส ทรงทำการอุปสมบทใหม่กับพระมอญวัดลิงขบ ก็ทรงหันไปนิยมการนุ่งห่มแบบมอญ ซึ่งก็คงจะหันไปใช้สีจีวรของมอญด้วย ซึ่งสีที่ว่านี้จึงกลายเป็นสีประจำคณะธรรมยุตมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อในหลวง ร.3 ทรงทราบ จึงทรงโปรดให้สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร ไปว่ากล่าวตักเตือน ว่าแต่เดิมมานั้น พระสงฆ์ไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมานิยมห่มแบบพาดมังกร แต่บัดนี้ พระสงฆ์นำโดยพระภิกษุวชิรญาณ ซึ่งเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงสุด แต่กลับหันไปนิยมการนุ่งห่มแบบมอญ ซึ่งเป็นข้าขอบขัณฑสีมา (มอญหนีพม่ามาพึ่งไทยในสมัยนั้นมาก) ไม่รักษาไว้ซึ่งเกียรติยศของบูรพมหากษัตริย์ หากเสด็จพ่อ (ร.2) ยังทรงพระชนม์อยู่ก็คงจะว่ากล่าวตักเตือนกันไปนานแล้ว ฯลฯ ทรงโปรดให้นำผ้าไตร "สีพระไทย" ไปถวายพระภิกวชิรญาณ 1 ไตร โดยทรงกำชับว่า "ถ้าเธอไม่รับก็ให้นำกลับมา" พระภิกษุวชิรญาณ ได้ทราบพระปรารภ จึงรีบทำหนังสือกราบบังคมทูล "ขอพระราชทานอภัยโทษ" โดยทรงอ้างว่า เห็นแก่ทางพระวินัยสิกขา มิได้คำนึงถึงพระเกียรติยศของบ้านเมือง ครั้นทราบแล้วก็ขอหันมานุ่งห่มแบบพระสงฆ์ไทยตามเดิม

ครั้นรัชกาลที่ 3 สิ้นพระชนม์ พระภิกษุวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ได้ลาสิกขาออกมาครองราชย์ เฉลิมพระนาม "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" จากนั้นก็เกิดความอึดอัดกลัดกลุ้มในกลุ่มพระภิกษุธรรมยุตวัดบวรเรื่องการห่มผ้าแบบมหานิกาย จึงทำเรื่องไปกราบบังคมทูลในหลวง ร.4 เพื่อทรงมีพระบรมวินิจฉัย ปรากฏว่า ทรงวินิจฉัยว่า "เรื่องการห่มผ้าเป็นเรื่องของพระสงฆ์ โยมเป็นฆราวาสแล้ว ไม่มีอำนาจไปก้าวก่ายได้ ให้พระสงฆ์ตัดสินใจกันเอาเอง" นั่นเองที่เป็นเหตุให้พระธรรมยุต "ประกาศอิสรภาพ" หันไปห่มแบบมอญนับตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้

แต่วันนี้ มีการอ้างเอา "พระราชนิยม" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าด้วยสีจีวร ซึ่งทรงพิจารณาว่า "ไม่เหลืองเกินไป ไม่ดำเข้มคล้ำจนเกินไป" เหมาะแก่คณะสงฆ์สองฝ่ายจะนุ่งห่มในงานพระราชพิธี จึงเป็นที่มาของชื่อจีวรสีนี้ว่า "สีพระราชนิยม"



สีพระราชนิยมจึงเป็น "สีกลาง" ระหว่างสงฆ์สองนิกาย ก่อน "สีเหลือง-สีแดง" จะระบาดเป็นดอกเห็ดอยู่ในปัจจุบัน พระสงฆ์ทั้งสองนิกาย เมื่อจะเข้าวังหรือไปในงานพระราชพิธีใดๆ ก็ต้องใช้สี "พระราชนิยม" เพื่อเป็นการแสดงความคารพต่อสถาบันพระมหากษัติย์ไทยในสมัยประชาธิปไตยว่าด้วยเรื่องสี



แต่วันนี้ คณะสงฆ์ธรรมยุต กลับประกาศ "ยึด" เอาสีพระราชนิยม ไปเป็นของธรรมยุต สั่งเปลี่ยนสีผ้ากันใหม่ทั้งประเทศ แล้วถามว่า มหานิกายจะห่มสีอะไรในเวลาเข้าวัง เพราะไม่มีสีพระราชนิยมแบบมหานิกายที่แตกต่างไปจากสีนี้แล้ว



ถ้าธรรมยุตประกาศยึดสีนี้เอาไว้ และถ้ามหานิกายไปห่มสีพระราชนิยม ก็จะกลายเป็นว่า มหานิกายห่มตามธรรมยุต แต่ถ้าไม่ห่มสีพระราชนิยม ก็อาจจะหมายถึงว่า ไม่เคารพราชสำนัก ปัญหาจะตามมาอีกหลายข้อ นอกจากทางราชสำนักจะต้องพิจารณาหา "สีพระราชนิยม" สำหรับมหานิกายเพิ่มขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถสมานฉันท์กันได้ เฮ้อ อยู่ดีๆ ก็หาเรื่องนะ สมเด็จพระวันรัตนี่ ว่างมากหรือไง ?

นี่ยังไม่นับพระธรรมยุต สายวัดป่า ซึ่งเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และยึดมั่นในธรรมเนียมที่ครูบาอาจารย์ได้เคยปฏิบัติมาก่อน เมื่อได้รับคำสั่งของสมเด็จพระวันรัตในครั้งนี้แล้ว ก็คงมีมากมายหลายสำนักที่ไม่เห็นด้วย และไม่ยอมปฏิบัติตาม ก็จะเป็นการท้าท้ายอำนาจของคณะสงฆ์ส่วนกลาง ซึ่งนิยมในราชสำนักมากกว่าเรื่องพระธรรมวินัย ความจริงราชสำนักก็ไม่ได้บังคับ แต่เป็นเพราะคณะธรรมยุตอยากจะแสดงความจงรักภักดีจนออกหน้าเสียเอง ดังสำนวนที่อดีตนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เคยกล่าวเอาไว้นั่นแหละว่า "กระเหี้ยนกระหือรือ"



จะเดินหน้าต่อไปหรือว่าทบทวน ก็สุดแต่จะพิจารณา เพราะสมเด็จพระวันรัตก็มิใช่ขี้ไก่ แต่เป็นถึง "แคนดิเดท" สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ต่อไป ทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น

http://www.alittlebuddha.com/
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ศาสนาพุทธ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่