ต้อนรับเทศกาล VALENTINE ด้วย 7 คู่กิ่งทอง ใบหยกแห่งวงการเครื่องดื่ม
ที่เมื่อเจอะเจอกัน ผสมกัน เป็นอันได้เรื่อง เพราะรสชาติมันช่างสุดยอดแท้ๆ
คู่ที่ 1 : GIN + TONIC
หลายคนคุ้นหู คุ้นตา กับ เครื่องดื่ม 2 ชนิด แต่ไม่แน่ใจมันคืออะไร??? ส่วนบรรดา COCKTAIL LOVER ตัวจริงเสียงจริงต้องคุ้นปากแน่ๆ และยกให้ทั้ง GIN & TONIC เป็นคู่แท้ 2 โลกที่หากันจนเจอ!!!
GIN เป็นเหล้าที่กลั่นจากข้าวหมักชนิดต่างๆ เช่น มอลต์ของบาร์เล่ย์ และสารพัดเครื่องเทศสมุนไพร เช่นรากผักชี อบเชย ส้มแห้ง จากนั้นก็เอาไปหมักซ้ำกับผลจูปิเตอร์ (เจ้าผลนี้แหละค่ะที่ทำให้รสชาติและกรุ่นกลิ่นของ GIN มีความเฉพาะตัว) และก็กลั่นซ้ำอีกหน จนกลายเป็นน้ำสีใสคล้าย VODKA ว่ากันว่า GIN ถูกค้นพบในฮอลแลนด์ แต่ไปโด่งดังเป็นพลุแตกที่อังกฤษซึ่ง GIN สูตรอังกฤษ เมื่อจิบแล้วจะรู้สึกแห้งผาก ไร้รสหวาน จนเป็นที่มาของคำว่า DRY GIN หรือ LONDON DRY!!!!
ส่วนน้ำ TONIC มันก็คือเครื่องดื่มรสขมเพราะสารที่ชื่อควินิน (Quinine) แล้วอัดโซดาให้ซาบซ่า!!! บางคนบอกรสชาติคล้ายยาแก้หวัดผสมโซดา ว่าไปนั่น หุหุหุ แต่ในสมัยก่อน ย้อนไปถึงสมัยสงครามโลก TONIC ถือเป็นยารักษาโรคมาเลเรียชั้นดีเลยนะคะ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องจับกรอก TONIC เป็นว่าเล่น!!!!
แล้ว GIN กับ TONIC มาจิจ๊ะป๊ะรักกันตอนไหน??? ก็ตอนสงครามนี่แหละค่ะ กองทัพอังกฤษประจำการอยู่ในอินเดีย ซึ่งอยู่ในดินแดนที่ไกลปืนเที่ยง เต็มไปด้วยสารพัดโรคร้าย โดยเฉพาะโรคมาเลเรีย มีเพียง TONIC (ซึ่งก็คือสารควินินไม่อัดโซดา) เท่านั้นที่สามารถบรรเทาอาการจากหนักเป็นเบาได้ แต่ด้วยรสชาติขมเกินพรรณนา จึงมีการลองนำเหล้า GIN มาผสมกับ TONIC เผื่อฤทธิ์เหล้าจะช่วยให้กลืนคล่องคอขึ้นบ้าง ผลปรากฏว่ารสชาติเลอเริ่ดล้ำค่ามากๆๆ ถึงขั้นพระราชาแห่งอินเดียล่วงรู้สูตรเด็ด ปลาบปลื้มมากๆๆ จนกลายเป็นค็อกเทลสำหรับจิบดื่มเพื่อชื่นชมดวงอาทิตย์ยามอัสดงกันเลยทีเดียว!!
สูตร GIN TONIC
1.จิน (Gin) 1 ออนซ์ แนะนำยี่ห้อ Bombay ค่ะ
2.น้ำโทนิค
3.มะนาวฝานแว่นและไม้คนสำหรับตกแต่ง
วิธีผสมจิน แอนด์ โทนิค
1. ใส่น้ำแข็ง 3/4 ของแก้ว (ไฮบอลล์ขนาด 8-10 ออนซ์)
2. ใส่จินแล้วเติมน้ำโทนิค ให้ต่ำจากระดับขอบแก้ว 1 นิ้ว ใช้ช้อนบาร์คนให้ส่วนผสมเข้ากัน
3. ตกแต่งด้วยมะนาวฝานแว่น เสิร์ฟพร้อมไม้คน แล้วยกซดดื่ม ชื่นใจจริงๆๆ
7 คู่ขวัญ จับคู่น้ำ หวานแหววรับวาเลนไทน์!!
ที่เมื่อเจอะเจอกัน ผสมกัน เป็นอันได้เรื่อง เพราะรสชาติมันช่างสุดยอดแท้ๆ
คู่ที่ 1 : GIN + TONIC
หลายคนคุ้นหู คุ้นตา กับ เครื่องดื่ม 2 ชนิด แต่ไม่แน่ใจมันคืออะไร??? ส่วนบรรดา COCKTAIL LOVER ตัวจริงเสียงจริงต้องคุ้นปากแน่ๆ และยกให้ทั้ง GIN & TONIC เป็นคู่แท้ 2 โลกที่หากันจนเจอ!!!
GIN เป็นเหล้าที่กลั่นจากข้าวหมักชนิดต่างๆ เช่น มอลต์ของบาร์เล่ย์ และสารพัดเครื่องเทศสมุนไพร เช่นรากผักชี อบเชย ส้มแห้ง จากนั้นก็เอาไปหมักซ้ำกับผลจูปิเตอร์ (เจ้าผลนี้แหละค่ะที่ทำให้รสชาติและกรุ่นกลิ่นของ GIN มีความเฉพาะตัว) และก็กลั่นซ้ำอีกหน จนกลายเป็นน้ำสีใสคล้าย VODKA ว่ากันว่า GIN ถูกค้นพบในฮอลแลนด์ แต่ไปโด่งดังเป็นพลุแตกที่อังกฤษซึ่ง GIN สูตรอังกฤษ เมื่อจิบแล้วจะรู้สึกแห้งผาก ไร้รสหวาน จนเป็นที่มาของคำว่า DRY GIN หรือ LONDON DRY!!!!
ส่วนน้ำ TONIC มันก็คือเครื่องดื่มรสขมเพราะสารที่ชื่อควินิน (Quinine) แล้วอัดโซดาให้ซาบซ่า!!! บางคนบอกรสชาติคล้ายยาแก้หวัดผสมโซดา ว่าไปนั่น หุหุหุ แต่ในสมัยก่อน ย้อนไปถึงสมัยสงครามโลก TONIC ถือเป็นยารักษาโรคมาเลเรียชั้นดีเลยนะคะ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องจับกรอก TONIC เป็นว่าเล่น!!!!
แล้ว GIN กับ TONIC มาจิจ๊ะป๊ะรักกันตอนไหน??? ก็ตอนสงครามนี่แหละค่ะ กองทัพอังกฤษประจำการอยู่ในอินเดีย ซึ่งอยู่ในดินแดนที่ไกลปืนเที่ยง เต็มไปด้วยสารพัดโรคร้าย โดยเฉพาะโรคมาเลเรีย มีเพียง TONIC (ซึ่งก็คือสารควินินไม่อัดโซดา) เท่านั้นที่สามารถบรรเทาอาการจากหนักเป็นเบาได้ แต่ด้วยรสชาติขมเกินพรรณนา จึงมีการลองนำเหล้า GIN มาผสมกับ TONIC เผื่อฤทธิ์เหล้าจะช่วยให้กลืนคล่องคอขึ้นบ้าง ผลปรากฏว่ารสชาติเลอเริ่ดล้ำค่ามากๆๆ ถึงขั้นพระราชาแห่งอินเดียล่วงรู้สูตรเด็ด ปลาบปลื้มมากๆๆ จนกลายเป็นค็อกเทลสำหรับจิบดื่มเพื่อชื่นชมดวงอาทิตย์ยามอัสดงกันเลยทีเดียว!!
สูตร GIN TONIC
1.จิน (Gin) 1 ออนซ์ แนะนำยี่ห้อ Bombay ค่ะ
2.น้ำโทนิค
3.มะนาวฝานแว่นและไม้คนสำหรับตกแต่ง
วิธีผสมจิน แอนด์ โทนิค
1. ใส่น้ำแข็ง 3/4 ของแก้ว (ไฮบอลล์ขนาด 8-10 ออนซ์)
2. ใส่จินแล้วเติมน้ำโทนิค ให้ต่ำจากระดับขอบแก้ว 1 นิ้ว ใช้ช้อนบาร์คนให้ส่วนผสมเข้ากัน
3. ตกแต่งด้วยมะนาวฝานแว่น เสิร์ฟพร้อมไม้คน แล้วยกซดดื่ม ชื่นใจจริงๆๆ