[ด่วน!!กระทู้โดนลบ ขอตั้งใหม่] ไปดูมาแล้ว!! - Timeline จดหมาย ความทรงจำ หนังรักและหนังไทยที่ดีที่สุดในรอบหลายปี





***เมื่อสักครู่ตั้งกระทู้แล้วจู่ๆโดนลบเพราะอะไรไม่ทราบ กิฟและถูกใจหายเกลี้ยงเลย แต่ขอตั้งใหม่นะครับ รีวิวนี้ผมตั้งใจเขียนครับ ไม่อยากให้หนังเรื่องนี้แค่ผ่านเลยไป อย่าลบกันอีกเลยนะครับ***


ฝากแฟนเพจของผมไว้ด้วยนะครับ ผมชอบอัพเดทข่าวคราวด้านภาพยนตร์และสาระบันเทิงเอาไว้ ฝากลิ้งค์ไว้เผื่อเพื่อนๆอยากเข้าไปไลค์ติดตามข่าวสารแลกเปลี่ยนกันครับ https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans



No.9

จั่วหัว : ใครที่รู้สึกว่าต้องทำใจกับความรักที่เราพยายามไขว่คว้าแต่ไม่มีวันมาถึง หรือความรักที่เคยครอบครองแต่มันก็ล่วงเลยผ่าน จงดูเถิดครับ!!!

Timeline : จดหมาย ความทรงจำ

คมนิด จี๊ดเลย : บางทีการได้ทำในสิ่งที่เรารัก(เพื่อคนที่เรารัก) อาจเป็นความฝันของเรา

Napat's Rating : (A++++++++++) , 10 /10



- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -

จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : ก่อนอื่นต้องขอสารภาพว่าผมเคยสบประมาทหนังเรื่องนี้ไว้ค่อนข้างแรงพอสมควร ทั้งที่หน้าหนังดูน่าสนใจ แต่ตัวอย่างหนังมันยังดูแปลกๆและไม่ค่อยน่าดึงดูดให้เข้าไปชมมากนักสำหรับผม จนกระทั่งมีการฉายรอบพิเศษและมีข่าวลือหนาหูว่าเรื่องนี้ของเขาดีจริง ผมก็กึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ แต่ในใจก็เฝ้ารอวันที่จะได้พิสูจน์ด้วยตัวเราเอง จนกระทั่งเมื่อได้ดูและดูจบ..

รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนเสียสติ แบบบ้าไปแล้ว บ้าไปเลย เหมือนกับตายแบบยิ้มวายวอดดับอนาถคาโรง!!เพราะนี่คือหนังรักและหนังไทยที่ดีที่สุดในรอบหลายปีถัดจาก October Sonata, The Letter และ รักแห่งสยาม ส่วนตัวแล้วรู้สึกอินมากจนเสียน้ำตาให้แทบทั้งเรื่องจนหนังจบไม่กล้าลุกออกจากโรงเลย ตอนที่เดินออกมานี่ บอกตรงๆว่าอายคนมาก รู้สึกได้เลยว่าต่อมน้ำตาทำงานแบบหมดก๊อกอย่างที่ไม่เคยเป็นมานานแล้วกับการดูหนังในโรงภาพยนตร์

หนังเรื่องนี้มีดีที่ตัวหนังจริงๆ ด้วยเสน่ห์ของเรื่องราวที่ชวนให้เราเข้าไปอยู่ในโลกเดียวกับตัวละครในเรื่อง และด้วยตัวเรื่องสามารถขับเคลื่อนให้หนังออกมาประทับไว้ในหัวใจคนดูอย่างที่ควรจะเป็น จนเรามอบใจไปให้กับหนังเรื่องนี้ และสามารถมองข้ามจุดผิดพลาดเล็กๆน้อยๆอย่างการลำดับภาพแปลกๆในบางฉาก หรือบทสนทนาบางจุด การแสดงของตัวละครในบางฉาก พอเราคล้อยตามไปกับหนัง มันจะถึงจุดนึงที่เราบอกตัวเองในใจว่า "ช่างแม่มจุดผิดพลาดมันเถอะ" และผมก็ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอะไรอีก เพราะไม่ว่าหนังจะทำอะไรออกมา แต่พอเราอินเข้าไปแล้ว เราจะรู้สึกไหลลื่นไปตามหนังได้โดยเฉพาะกับเรื่องนี้ คงต้องเปรียบว่าพี่อุ๋ย นนทรีย์แกเล่นเทน้ำมันไปตามทางเลย ทำให้อารมณ์ของหนังมันไหลลื่นและทำให้อินไปกับเรื่องราวและตัวละครตลอดเรื่อง จนผมสามารถเสียน้ำตาให้หนังได้เป็นระยะ ไม่ต้องรอไปถึงจุดพีคเลยด้วยซ้ำ และยิ่งถึงช่วงท้ายๆเล่นเอาคนดูอย่างผมถึงขั้นฟูมฟายแบบไปไม่เป็นเลยทีเดียว ถือว่าเป็นผลงานที่ตรึงอารมณ์คนดูอย่างเราอยู่หมัดมากๆ

พูดถึงตัวเนื้อเรื่องกันหน่อย ผมพยายามจะไม่สปอยส์แล้วกันเพื่อให้ไปรอเก็บอรรถรสกันเองในโรง แต่สิ่งที่ผมชอบในส่วนของเนื้อหาคือ หนังมันกำลังพูดถึงเรื่องราวของ "ความรักที่บางครั้งเราสัมผัสได้แต่มองไม่เห็น แต่กับบางคนที่มองเห็นมันอยู่เพียงตรงหน้าแต่กลับสัมผัสมันไม่ได้" หนังจึงได้ตีประเด็นของความรักในหลากหลายวัย ไม่โฟกัสเพียงความรักของพระเอกนางเอก แต่กลับพูดถึงความรักของครอบครัว ของตัวละครที่เป็นแม่ที่มีผลเกี่ยวเนื่องกันไปถึงในรุ่นลูก และทำให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยไหน แต่ "ความรัก" มันก็มีผลที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้เราเป็นเราเฉกเช่นทุกวันนี้ แม้ว่าบางคนอาจทำได้เป็นฝ่ายเพียงแค่เฝ้ารอกับความรักที่ดูจะไม่มีวันมาถึง ไม่มีวันได้สัมผัส แต่อย่างน้อยความรักมันก็สร้างความหวังในใจให้เราได้รอมิใช่หรือ อย่างในคำโปรยที่ว่า "เขาจะรอจนกว่าเธอจะรัก เธอจะรักจนกว่าเขาจะรู้"

ภายในหนังจะมีสามตัวละครที่น่าสนใจและผมอยากจะกล่าวถึงตัวละครสามตัวนี้สักหน่อย

แทน(พระเอก) : "บางครั้ง..ความรักที่ฝันใฝ่อาจทำให้เรามองข้ามความรักตรงหน้า บังตาจนเราไม่อาจมองเห็น"

แทน เป็นตัวละครที่เป็นเหมือนเด็กหนุ่มบ้านนอกที่มาตามหาความฝันที่ยิ่งใหญ่ในกรุงเทพ ติดตรงที่เขาไม่รู้ว่าความฝันตัวเองคืออะไร เขารู้แต่เพียงว่าไม่อยากเดินรอยตามที่บ้านที่ต้องมาเป็นชาวไร่ จึงหาทางเดินใหม่ด้วยตัวเอง กระนั้นตัวละครนี้ในสายตาคนอื่นก็จะเห็นว่าเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ตามประสาเด็กที่ไม่ได้พบเจอแสงสี เขาเป้นคนที่มีจิตใจดี แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่โลเล สับสนในเส้นทางเดินชีวิต เอาแน่เอานอนไม่ได้ จนกระทั่งพอเขาได้มาพบนางเอก ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเปลี่ยนเขาไปและทำให้เขาต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ชีวิตนี้ เราเกิดมาเพื่อสิ่งใด?" เจมส์ จิรายุ เป็นผู้รับบทนี้ และถึงแม้ว่าจะใหม่ต่อวงการหนัง การแสดงบางครั้งอาจดูขัดๆไปบ้าง แต่ผมเชื่อนะว่าเขาคือแทนจริงๆ ด้วยลุค บุคลิก ท่าทางที่แสดงออกมา ทำให้เขาแทบไม่ต้องแสดงอะไรมาก ความใสซื่อบริสุทธิ์แบบเด็กหนุ่มวัยชวนฝันก็ฉายออกมาเอง และผมคิดว่าเจมส์ทำหน้าที่นี้ได้ดีทีเดียวเลยครับ ตัวละครนี้เติบโตไปตามเรื่องราวจริงๆ ใครอคติเจมส์จิก็ลองเปิดใจหน่อย ผมคิดว่ารอบนี้เราจะได้เห็นอีกหนึ่งความพยายามที่น่าชื่นชมครับ

จูน (นางเอก) : "บางครั้ง..ความรักอาจมองเห็นอยู่แค่ตรงหน้า แต่มันกลับไกลเกินกว่าเราจะเอามือเอื้อมไปคว้าไว้ได้"

ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังของจูนเลยนะ จริงๆแล้วแม้หนังจะเดินเรื่องด้วยตัวละครของแทน แต่จูนคือผู้ที่ประคองหนังทั้งเรื่องอยุ่เลยทีเดียว เพราะจริงๆแล้ว จูนเป็นเสมือนตัวแทนของความรัก ที่อยู่ใกล้ตัวแทนมาก จูนเป็นเพื่อนสนิทที่แทนไว้ใจ แต่เขากลับไม่เคยได้รับรู้และสัมผัสเลยว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่จูนพร้อมมอบให้อยู่ตรงหน้ามันมีค่ามีความหมายมากเพียงใดต่อจูน แม้ว่าจูนจะเป็นเด็กสาวผู้ชาญฉลาด แน่วแน่ในการคิดและตัดสินใจ มีความฝัน มีเป้าหมาย แต่ใครจะรู้ว่าอะไรต่างๆที่เธอประสบความสำเร็จมานั้น สำหรับเธอแล้วมันยังไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนาจริงๆ เพราะสำหรับบางคน ความฝันสูงสุดอาจเป็นเพียงแค่การที่ทำให้คนที่เรารักหันมารักเราก็เป็นได้ ซึ่งจูนรู้ดีว่าตัวเองก็ไม่ได้หน้าตาดีอะไรที่แทนต้องเหลียวมอง ขณะที่แทนพยายามไขว่คว้าหาคนในฝัน จูนทำได้แต่เพียงรอคอยด้วยความหวังที่มาจากความรัก แม้ว่าระหว่างรอเธอต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดให้ได้ก็ตาม จูนรับบทโดยเต้ย จรินทร์พร ซึ่งเล่นได้ดีมาก นี่เป็นตัวละครที่จะมีคนหลงรักและอินตามไปได้ รวมทั้งผมที่เสียน้ำตาให้กับตัวละครนี้เกือบทั้งเรื่อง ยิ่งถ้าใครเข้าใจถึง ความรักที่ให้ไปแบบไม่ต้องหวังอะไรตอบแทน เราต้องฝืนยิ้มกับความสุขปลอมๆที่ไม่มีโอกาสได้เป็นของเราจริงๆ คงจะกัดกลืนความรู้สึกภายในใจน่าดู

มัด (แม่พระเอก) : "บางครั้ง..ความรักมันอาจไม่มีตัวตน แต่มันกลับหล่อเลี้ยงเราให้มีลมหายใจ"

มัดเป็นตัวละครที่พูดถึงความรักที่ล่วงเลยผ่าน ความรักที่ไม่มีตัวตนไปแล้ว แต่ว่าคุณค่าของความรักเหล่านั้นมันยังคงอยู่ จากสิ่งรอบตัวที่หล่อหลอมให้มัดเป็นมัดเช่นทุกวันนี้ สำหรับบางคน ความรักอาจไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาก็เป็นได้ ตัวละครมัด ผู้เป็นแม่ของแทนพยายามจะทำทุกอย่างเพื่อคงความฝันของพ่อผู้จากไปเอาไว้ และทำให้เราได้เห็นคุณค่าในอีกมุมที่ว่า บางครั้งการทำในสิ่งที่รักเพื่อคนที่เรารัก อาจเป็นความฝันอย่างนึงของเราก็ได้ ไม่ว่าความฝันนั้นจะเริ่มต้นมาจากใครก็ตาม บทนี้รับบทโดยคุณป๊อก ปิยธิดาซึ่งเล่นได้สมบทบาทมาก จนผมคิดว่าน่าจะเข้าชิงสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมในเวทีต่างๆได้เลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีตัวละครอย่างน้าพัดที่รับบทโดยปีเตอร์ นพชัย ที่คอยดูแลมัดอยู่ห่างๆพร้อมๆกับยิ้มให้กับความรักที่ไม่มีวันมาถึง รวมถึงเจ้าหมาน้อยที่ชื่อกระป๋อง ก็มาสร้างสีสันได้อย่างน่ารักมากเลยทีเดียว มันเป็นเหมือนตัวแทนของคนที่ถูกทอดทิ้ง แต่ว่ายังมี"ความรัก"จากคนที่เราไม่คาดหวัง มาทำให้ชีวิตเรากลับมามีความหมายอีกครั้ง เพราะจริงๆแล้วความรักอาจอยู่รอบตัวเรา แต่หลายครั้งที่เราเลือกที่จะไม่มองเห็น จนบางครั้งเราเองที่ได้มองข้ามสิ่งดีๆออกไป

หนังได้เลือกใช้เพลงประกอบที่เหมาะสมกับหนังถึงที่สุด ซึ่งดันมาเป็นเพลงสุดฮอตในตอนนี้ ทำให้ผมอคติในทีแรกว่า มันจะโหนกระแสหรือเปล่า แต่เชื่อไหมพอขึ้นมาอยู่ในหนัง ผมน้ำแตกลามไปถึงฉากขึ้นเครดิตจบเลยด้วยซ้ำ เพลง"ไกลแค่ไหนคือใกล้" และเพลง "คำถามซึ่งไร้คำตอบ" จากวงเกสโซโนว่า สามารถเพิ่มดีกรีความดราม่าให้หนังได้เป็นเท่าตัว รวมถึงดนตรีสกอร์ของคุณ ชาติชาย พงษ์ประภาพันธุ์ ผู้ซึ่งเป้นคอมโพสเซอร์อันดับต้นๆของเมืองไทย ที่ผมได้ติดตามฟังดนตรีแกมาตั้งแต่หนังเรื่องก้านกล้วย มาถึงเรื่องนี้ดนตรีได้ส่งพลังมาขับให้หนังเข้าถึงอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และยังมีธีมหนังที่น่าจดจำอย่างธีมเพลงที่ชื่อว่า "จูน" เป็นเมโลดี้จดจำของคาแรคเตอร์นี้ ซึ่งประทับอยู่ในใจ ก้องอยู่ในโสตประสาทยันออกจากโรงดนตรีของจูนยังวนเวียนอยุ่ในหัวอยู่เลย ถือว่าทำได้ดีเยี่ยมเลยครับ

ส่วนอื่นๆก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีตามมาตรฐาน แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้หนังเข้าไปอยู่ในใจคนดูได้ เพราะมันทำให้เราซื้อใจในหนังเรื่องนี้ได้ นี่เป็นหนังไทยที่ผมกล้าอวยว่าไม่ได้อยู่ในระดับหนังไทยเกรดทั่วๆไปจริงๆ อีกทั้งยังมีการใช้เทคนิคการเล่นกับโซเชี่ยลเนตเวิร์กแสดงให้เห็นถึงความรักในยุคสมัยปัจจุบัน เป็นบันทึกประวัติศาสตร์อีกชิ้นว่าปัจจุบัน เราคิดกันแบบนี้ แสดงความรัก ติดต่อสื่อสารด้วยวิธีนี้ ดังนั้นจดหมายที่จะสร้างความทรงจำนั้น สำหรับผมอาจไม่ใช่แค่จดหมายกระดาษ แต่อาจรวมถึงบันทึกเรื่องราวดีๆที่มีอยู่ในใจเพื่อสื่อสารไปให้คนที่เราต้องการ และนั่นอาจเป็นที่มาของคำว่า "Timeline" นั่นเอง

สุดท้ายนี้ อย่าเชื่อตัวอย่าง ไม่ต้องดูเอ็มวี เลิกอคติเจมส์จิ แต่จงเปิดใจให้โล่งๆกว้างๆ
และลองมาชมหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าทุกท่านต้องได้รับความรู้สึกบางอย่างกลับไปหลังจากได้ชมอย่างแน่นอนครับ

อาจเขียนมายาวหน่อย แต่ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้กันนะครับ ไม่รักจริงไม่เขียนยาวขนาดนี้นะเอ้อ

ปล.พี่อุ๋ย นนทรีย์โคตรคืนฟอร์ม ควรคารวะให้งามๆอีกครั้ง
ปล2.รักจูนมากๆ

แอบสบประมาทไว้เยอะ เลยเจอจัดกลับแบบหนักๆ
ขอให้หนังประสบความสำเร็จนะครับ แด่หนังไทยที่ผมยกย่องให้เป็นหนังที่ตรึงอารมณ์ตรึงหัวใจมากที่สุดในรอบหลายปีๆ ขอบคุณที่หนังเรื่องนี้เป็นดังจดหมายที่มองความทรงจำดีๆให้ผมครับ.




มีคลิปพิเศษมาให้ชมทิ้งท้ายครับ เป็นประสบการณ์และความสุขจากการทำงานในกองหนังสั้นเล็กๆของผมและเพื่อนๆครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

และขอฝากหนังตัวอย่าง "หนังซอมบี้-ไซไฟ" ผลงานของผมไว้ด้วยนะคร้าบ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

อันนี้ตัวอย่างของหนัง "Timeline : จดหมาย ความทรงจำ" ครับ ลองชมกันดู

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

แถมเอ็มวี "ไกลแค่ไหนคือใกล้" ทิ้งท้ายจริงๆครับ เป็นเพลงที่ตอบโจทย์หนังเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ








ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ

ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม

ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!


https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans

https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่