ก่อนที่คุณจะอ่านอะไรต่อจากนี้ ผมขอเตือนว่ามันมีส่วนที่ขัดต่อหลักการ หลักความเชื่อ หรือเรื่องอิทธิฤทธิ์ปราฏิหารย์ใดๆ อันอาจจะก่อให้เกิดการโต้วิวาทะอันรุนแรง ซึ่งผมกลัวมาก และถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากสร้างปัญหาหรือขัดผลประโยชน์อะไรของใคร ก่อนอื่นต้องเรียนก่อนว่าผมได้แรงบันดาลใจกระทู้นี้มาจากกระทู้ของคุณ “มสารัตน์” แห่งเว็บ palungjit.com กระทู้ที่จั่วหัวว่า
http://board.palungjit.org/f234/warning-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C-373353.html ซึ่งในกระทู้จะเป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ในฐานะลูกค้าที่เจอกับหมอดูเจ้าเล่ห์
ก่อนที่จะเริ่มต้นบทความนี้ ผมขอแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับวงการหมอดูให้รู้กันทั่วหน้าก่อน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เปิดเผยแต่ไม่เคยมีใครสนใจมาโดยตลอด ในปัจจุบันวงการหมอดูมีวงเงินสะพัดราวๆ 4 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งนั่นหมายถึงมูลค่าเม็ดเงินมหาศาลเทียบเท่ากับ GDP ของประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งเลยทีเดียว วงการหมอดูเลยเป็นที่รุ่งเรื่องเป็นอย่างมาก สังเกตุได้จากหมอดูเริ่มมีอิทธิพลทุกวงการ โดยเฉพาะวงการบันเทิงที่ดูเหมือนกลายเป็นน้ำตาลกองหวาน ถ้าใครมีชื่อเสียงหรือสามารถลงเงินเพื่อสร้างประชาสัมพันธ์ได้ก็เท่ากับกุมอำนาจของเงิน(อันมหาศาล)ไว้ในมือแล้วส่วนหนึ่ง และการประชาสัมพันธ์ที่ใช้ต้นทุนน้อยที่สุดคืออะไรครับ? โทรทัศน์ หนังสือหรือใบปลิว คำตอบคืออินเตอร์เน็ตไง!
ลองจินตนาการดูว่าถ้าคุณอยากจะเริ่มต้นธุรกิจ คุณจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง คุณต้องเริ่มต้นจากการออมเงิน หาไอเดีย คำนวนต้นทุน ไปหาทำเล นั่งคิดวิธีการขาย กดเงินสดมาใช้ ทำบัญชีสำหรับเงินหมุนเวียน เริ่มแบ่งเวลาระหว่างงานประจำกับธุรกิจส่วนตัว จากนั้นก็ควักเนื้อเพื่อ Stock สินค้าและอีกมากมาย ในขณะที่คนบางกลุ่มที่อยากสร้างวิธีรวยทางลัดแต่ไม่มีดวงถูกหวย หมอดูที่ปรากฏอยู่ตามสื่อจึงเป็นอาชีพที่น่าจะเป็นทางเลือกได้ แถมเป็นอาชีพที่กำจัดข้อด้อยของทุกอาชีพที่ไม่ต้องใช้เงินทุนดูเหมือนอาชีพหมอดูจะตอบโจทย์ตรงนั้นได้ น้อยๆหน่อยก็คือค่าเล่าเรียนจากสถาบันที่สอนเรื่องการดูดวงซึ่งก็มีหลายสถาบันเหลือเกิน หนักๆหน่อยก็คือค่าเทวรูปที่ใช้ตกแต่งร้านเพื่อเพิ่มกระแสศรัทธาในตัวของพ่อหมอแม่หมอ ถึงแม้จะต้องมีต้นทุนแต่ถ้าให้เทียบกับการทำธุรกิจอื่นๆแล้ว
ผมค้นพบว่าอาชีพหมอดูกำไรสุดๆ
ทีนี้เมื่อทุกคนรู้ตรงกันแล้วว่าการเป็นหมอดูเป็นอาชีพที่ลงทุนน้อยแต่ให้ผลตอบแทนเยอะ วงการหมอดูก็จะเริ่มแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่มีใจรักในการทำนาย และกลุ่มที่ตั้งใจเกิดขึ้นมาเพื่อกอบโกยเงินโดยเฉพาะ กลุ่มคนที่มีใจรักก็ดูไม่ยากครับ ถ้าเกิดเขาเป็นหมอดูที่มีคุณธรรมมากพอ เขาจะต้องไม่หมกเม็ด ไม่ซ่อนเรื่องชั่วร้ายไว้ภายใต้หน้ากากที่ยิ้มแย้ม บอกราคาเท่าไหร่ก็เท่านั้นตามตกลง และที่สำคัญคำทำนายหรือคำแนะนำจะต้องเป็นคำที่ทำให้เราสามารถเชื่อได้ลงว่าทำแล้วจะส่งผลดีต่อชีวิตเราจริงๆตามศรัทธา
ในขณะเดียวกัน หมอดูที่เริ่มต้นแบบธุรกิจมีลักษณะเป็นอย่างไร ง่ายๆเลยครับ ก็อย่างที่เป็นข่าวกันโครมๆไง คือการซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ภายใต้ใบหน้าอันทรงภูมิ และค่าใช้จ่ายแฝงหลังจากที่ต้องเสียค่าดูดวงอีก อาทิเช่นไม่ยอมบอกราคาก่อนล่วงหน้าแต่พอเช็คเงินทีก็หน้ามืดเลย เพื่อนผมคนหนึ่งไปดูดวงที่หมอดูใต้ต้นไม้ ถามค่าหมอเท่าไหร่ หมอบอกว่าแล้วแต่วิชา ถูกสุดก็ 90 บาท พอให้หมอดูดูให้เสร็จจะจ่ายตังค์หมอบอกว่า 500 บาท เพราะเมื่อกี้ดูไปหลายวิชาทั้งลายมือ โหงวเฮ้ง และจิตสัมผัส หรืออีกนัยหนึ่งซึ่งก็เป็นกรณีที่ผมไม่อยากให้เกิด กรณีแบบไหน ก็อย่างที่คุณผู้หญิงมักจะโดนกันบ่อยๆครับ การล่วงละเมิดทางเพศไง!!!
แล้วทำไมหมอดูประเภทนั้นถึงได้เยอะนักหละ ผมจะลองจำลองชีวิตดูง่ายๆก็ได้ครับ สมมุติว่าคุณทำงานเป็นพนักงานขายของกินเงินเดือน เดือนๆหนึ่งคุณได้เงินเดือน 15,000 บาท และเมื่อได้รับเงินเดือน กฏหมายประเทศก็บังคับให้ต้องหักเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับประกันสังคมและภาษี เปรียบเทียบกับอาชีพหมอดูที่ตั้งราคาดูดวงไว้ที่ 200 บาทต่อคน ถ้าเขาดูเพียง 75 คน เท่ากับว่าเขาจะได้เงินเท่ากับเงินเดือนปริญญาตรีคนๆหนึ่งเลยทีเดียว แล้วคุณคิดว่าหมอดูจะใช้เวลาเท่าไหร่ ในการดูดวงให้ครบ 75 คน (200 บาทนี่น่าจะเป็นราคากลางครับ อาจจะมีถูกและแพงกว่านี้ตามแต่หมอดูจะตั้งราคา)
ทีนี้ลองถามอีกว่าสมมุติหมอดูสามารถดูดวงได้ถึง 150 คนภายในหนึ่งเดือนหละจะเป็นอย่างไร นั่นเท่ากับหมอดูคนนั้นจะได้เงินถึง 30,000 บาทต่อเดือน ใช่ครับ 30,000 บาทต่อเดือนโดยที่ไม่ต้องเสียภาษี ไม่ต้องเสียค่าประกันสังคม นั่นมันเทียบเท่ากับมูลค่าเงินเดือนน้องๆผู้บริหารเลยนะครับ ชอบไหมหละอย่างนี้ เป็นผมผมก็ชอบ ฮ่าๆ
ทีนี้การจะได้ถึง 150 คนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเงินทุนไม่หนาสำหรับการทำ Marketing หรือลูกค้าไม่ศรัทธามากพอที่จะแนะนำลูกค้าให้แบบปากต่อปาก หรือถ้าหมอดูคนนั้นเคยได้ลูกค้าเยอะมาก่อนแต่ช่วงหลังลูกค้าน้อยลง หรืออีกกรณีหนึ่งที่น่าคิด สมมุติว่าหมอดูท่านนั้นเป็นหนี้บัตรเครดิตเป็นต้น เอ๊ะ ยังไง เอารวมๆเป็นประเด็นหลักๆก็คือถ้าหมอดูคนนั้นอยากได้เงินเยอะขึ้น แต่ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นๆ เขาจะต้องทำอย่างไรครับ?
ทำ OT ไง
โห่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (เสียงตอบรับสำหรับมุขไม่ฮา)
คำตอบที่ถูกต้องคือหมอดูเขาก็ทำแบบที่ทำกับคุณมสารัตน์ไงครับ!!!
ลองจินตนาการเล่นๆว่าถ้าหมอดูเรียกร้องเก็บค่าผูกดวงด้วยราคา 5,000 บาท ซึ่งเป็นพิธีกรรมไม่มีมูลค่าทางต้นทุนเลย ถ้าหมอดูท่านนั้นมีลูกค้าทั้งหมด 50 คนใน 1 เดือน และมีผู้หลงเชื่อทำพิธีกับหมอดูท่านนั้น 10 คนต่อเดือน หมอดูจะได้ “เงิน” เท่าไหร่ครับ
50 คน ค่าดูคนละ 200 หมอดูได้ค่าครูแล้วแน่ๆ 10,000 บาท มีผู้หลงเชื่อทำพิธี 10 คน ก็จะเท่ากับ 50,000 บาท รวมทั้งหมดเป็น 60,000 บาทถ้วน
คุณใช้เวลาเท่าไหร่ในการหาเงิน 60,000 บาท แถมเป็น 60,000 บาทที่ได้มาจากการลงทุนที่ถูกมากๆ (ต้นทุนคือศรัทธา)
ในขณะที่คุณต้องแบกร่างกายอันเหนื่อยหน่าย ฝ่าฟันรถติดเพื่อไม่ให้ถูกหักเงินจากการไปสาย ชีวิตก็เครียดเหมือนพายุลงอยู่แล้ว ทุกข์อยู่แล้ว อดทนทุกอย่างเพื่อหวังว่าสังวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ไหนจะค่ากิน ค่าใช้ ค่าภาษี ค่าประกันสังคม ผมขอถามอีกที คุณใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะออมเงินได้ 60,000 บาท ไม่ง่ายเลยใช่ไหมครับ
ในขณะที่หมอดูถ้าทำ Marketing ดีๆสามารถหาได้ภายในเดือนเดียว (หรืออาจจะสัปดาห์เดียว) และที่สำคัญ ยุคสมัยนี้ก็ดูเหมือนเป็นใจให้กับอาชีพนี้เหลือเกิน หมอดูบางคนสามารถหาเงินจากการโปรโมทผ่าน Internet ได้ กอบโกยเป็นกอบเป็นกำโดยไม่ต้องมีเว็บไซต์ ไม่ต้องมีการลงทุน หรือไม่ต้องแม้กระทั่งเปิดเผยใบหน้าของตัวเองด้วยซ้ำ จะมีอาชีพไหนในโลก ที่สบายกว่านี้หรือไม่
สมมุติว่าคุณทุกข์และไปปรึกษาจิตแพทย์ คุณอาจจะโต้เถียงหรือมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อจิตแพทย์ท่านนั้นก็ได้ เพราะเวลาคุณคุยกับจิตแพทย์ มันเป็นเรื่องของตรรกะ ความคิดและตัวตนของคุณ ถ้าอะไรที่มันขัดกับความเชื่อของคุณ คุณก็อาจจะเมินและลืมคำพูดของจิตแพทย์คนนั้นไปซ่ะ
ผิดกับหมอดู หมอดูเป็นอาชีพที่เน้นความศรัทธา คำพูดบางคำของหมอดู คุณแทบไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยซ้ำ แถมไม่สามารถโต้แย้งได้ด้วย เพราะหมอดูเป็นอาชีพที่คล้ายๆว่าจะอยู่เหนือเหตุเหนือผล บางคนร้ายไปพอเถียงหมอดูมากๆเข้า จากคำทำนายก็เริ่มจะกลายเป็นคำสาบแช่ง ถึงตอนนั้นต่อให้อยากจะเมินก็คงยากเพราะการตอกย้ำตัวเองด้วยการพยายามที่จะลืมก็ถือว่าได้สะกดจิตตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าเป็นกิเลสส่วนตัวของคนก็ได้ ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนก็ได้
ทีนี้คุณอาจจะมองว่าสิ่งที่ผมพูดมาไร้แก่นสาร เพราะหมอดูที่เขาเคยเจอมาก็สามารถทำนายเขาได้แม่นยำเหมือนกัน แม้จะมีค่าพิธีกรรมหรือดูเหมือนหลอกลวงบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำทำนายของเขาแม่นจริงๆ ประเด็นนี้เถียงอย่างไรก็คงเถียงไม่จบครับ แต่ในขณะเดียวกัน ผมมองว่าหลังจากนี้ไป ประเทศไทยควรจะมีใครซักคนพิสูจน์เสียที ผมขอให้ทุกคนได้ลองดูคลิปนี้ครับ ไม่ต้องดูแบบใช้วิจารณญาณนะครับ ถือว่าดูเอาขำๆ
ดูจบหรือยังครับ ถ้ายังไม่ดูก็ขอแนะนำให้ดูก่อนนะครับ
ถามอีกที ดูหรือยัง ถ้ายังให้ดูก่อนนะครับ
ดูหรือยังครับ งั้นผมเล่าต่อนะ
คลิปนั่นมันคืออะไร?
Derren Brown เป็นนักมายาจิตครับ ผมหมายถึงเขาเป็นนักแสดง นักมายากล และนักจิตวิทยาในตัวคนๆเดียวกัน และการแสดงของเขาในคลิปนั้นก็คือการโชว์พลังของการทำนายถึงวิญญาณที่ติดตามคนดู ในคลิปไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคอะไรนัก เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง แต่ประเด็นหลังของคลิปนี้คือการท้าดวลระหว่าง Derren Brown กับร่างทรงคนหนึ่งครับ ซึ่งผู้หญิงอ้วนๆผิวขาวคนหนึ่งที่กล้องจับไว้ช่วงหนึ่งนั่นคือคนที่แอบอ้างว่าเป็นร่างทรง
เทคนิคที่ Derren Brown ใช้คือ Cold Reading หรือจิตวิทยาการ “ล้วง” เอาข้อมูลนั่นเอง เล่นล้วงจนคนถูกทักต่อมน้ำตาไหลเลยทีเดียว ทีนี้คุณก็อาจจะเถียงว่าหมอดูในไทยจะไปรู้จักเหรอ ไอ้วิชา Cold Reading ที่ว่าเนี่ย คำตอบง่ายๆก็คือ Cold Reading เป็นสิ่งที่ติดตัวเราทุกคนอยู่แล้วครับ ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ คุณเคยทำข้อสอบแบบข้อเขียนไหมครับ เวลาคุณไม่รู้คำตอบของคำถามแต่คุณไม่อยากสอบตกคุณจะทำอย่างไร ใช่!!! คุณก็ต้องเขียนมัน แล้วคุณจะเขียนอย่างไร คำตอบก็คือคุณก็ต้องเขียนมั่วๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้มีหลักการณ์มากที่สุด และใกล้เคียงกับคำตอบที่คุณคิดว่าน่าจะเป็นมากที่สุด
หรืออีกกรณีหนึ่งคือคุณเคยสงสัยมั้ยว่าแฟนคุณมีกิ๊ก แล้วเวลาคุณเจอหน้าแฟนคุณก็มักจะมีวิธีที่คุณสามารถล้วงเอาข้อมูลได้เสมอ น้อยๆหน่อยก็เช่นการถามว่ากินข้าวหรือยัง ถ้าเขาบอกว่ายังแต่คุณแอบสงสัยว่าเขาไปกินกับกิ๊กมาหรือเปล่า คุณก็จะพาเขาไปกินข้าวแล้วดูว่าเขากินได้มากน้อยขนาดไหน หรือถ้าเขาบอกว่ากินแล้ว คุณก็จะเริ่มถามต่อว่ากินอะไร ที่ไหน จนกระทั่งไปจบที่ว่ากับใครก็ได้
นี่คือ Cold Reading
ทั้งหมดฟังดูคุ้นๆไหมครับเวลาคุณดูดวง คุณมักจะเจอการทายนิสัยก่อนว่าคุณเป็นคนอย่างนั้น อย่างนี้ เช่นถ้าผมทักว่าคุณเป็นคนใจเย็นคุณคิดว่าผมทายถูกไหม และถ้าผมทักว่าคุณเป็นคนใจร้อนคุณว่าผมทายถูกไหม ผมเชื่อว่าไม่ว่าผมจะทายอย่างไรก็ถูก เพราะคนเรามักใจเย็นกับบางเรื่องและใจร้อนกับบางเรื่องเช่นกัน แล้วแต่ว่าคุณจะเอาคำทำนายของหมอดูไปผูกกับเรื่องไหนของชีวิตคุณ
ต่อมาหมอดูก็อาจจะทายหว่านแหว่าดวงคุณดูไม่มีความสุขนะครับ ถ้าคุณตอบว่าใช่หมอดูก็อาจจะสาวต่อได้ แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่หมอดูก็จะได้ข้อมูลไปอีกแบบ ทีนี้หลังจากที่หว่านแหไปแล้วและคุณยอมรับว่าคุณมีความทุกข์จริง หมอดูก็อาจจะบอกต่อไปว่ามีความทุกข์เพราะเรื่องความรักใช่หรือไม่ ถ้าคุณตอบก็ว่าใช่ก็ลงล็อค แต่ถ้าคุณตอบว่าไม่ใช่ หมอดูก็อาจจะมีวิธีเลี่ยงไปว่า แต่ในดวงคุณมันบอกว่าคุณจะมีปัญหาเรื่องคนนะ สุดท้ายจากคำถามใช่หรือไม่ใช่ มันก็จะกลายเป็นคำตอบที่หมอดูสามารถหยิบมาทายคุณได้ทันที
ทีนี้คนที่มาดูดวงส่วนใหญ่นะครับ มักจะแบกความทุกข์มาไม่มากก็น้อย คนที่มีความทุกข์ก็พร้อมเปิดใจเพื่อให้หมอดูได้รับฟังเรื่องราวของเขาเพื่อเป็นการระบายความในใจออกไปอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับบางคนเมื่อหมอดูสะกิดเรื่องด้วยคำพูดเข้าไปนิดเดียว ก็พร้อมที่พรั่งพูล “ข้อมูล” ออกมาอยู่แล้ว (หมอดูบางคนเห็นช่องสบโอกาสตรงนี้ หลังจากที่นั่งฟังเรื่องราวของเขาและแสร้งทำท่าเห็นใจ ก็อาจจะใช้ช่องนี้ในการนำเสนอบริการรูปแบบอื่นให้กับลูกค้าก็ได้)
ดังนั้นลองนึกดูนะครับ ว่าทุกครั้งที่คุณดูดวง คุณเคยตอบคำถามอะไรไปบ้าง?
Derren Brown เขาก็ใช้วิธีนั้นแหละ!
หมอดูขอเล่า : อะไร ทำไม...? หมอดูถึงเกลื่อนเมือง
ก่อนที่จะเริ่มต้นบทความนี้ ผมขอแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับวงการหมอดูให้รู้กันทั่วหน้าก่อน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เปิดเผยแต่ไม่เคยมีใครสนใจมาโดยตลอด ในปัจจุบันวงการหมอดูมีวงเงินสะพัดราวๆ 4 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งนั่นหมายถึงมูลค่าเม็ดเงินมหาศาลเทียบเท่ากับ GDP ของประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งเลยทีเดียว วงการหมอดูเลยเป็นที่รุ่งเรื่องเป็นอย่างมาก สังเกตุได้จากหมอดูเริ่มมีอิทธิพลทุกวงการ โดยเฉพาะวงการบันเทิงที่ดูเหมือนกลายเป็นน้ำตาลกองหวาน ถ้าใครมีชื่อเสียงหรือสามารถลงเงินเพื่อสร้างประชาสัมพันธ์ได้ก็เท่ากับกุมอำนาจของเงิน(อันมหาศาล)ไว้ในมือแล้วส่วนหนึ่ง และการประชาสัมพันธ์ที่ใช้ต้นทุนน้อยที่สุดคืออะไรครับ? โทรทัศน์ หนังสือหรือใบปลิว คำตอบคืออินเตอร์เน็ตไง!
ลองจินตนาการดูว่าถ้าคุณอยากจะเริ่มต้นธุรกิจ คุณจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง คุณต้องเริ่มต้นจากการออมเงิน หาไอเดีย คำนวนต้นทุน ไปหาทำเล นั่งคิดวิธีการขาย กดเงินสดมาใช้ ทำบัญชีสำหรับเงินหมุนเวียน เริ่มแบ่งเวลาระหว่างงานประจำกับธุรกิจส่วนตัว จากนั้นก็ควักเนื้อเพื่อ Stock สินค้าและอีกมากมาย ในขณะที่คนบางกลุ่มที่อยากสร้างวิธีรวยทางลัดแต่ไม่มีดวงถูกหวย หมอดูที่ปรากฏอยู่ตามสื่อจึงเป็นอาชีพที่น่าจะเป็นทางเลือกได้ แถมเป็นอาชีพที่กำจัดข้อด้อยของทุกอาชีพที่ไม่ต้องใช้เงินทุนดูเหมือนอาชีพหมอดูจะตอบโจทย์ตรงนั้นได้ น้อยๆหน่อยก็คือค่าเล่าเรียนจากสถาบันที่สอนเรื่องการดูดวงซึ่งก็มีหลายสถาบันเหลือเกิน หนักๆหน่อยก็คือค่าเทวรูปที่ใช้ตกแต่งร้านเพื่อเพิ่มกระแสศรัทธาในตัวของพ่อหมอแม่หมอ ถึงแม้จะต้องมีต้นทุนแต่ถ้าให้เทียบกับการทำธุรกิจอื่นๆแล้ว
ผมค้นพบว่าอาชีพหมอดูกำไรสุดๆ
ทีนี้เมื่อทุกคนรู้ตรงกันแล้วว่าการเป็นหมอดูเป็นอาชีพที่ลงทุนน้อยแต่ให้ผลตอบแทนเยอะ วงการหมอดูก็จะเริ่มแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่มีใจรักในการทำนาย และกลุ่มที่ตั้งใจเกิดขึ้นมาเพื่อกอบโกยเงินโดยเฉพาะ กลุ่มคนที่มีใจรักก็ดูไม่ยากครับ ถ้าเกิดเขาเป็นหมอดูที่มีคุณธรรมมากพอ เขาจะต้องไม่หมกเม็ด ไม่ซ่อนเรื่องชั่วร้ายไว้ภายใต้หน้ากากที่ยิ้มแย้ม บอกราคาเท่าไหร่ก็เท่านั้นตามตกลง และที่สำคัญคำทำนายหรือคำแนะนำจะต้องเป็นคำที่ทำให้เราสามารถเชื่อได้ลงว่าทำแล้วจะส่งผลดีต่อชีวิตเราจริงๆตามศรัทธา
ในขณะเดียวกัน หมอดูที่เริ่มต้นแบบธุรกิจมีลักษณะเป็นอย่างไร ง่ายๆเลยครับ ก็อย่างที่เป็นข่าวกันโครมๆไง คือการซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ภายใต้ใบหน้าอันทรงภูมิ และค่าใช้จ่ายแฝงหลังจากที่ต้องเสียค่าดูดวงอีก อาทิเช่นไม่ยอมบอกราคาก่อนล่วงหน้าแต่พอเช็คเงินทีก็หน้ามืดเลย เพื่อนผมคนหนึ่งไปดูดวงที่หมอดูใต้ต้นไม้ ถามค่าหมอเท่าไหร่ หมอบอกว่าแล้วแต่วิชา ถูกสุดก็ 90 บาท พอให้หมอดูดูให้เสร็จจะจ่ายตังค์หมอบอกว่า 500 บาท เพราะเมื่อกี้ดูไปหลายวิชาทั้งลายมือ โหงวเฮ้ง และจิตสัมผัส หรืออีกนัยหนึ่งซึ่งก็เป็นกรณีที่ผมไม่อยากให้เกิด กรณีแบบไหน ก็อย่างที่คุณผู้หญิงมักจะโดนกันบ่อยๆครับ การล่วงละเมิดทางเพศไง!!!
แล้วทำไมหมอดูประเภทนั้นถึงได้เยอะนักหละ ผมจะลองจำลองชีวิตดูง่ายๆก็ได้ครับ สมมุติว่าคุณทำงานเป็นพนักงานขายของกินเงินเดือน เดือนๆหนึ่งคุณได้เงินเดือน 15,000 บาท และเมื่อได้รับเงินเดือน กฏหมายประเทศก็บังคับให้ต้องหักเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับประกันสังคมและภาษี เปรียบเทียบกับอาชีพหมอดูที่ตั้งราคาดูดวงไว้ที่ 200 บาทต่อคน ถ้าเขาดูเพียง 75 คน เท่ากับว่าเขาจะได้เงินเท่ากับเงินเดือนปริญญาตรีคนๆหนึ่งเลยทีเดียว แล้วคุณคิดว่าหมอดูจะใช้เวลาเท่าไหร่ ในการดูดวงให้ครบ 75 คน (200 บาทนี่น่าจะเป็นราคากลางครับ อาจจะมีถูกและแพงกว่านี้ตามแต่หมอดูจะตั้งราคา)
ทีนี้ลองถามอีกว่าสมมุติหมอดูสามารถดูดวงได้ถึง 150 คนภายในหนึ่งเดือนหละจะเป็นอย่างไร นั่นเท่ากับหมอดูคนนั้นจะได้เงินถึง 30,000 บาทต่อเดือน ใช่ครับ 30,000 บาทต่อเดือนโดยที่ไม่ต้องเสียภาษี ไม่ต้องเสียค่าประกันสังคม นั่นมันเทียบเท่ากับมูลค่าเงินเดือนน้องๆผู้บริหารเลยนะครับ ชอบไหมหละอย่างนี้ เป็นผมผมก็ชอบ ฮ่าๆ
ทีนี้การจะได้ถึง 150 คนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเงินทุนไม่หนาสำหรับการทำ Marketing หรือลูกค้าไม่ศรัทธามากพอที่จะแนะนำลูกค้าให้แบบปากต่อปาก หรือถ้าหมอดูคนนั้นเคยได้ลูกค้าเยอะมาก่อนแต่ช่วงหลังลูกค้าน้อยลง หรืออีกกรณีหนึ่งที่น่าคิด สมมุติว่าหมอดูท่านนั้นเป็นหนี้บัตรเครดิตเป็นต้น เอ๊ะ ยังไง เอารวมๆเป็นประเด็นหลักๆก็คือถ้าหมอดูคนนั้นอยากได้เงินเยอะขึ้น แต่ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นๆ เขาจะต้องทำอย่างไรครับ?
ทำ OT ไง
โห่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (เสียงตอบรับสำหรับมุขไม่ฮา)
คำตอบที่ถูกต้องคือหมอดูเขาก็ทำแบบที่ทำกับคุณมสารัตน์ไงครับ!!!
ลองจินตนาการเล่นๆว่าถ้าหมอดูเรียกร้องเก็บค่าผูกดวงด้วยราคา 5,000 บาท ซึ่งเป็นพิธีกรรมไม่มีมูลค่าทางต้นทุนเลย ถ้าหมอดูท่านนั้นมีลูกค้าทั้งหมด 50 คนใน 1 เดือน และมีผู้หลงเชื่อทำพิธีกับหมอดูท่านนั้น 10 คนต่อเดือน หมอดูจะได้ “เงิน” เท่าไหร่ครับ
50 คน ค่าดูคนละ 200 หมอดูได้ค่าครูแล้วแน่ๆ 10,000 บาท มีผู้หลงเชื่อทำพิธี 10 คน ก็จะเท่ากับ 50,000 บาท รวมทั้งหมดเป็น 60,000 บาทถ้วน
คุณใช้เวลาเท่าไหร่ในการหาเงิน 60,000 บาท แถมเป็น 60,000 บาทที่ได้มาจากการลงทุนที่ถูกมากๆ (ต้นทุนคือศรัทธา)
ในขณะที่คุณต้องแบกร่างกายอันเหนื่อยหน่าย ฝ่าฟันรถติดเพื่อไม่ให้ถูกหักเงินจากการไปสาย ชีวิตก็เครียดเหมือนพายุลงอยู่แล้ว ทุกข์อยู่แล้ว อดทนทุกอย่างเพื่อหวังว่าสังวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ไหนจะค่ากิน ค่าใช้ ค่าภาษี ค่าประกันสังคม ผมขอถามอีกที คุณใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะออมเงินได้ 60,000 บาท ไม่ง่ายเลยใช่ไหมครับ
ในขณะที่หมอดูถ้าทำ Marketing ดีๆสามารถหาได้ภายในเดือนเดียว (หรืออาจจะสัปดาห์เดียว) และที่สำคัญ ยุคสมัยนี้ก็ดูเหมือนเป็นใจให้กับอาชีพนี้เหลือเกิน หมอดูบางคนสามารถหาเงินจากการโปรโมทผ่าน Internet ได้ กอบโกยเป็นกอบเป็นกำโดยไม่ต้องมีเว็บไซต์ ไม่ต้องมีการลงทุน หรือไม่ต้องแม้กระทั่งเปิดเผยใบหน้าของตัวเองด้วยซ้ำ จะมีอาชีพไหนในโลก ที่สบายกว่านี้หรือไม่
สมมุติว่าคุณทุกข์และไปปรึกษาจิตแพทย์ คุณอาจจะโต้เถียงหรือมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อจิตแพทย์ท่านนั้นก็ได้ เพราะเวลาคุณคุยกับจิตแพทย์ มันเป็นเรื่องของตรรกะ ความคิดและตัวตนของคุณ ถ้าอะไรที่มันขัดกับความเชื่อของคุณ คุณก็อาจจะเมินและลืมคำพูดของจิตแพทย์คนนั้นไปซ่ะ
ผิดกับหมอดู หมอดูเป็นอาชีพที่เน้นความศรัทธา คำพูดบางคำของหมอดู คุณแทบไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยซ้ำ แถมไม่สามารถโต้แย้งได้ด้วย เพราะหมอดูเป็นอาชีพที่คล้ายๆว่าจะอยู่เหนือเหตุเหนือผล บางคนร้ายไปพอเถียงหมอดูมากๆเข้า จากคำทำนายก็เริ่มจะกลายเป็นคำสาบแช่ง ถึงตอนนั้นต่อให้อยากจะเมินก็คงยากเพราะการตอกย้ำตัวเองด้วยการพยายามที่จะลืมก็ถือว่าได้สะกดจิตตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าเป็นกิเลสส่วนตัวของคนก็ได้ ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนก็ได้
ทีนี้คุณอาจจะมองว่าสิ่งที่ผมพูดมาไร้แก่นสาร เพราะหมอดูที่เขาเคยเจอมาก็สามารถทำนายเขาได้แม่นยำเหมือนกัน แม้จะมีค่าพิธีกรรมหรือดูเหมือนหลอกลวงบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำทำนายของเขาแม่นจริงๆ ประเด็นนี้เถียงอย่างไรก็คงเถียงไม่จบครับ แต่ในขณะเดียวกัน ผมมองว่าหลังจากนี้ไป ประเทศไทยควรจะมีใครซักคนพิสูจน์เสียที ผมขอให้ทุกคนได้ลองดูคลิปนี้ครับ ไม่ต้องดูแบบใช้วิจารณญาณนะครับ ถือว่าดูเอาขำๆ
ดูจบหรือยังครับ ถ้ายังไม่ดูก็ขอแนะนำให้ดูก่อนนะครับ
ถามอีกที ดูหรือยัง ถ้ายังให้ดูก่อนนะครับ
ดูหรือยังครับ งั้นผมเล่าต่อนะ
คลิปนั่นมันคืออะไร?
Derren Brown เป็นนักมายาจิตครับ ผมหมายถึงเขาเป็นนักแสดง นักมายากล และนักจิตวิทยาในตัวคนๆเดียวกัน และการแสดงของเขาในคลิปนั้นก็คือการโชว์พลังของการทำนายถึงวิญญาณที่ติดตามคนดู ในคลิปไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคอะไรนัก เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง แต่ประเด็นหลังของคลิปนี้คือการท้าดวลระหว่าง Derren Brown กับร่างทรงคนหนึ่งครับ ซึ่งผู้หญิงอ้วนๆผิวขาวคนหนึ่งที่กล้องจับไว้ช่วงหนึ่งนั่นคือคนที่แอบอ้างว่าเป็นร่างทรง
เทคนิคที่ Derren Brown ใช้คือ Cold Reading หรือจิตวิทยาการ “ล้วง” เอาข้อมูลนั่นเอง เล่นล้วงจนคนถูกทักต่อมน้ำตาไหลเลยทีเดียว ทีนี้คุณก็อาจจะเถียงว่าหมอดูในไทยจะไปรู้จักเหรอ ไอ้วิชา Cold Reading ที่ว่าเนี่ย คำตอบง่ายๆก็คือ Cold Reading เป็นสิ่งที่ติดตัวเราทุกคนอยู่แล้วครับ ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ คุณเคยทำข้อสอบแบบข้อเขียนไหมครับ เวลาคุณไม่รู้คำตอบของคำถามแต่คุณไม่อยากสอบตกคุณจะทำอย่างไร ใช่!!! คุณก็ต้องเขียนมัน แล้วคุณจะเขียนอย่างไร คำตอบก็คือคุณก็ต้องเขียนมั่วๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้มีหลักการณ์มากที่สุด และใกล้เคียงกับคำตอบที่คุณคิดว่าน่าจะเป็นมากที่สุด
หรืออีกกรณีหนึ่งคือคุณเคยสงสัยมั้ยว่าแฟนคุณมีกิ๊ก แล้วเวลาคุณเจอหน้าแฟนคุณก็มักจะมีวิธีที่คุณสามารถล้วงเอาข้อมูลได้เสมอ น้อยๆหน่อยก็เช่นการถามว่ากินข้าวหรือยัง ถ้าเขาบอกว่ายังแต่คุณแอบสงสัยว่าเขาไปกินกับกิ๊กมาหรือเปล่า คุณก็จะพาเขาไปกินข้าวแล้วดูว่าเขากินได้มากน้อยขนาดไหน หรือถ้าเขาบอกว่ากินแล้ว คุณก็จะเริ่มถามต่อว่ากินอะไร ที่ไหน จนกระทั่งไปจบที่ว่ากับใครก็ได้
นี่คือ Cold Reading
ทั้งหมดฟังดูคุ้นๆไหมครับเวลาคุณดูดวง คุณมักจะเจอการทายนิสัยก่อนว่าคุณเป็นคนอย่างนั้น อย่างนี้ เช่นถ้าผมทักว่าคุณเป็นคนใจเย็นคุณคิดว่าผมทายถูกไหม และถ้าผมทักว่าคุณเป็นคนใจร้อนคุณว่าผมทายถูกไหม ผมเชื่อว่าไม่ว่าผมจะทายอย่างไรก็ถูก เพราะคนเรามักใจเย็นกับบางเรื่องและใจร้อนกับบางเรื่องเช่นกัน แล้วแต่ว่าคุณจะเอาคำทำนายของหมอดูไปผูกกับเรื่องไหนของชีวิตคุณ
ต่อมาหมอดูก็อาจจะทายหว่านแหว่าดวงคุณดูไม่มีความสุขนะครับ ถ้าคุณตอบว่าใช่หมอดูก็อาจจะสาวต่อได้ แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่หมอดูก็จะได้ข้อมูลไปอีกแบบ ทีนี้หลังจากที่หว่านแหไปแล้วและคุณยอมรับว่าคุณมีความทุกข์จริง หมอดูก็อาจจะบอกต่อไปว่ามีความทุกข์เพราะเรื่องความรักใช่หรือไม่ ถ้าคุณตอบก็ว่าใช่ก็ลงล็อค แต่ถ้าคุณตอบว่าไม่ใช่ หมอดูก็อาจจะมีวิธีเลี่ยงไปว่า แต่ในดวงคุณมันบอกว่าคุณจะมีปัญหาเรื่องคนนะ สุดท้ายจากคำถามใช่หรือไม่ใช่ มันก็จะกลายเป็นคำตอบที่หมอดูสามารถหยิบมาทายคุณได้ทันที
ทีนี้คนที่มาดูดวงส่วนใหญ่นะครับ มักจะแบกความทุกข์มาไม่มากก็น้อย คนที่มีความทุกข์ก็พร้อมเปิดใจเพื่อให้หมอดูได้รับฟังเรื่องราวของเขาเพื่อเป็นการระบายความในใจออกไปอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับบางคนเมื่อหมอดูสะกิดเรื่องด้วยคำพูดเข้าไปนิดเดียว ก็พร้อมที่พรั่งพูล “ข้อมูล” ออกมาอยู่แล้ว (หมอดูบางคนเห็นช่องสบโอกาสตรงนี้ หลังจากที่นั่งฟังเรื่องราวของเขาและแสร้งทำท่าเห็นใจ ก็อาจจะใช้ช่องนี้ในการนำเสนอบริการรูปแบบอื่นให้กับลูกค้าก็ได้)
ดังนั้นลองนึกดูนะครับ ว่าทุกครั้งที่คุณดูดวง คุณเคยตอบคำถามอะไรไปบ้าง?
Derren Brown เขาก็ใช้วิธีนั้นแหละ!