หลวงปู่แอวหรือหลวงปู่สะอาด ปิยวัณโณ รวมอายุ91ปี มรณะภาพ 28 ส.ค. 2545 วัดกระดังงา บ้านเซินใต้ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ผู้มีใจเด็ดเดี่ยว เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาญาติโยม
เรื่องหนึ่งนั้นก็คือ เมื่อครั้งที่ท่านมีอายุประมาณ76ปี ท่านเดินเท้าไปและกลับบ้านเจ้าภาพ เส้นทางอยู่ห่างจากวัดของท่านประมาณ1.5กิโลเมตร ระหว่างทางได้มีโยมผู้ชายที่นั่งรถยนต์มาพบ นึกสงสารท่าน เพราะเป็นถนนดินลูกรัง เขาได้นิมนต์ให้ท่านขึ้นรถยนต์หลายครั้ง แต่ท่านไม่ยอมขึ้นนั่ง (ถ้าท่านตั้งใจว่าจะเดินก็คือเดิน เดินไปหน้าแล้วท่านจะไม่วอกแวก หันหลังกลับโดยเ้ด็ดขาด) เมื่อรถยนต์คันนั้นพยายามลดความเร็วติดตามตัวท่านไป ท่านจึงบอกด้วยเสียงอันดังว่า "
กูว่าบ่ ก็คือบ่" โยมคนนั้นจึงได้เลิกตามตื้อท่าน ขับรถยนต์หนีไป จากลักษณะนิสัยดังกล่าว โยมที่ไม่เข้าใจในเจตนาของท่าน ก็พาลนึกโกรธหรือเกลียดท่านไปก็มี เพราะหลวงปู่นั้นท่านไม่ต้องการข้องแวะกับโยม หรือทางโลกให้มากเกินไป อีกอย่างหนึ่งท่านเป็นตำรวจพระ อาจจะถูกคนที่ท่านเคยจับสึกเล่นงานเอาได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่นอาจจะไปใส่ร้ายว่าท่าน นั่งรถไปกับโยม สองต่อสอง ท่านจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลมไปเสีย จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง แม้แต่ตอนที่ท่านใกล้จะมรณภาพ ท่านไม่สามารถออกไปบิณฑบาตรได้ ท่านต้องหุงข้าวเช้าที่กุฏิ เพื่อไม่ให้โยมรู้ และพากันมาห้อมล้อมปฏิบัติรับใช้ ซึ่งท่านไม่ชอบแบบนั้น ท่านทำให้โยม ไม่ชอบหรือไม่นึกนิยมในตัวท่าน จะเป็นการดีเสียกว่า ในการปฏิบัติภาวนาของท่านจะได้ก้าวหน้า เพราะไม่มีใครมารบกวนนั่นเอง แต่ก็จะมีหลานชายของท่านบางคนที่รู้ ว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เคยมากราบขอพระเครื่องแต่ หลวงปู่แอวได้นำไปฝังกรุลงดินแบบง่ายๆด้วยตนเองแล้ว
ในช่วงที่ท่านรู้ว่าสังขารไม่สู้ดี ทำให้หลานแท้ๆของท่านก็ไม่ได้พระเครื่องเก่าๆของท่านไว้เลย
อีกเรื่องหนึ่งเมื่อตอนที่กำลังสร้างศาลาไม้หลังใหม่ ท่านบอกให้โยมที่อยู่ด้านล่างโยนขวานและมีดขึ้นไปให้ท่านบนหลังคา แต่โยมกลัวว่าจะโยนพลาดไปโดนตัวท่าน ท่านจึงกำชับว่าไม่ต้องกลัว โยมจึงค่อยๆหาทางโยนขึ้นไปให้ท่าน ชาวบ้านที่ไปช่วยงานในครั้งนั้น พูดกันตลกๆว่า หลวงปู่ท่านคงอยากจะทดสอบความเหนียว555
สวีดัส สวัสดี
หลวงปู่แอว วัดกระดังงา ผู้เด็ดเดี่ยว"กูว่าบ่ก็คือบ่"
เรื่องหนึ่งนั้นก็คือ เมื่อครั้งที่ท่านมีอายุประมาณ76ปี ท่านเดินเท้าไปและกลับบ้านเจ้าภาพ เส้นทางอยู่ห่างจากวัดของท่านประมาณ1.5กิโลเมตร ระหว่างทางได้มีโยมผู้ชายที่นั่งรถยนต์มาพบ นึกสงสารท่าน เพราะเป็นถนนดินลูกรัง เขาได้นิมนต์ให้ท่านขึ้นรถยนต์หลายครั้ง แต่ท่านไม่ยอมขึ้นนั่ง (ถ้าท่านตั้งใจว่าจะเดินก็คือเดิน เดินไปหน้าแล้วท่านจะไม่วอกแวก หันหลังกลับโดยเ้ด็ดขาด) เมื่อรถยนต์คันนั้นพยายามลดความเร็วติดตามตัวท่านไป ท่านจึงบอกด้วยเสียงอันดังว่า "กูว่าบ่ ก็คือบ่" โยมคนนั้นจึงได้เลิกตามตื้อท่าน ขับรถยนต์หนีไป จากลักษณะนิสัยดังกล่าว โยมที่ไม่เข้าใจในเจตนาของท่าน ก็พาลนึกโกรธหรือเกลียดท่านไปก็มี เพราะหลวงปู่นั้นท่านไม่ต้องการข้องแวะกับโยม หรือทางโลกให้มากเกินไป อีกอย่างหนึ่งท่านเป็นตำรวจพระ อาจจะถูกคนที่ท่านเคยจับสึกเล่นงานเอาได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่นอาจจะไปใส่ร้ายว่าท่าน นั่งรถไปกับโยม สองต่อสอง ท่านจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลมไปเสีย จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง แม้แต่ตอนที่ท่านใกล้จะมรณภาพ ท่านไม่สามารถออกไปบิณฑบาตรได้ ท่านต้องหุงข้าวเช้าที่กุฏิ เพื่อไม่ให้โยมรู้ และพากันมาห้อมล้อมปฏิบัติรับใช้ ซึ่งท่านไม่ชอบแบบนั้น ท่านทำให้โยม ไม่ชอบหรือไม่นึกนิยมในตัวท่าน จะเป็นการดีเสียกว่า ในการปฏิบัติภาวนาของท่านจะได้ก้าวหน้า เพราะไม่มีใครมารบกวนนั่นเอง แต่ก็จะมีหลานชายของท่านบางคนที่รู้ ว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เคยมากราบขอพระเครื่องแต่ หลวงปู่แอวได้นำไปฝังกรุลงดินแบบง่ายๆด้วยตนเองแล้ว
ในช่วงที่ท่านรู้ว่าสังขารไม่สู้ดี ทำให้หลานแท้ๆของท่านก็ไม่ได้พระเครื่องเก่าๆของท่านไว้เลย
อีกเรื่องหนึ่งเมื่อตอนที่กำลังสร้างศาลาไม้หลังใหม่ ท่านบอกให้โยมที่อยู่ด้านล่างโยนขวานและมีดขึ้นไปให้ท่านบนหลังคา แต่โยมกลัวว่าจะโยนพลาดไปโดนตัวท่าน ท่านจึงกำชับว่าไม่ต้องกลัว โยมจึงค่อยๆหาทางโยนขึ้นไปให้ท่าน ชาวบ้านที่ไปช่วยงานในครั้งนั้น พูดกันตลกๆว่า หลวงปู่ท่านคงอยากจะทดสอบความเหนียว555
สวีดัส สวัสดี