สิ่งที่เรียกว่า "ความฝัน" ไม่สำคัญเท่า "ความชอบ"

สืบเนื่องจากกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/31619948
เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ค่ะ

-----------------------------
อาชีพในฝัน : เราไม่เคยมีอาชีพฝันแบบชัดเจนค่ะ เหมือนกับเด็กๆอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ตอนเด็กเราก็อยากเป็นนู่นนี่นันไปเรื่อย ตั้งแต่กระเป๋ารถเมล์ (เอากล่องดินสอมาฉีกตั๋ว) จนถึงครู ทหาร พยาบาล แอร์โฮสเตส ไกด์ ฯลฯ สารพัดค่ะ แล้วแต่วันไหนปิ๊งไอเดียหรือหาพรอพมาเล่นได้

แต่รู้แน่ชัดอยู่อย่างนึงว่า ตัวเองเป็นคนชอบวาดเขียน ชอบวาดรูป ไม่ชอบเลข อันนี้ชัดเจน!

ม.ปลายเราเลยเลือกเรียนศิลป์ภาษา
เรียนจบอยากจะไปเรียนต่อไทยวิจิตรศิลป์ แม่ไม่ยอม เลยต้องเอ็นทรานซ์ (คงรู้นะว่าแก่แค่ไหน 55) เราเลือกคณะที่จะเอ็นท์เอง ตอนนั้นก็เลือกแต่คณะศิลปกรรม จิตรกรรม จุฬา ศิลปากร ไม่เลือกคณะอื่นเลยวนเวียนอยู่แค่นี้ ไปติววาดภาพที่จุฬากับที่ศิลปากร เห็นโลกกว้าง ค้นพบชัดเจนเลยว่า คนที่เก่งกว่าเรามีมากเหลือเกิน ไอ้ที่เราว่าเราชอบ เราวาดได้ เราวาดสวยกว่าเพื่อนทั้งห้อง ทั้งโรงเรียน ที่เป็นตัวแทนไปวาดภาพประกวดตามฝาผนังโรงเรียนต่างๆ แล้วได้รางวัลนั่นกระจอกไปเลยเมื่อเทียบกับคนที่เราเจอตอนติว แล้วก็เป็นจริงตามนั้นคือ เอ็นท์ไม่ติด

มาสอบราชภัฎด้วยความสำนึกว่า จะไม่เลือกวิชาศิลปกรรมอีกแล้ว เพราะเราไม่เก่งเลย แค่วาดได้ สุดท้ายก็สอบติดคณะการจัดการ เอกนิเทศศาสตร์ เรียนมาปี 2 ให้เลือกสาขา มีวิทยุโทรทัศน์ก็ไม่ชอบการเข้าห้องอัดควบคุมอุปกรณ์ต่างๆนานา จะเลือกประชาสัมพันธ์ก้ไม่ใช่คนเฟรนด์ลี่แต่งกายดีอะไรขนาดนั้น สิ่งพิมพ์น่ะหรือต้องเขียนบทความต้องสัมภาษณ์คนนู้นคนนี้ก็ไม่ใช่อีก เลยมาจบที่สาขาโฆษณาเพราะใกล้เคียงความชอบที่สุด คือได้วาดรูปสตอรี่บอร์ดแน่ๆ นั่นแหละ ใช่เลย!!

เรียนถึงปี 3 เทอม 2 ระหว่างทางกลับบ้าน ผ่านอาคารที่แสดงนิทรรศการนักศึกษาเลยแวะเข้าไปดู แม่เจ้า....คณะนิเทศศิลป์ เรียนออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ มันมีคณะนี้ด้วยหรือนี่ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ชั้นเจอสิ่งที่ใช่จริงๆแล้ววว!! อยากเรียนมากแต่มันก็ช้าไปแล้วที่จะถอนตัวนิเทศศาสตร์ เพราะปี 4 ก็จะจบแล้ว มีการทำวิทยานิพนธ์ มีฝึกงานที่รออยู่ ก็เลยทำใจเรียนต่อไป

ตอนฝึกงานไปฝึกที่การไฟฟ้านครหลวงกับเพื่อน 4 คน พอไปถึงหัวหน้าให้เลือกว่าจะรับผิดชอบทำอะไร เราก็เลือกเลย ทำสื่อประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร ชอบอยู่แล้ว แม้จะทำ Photoshop ได้งูๆปลาๆจากที่เรียนมาก็โอเค ทำไปจนฝึกงานเสร็จ ส่งวิทยานิพนธ์ เรียนจบ

เริ่มชีวิตทำงาน
การเรียนนิเทศศาสตร์หางานยากมากในตอนนั้นเพราะคนเรียนจบเยอะ ทั้งที่จบจากมหาลัยรัฐและที่จบจากม.เอกชน มารวมกับคนที่จบราชภัฏอีก เรียกว่าโอกาสที่จะได้งานน้อยถึงน้อยมากทีเดียว หางานอยู่ครึ่งปี ไม่ได้งานเลย ขอบอกเลยว่าตอนเรียนม.ปลายจนถึงมหาวิทยาลัยเราเป็นคนที่ทำงานพิเศษตอนปิดเทอมตลอด ตอนเรียนมหาลัยทำงานพิเศษตอนเย็นวันเรียนปกติด้วย ทำตั้งแต่พนักงานเสิร์ฟ คนทำรีเสิร์ชกรอกแบบสอบถาม พนักงานรับโทรศัพท์+ส่งข้อความของเพจเจอร์ยี่ห้อ postel พนักงานร้านเน็ตคาเฟ่ที่สยามดิสคัพเวอรี่ เราไม่ได้ทำงานเพราะต้องการเงินแต่เราทำเพราะชอบ ชอบที่ได้เจอคน ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ ฝึกทักษะต่างๆ ได้พูดภาษาอังกฤษ ได้พิมพ์คอมพ์เก่งๆ (พนักงานเพจเจอร์ต้องพิมพ์ไวมากนะคะ คือต้องพิมพ์ตามที่คนพูดให้ทัน) ที่บอกเรื่องงานพิเศษต่างๆเพื่อจะบอกว่า เราหางานมาครึ่งปีแล้วไม่ได้นี่ไม่ใช่เพราะเราเลือกงานหรือหนักไม่เอาเบาไม่สู้แน่นอน

ในที่สุดก้ได้ทำงานที่บริษัทหนังสือแห่งหนึ่ง ตอนสมัครๆตำแหน่งธุรการ คือทำงานทั่วไปจริงๆ บอกเลยว่าตอนนั้นคืออยากมีงานทำมาก ตำแหน่งอะไรก็สมัครหมด ขอแค่พอทำได้ ตอนสัมภาษณ์เจ้านายเห็นประวัติว่าจบนิเทศศาสตร์ เค้าเลยถามว่าทำคอมพ์เป็นไม๊ อยากลองทำงานฝ่ายอาร์ตดูหรือเปล่า เราบอกว่าพอทำ Photoshop เป็นเค้าเลยให้ลองทำดูก่อน เรายังจำได้ว่าตอนนั้นยังใช้โปแกรม illus วาดวงกลมไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องขอขอบคุณทางบริษัทที่ให้โอกาสเราในวันนั้นและขอบคุณพี่ๆฝ่ายอาร์ตที่สอนงาน มา ณ ที่นี้

หลังจากนั้นเราก็ทำงานออกแบบมาโดยตลอด และรู้สึกดีใจที่ตัวเองได้ทำงานนี้ มีไม่กี่คนที่สามารถทำในสิ่งที่ชอบเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ แต่การทำงานก็ไม่ได้มีแต่ความสวยงาม งานทุกงานมีอุปสรรคและปัญหา ที่ทำงานทุกที่มีทั้งคนดีและไม่ดี ดังนั้นเราต้องฝึกให้ตัวเองมองแต่ด้านที่ดี ด้านที่ดีของเราคือได้ทำงานที่ชอบ เรามองปัญหาที่เหลือนั้นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่เราต้องอดทน เราทำงานในฐานะพนักงานออฟฟิศมา 10 ปี มีเงินเก็บไม่ถึงหมื่น พอมาถึงวันนี้เรานึกลองออกมาทำงานฟรีแลนซ์ดู เพื่อให้ตัวเองได้พัฒนาประสบการณ์ด้านอื่นนอกจากการนั่งหน้าจอคอมพ์ตลอดเวลา การทำงานฟรีแลนซ์ทำให้เราต้องคิดค่าใช้จ่ายแต่ละงาน ออกใบเสนอราคาเอง จัดการเรื่องภาษีเอง พูดคุยต่อรองกับลูกค้าเอง มีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอง หา Supplyer เอง จิปาถะมากมาย ถึงจะยุ่งขึ้นมากแต่เรามีเงินเก็บล้านกว่าบาทภายใน 2 ปี โดยแต่ละเดือนยังมีการใช้เงินมากกว่าตอนทำงานออฟฟิศและได้ไปเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้นเท่าตัว ไม่รวมเวลานอนตื่นสายที่มีมากขึ้น

สิ่งที่อยากบอกคือ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่ว่าง่ายหรือไม่เจอปัญหา ไม่ใช่ว่ารวย มีการศึกษาสูง เรียนเมืองนอก จบมหาลัยชื่อดัง อย่างเดียวที่เรายึดไว้คือ เราเพียงแต่รู้ว่าเราชอบทำอะไร และพยายามที่จะเก็บความชอบนั้นให้อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด เลือกมันทุกครั้งที่เรามีโอกาสเลือก คว้าไว้ทุกโอกาสที่เกี่ยวข้องกับมัน อดทนและซื่อสัตย์กับตนเอง ตั้งใจทำงานทุกชิ้นไม่ว่าผลตอบแทนของมันจะมากหรือน้อยหรือไม่มีเลยก็ตาม เมื่อไหร่ที่ท้อเราจะหยุดพักและมองไปรอบตัวว่าจะมีซักกี่คนที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ มองผ่านปัญหาและอุปสรรคต่างๆ แก้ไขเท่าที่เราทำได้ อะไรจะเกิดหลังจากนั้นก็ปล่อยมันไป

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนเดินตามความชอบของตัวเอง งานวันนี้ยังไม่ใช่งานที่ชอบก็ต้องทำให้ดี แต่อย่าหยุดที่จะมองหาสิ่งนั้น ถ้าเราหมั่นเลือกมันอยู่เสมอ มองหามันอยู่เสมอ ซักวันนึงมันจะเป็นของเราแน่นอนค่ะ! สู้ๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่