มีประสบการณ์อยากมาแบ่งปันค่ะ ไม่อยากให้เรื่องราวของเราหายไป เราคิดว่าเรื่องราวของเรามันสุขปนเศร้า สนุกสนานในบางเวลาด้วยค่ะ
ความจริงพ่อของเราเคยบอกว่าให้เราเขียนเป็นหนังสือ แต่เราคิดว่ามันเกินเือื้อม และไม่ได้มีเนื้อหามากมายขนาดนั้น เป็นแค่เรื่องสั้นๆ
ในระยะเวลา 2 ปีครึ่งของเราค่ะ
... เริ่มนะคะ ..
เราเองบอกเลยว่าตอนเรียนเป็นเด็กเกเรไม่ตั้งใจเรียนค่ะ ที่ขึ้นชื่อเลยคือเรื่องโดดเรียน หลับในห้อง สมัยมหาวิทยาลัย เราเองอยากเป็นโปรแกรมเมอร์
เพราะชอบเล่นเกม ติดเกม พ่อเองก็เป็นครูสอนคอมพิวเตอร์ เลยได้สัมผัสกับคอมพิวเตอร์มาตลอด
เราคิดว่าเราเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งค่ะ ที่หัวสมองไม่ได้แย่นัก ไม่ค่อยตั้งใจเรียนแต่ผลการเรียนกลับออกมากลางๆ ค่อนไปทางดี เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย
เราเลยคิดจะเบนเข็มไปทางครู เพราะจบมาก็เขียนโปรแกรมได้งูๆ ปลาๆ ไปทางโปรแกรมเมอร์ไม่รอดแน่ๆ เลยเริ่มจากไปเป็นครูจ้างสอนรายชั่วโมงที่โรงเรียนพ่อในวิชาคอมพิวเตอร์ ระหว่างนั้นเรียนวุฒิครูไปด้วย เมื่อจบ 1 ปี เราก็สอบบรรจุค่ะ เราเลือกเขตที่ป่าๆ ไกลๆ เขตที่เราไปสอบห่างจากบ้านเรา 280 กิโลเมตรค่ะ (บ้านเราอยู่ห่าง จาก กทม. ประมาณ 100 กิโลเมตร) ผลปรากฎว่าเราสอบได้ที่ 1 ค่ะ (บอกแล้วว่าเรามากับโชค อิอิ) โชคดีคือสอบได้บรรจุเป็นข้าราชการดั่งใจพ่อแม่ และเราหวัง โชคร้ายคือเราไม่มีสิทธิ์เลือกโรงเรียนค่ะ คนที่เคยสอบเป็นข้าราชการคงพอทราบดีนะคะ ว่า การสอบบรรจุนั้น ถ้าเค้าต้องการ 1 ตำแหน่ง ที่ 1 จะได้เลยไม่มีการขอรอ แต่ถ้าเป็นอันดับถัดมา บางทีมีโอกาสเลือกโรงเรียนค่ะ ค่ะแต่ทั้งหมดทั้งสิ้นเราไม่ถือว่าเป็นความโชคร้ายนะคะ เราถือว่าเราโชคดี เรียนจบได้บรรจุเลย โรงเรียนที่เราไปบรรจุนั้น อยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอค่ะ ประมาณ 7 กิโลเมตร (เราขับมอเตอร์ไซค์เข้าตลาดเกือบทุกวันค่ะ บางวันก็หลายรอบ) โรงเรียนสวยมากค่ะ อยู่บนเนินเขา ทุกคนจะรู้ว่าโรงเรียนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเสมือนรีสอท เพราะบรรยากาศและอากาศดีมากๆ
- ก้าวแรกชีวิตครูต่างด้าว -
ในวันแรกเราได้รับมอบหมายงานให้ประจำชั้น ป.3 ตอนนั้นเราค่อนข้างเครียดนิดหนึ่งค่ะ เพราะไม่เคยสอนเด็กเล็กตอนเป็นลูกจ้างได้สอนในชั้น ม.2-3 แต่เอาเข้าจริง สอนระดับนี้สำหรับเราดีที่สุดค่ะ เข้าไปวันแรก แปลกใจนิดหน่อยค่ะ เพราะในห้องของเรา มีเด็กอายุ 16 -17 ไม่ผิดค่ะ 16-17 เพราะเราได้สอนห้อง ป.3/2 ซึ่ง เป็นเด็กนอก (ที่นั่นเค้าเรียกแบบนั้นค่ะ สำหรับเด็กต่างด้าว) พวกนี้ไม่มีนามสกุลนะคะ ชื่อก็จะเป็นชื่อแปลกๆ เช่น โก แหง่ สะหนี่ ไม่มีใครอายุตามเกณฑ์เลยค่ะ เพราะตามเกณฑ์ต้อง 9 ขวบ เด็กๆ ค่อนข้างจะเป็นวัยรุ่น พูดกันไม่ค่อยชัด แต่บางคนก็เหมือนคนไทยทีเดียวค่ะ พวกมอญส่วนใหญ่จะหน้าตาดี โรงเรียนของเรา เท่าที่ทราบประกอบไปด้วย พม่า (อันนี้ส่วนใหญ่ของโรงเรียน) ลาว (ลาวจากพม่านะคะ แต่ก็พูดลาว) เขมร เนปาล ขมูก (อันนี้ไม่แน่ใจว่าคือสัญญาตใด) มอญ ฯลฯ อันนี้เท่าที่จำได้นะคะยังมีพวกชนเผ่าอีก เด็กพวกนี้น่ารักค่ะ แต่ค่อนข้างจะโวยวายเสียงดังนิดหน่อย แต่คุณครูดุกันมากค่ะ เด็กๆ เลยไม่ค่อยกล้ากับครู ตอนหลังย้ายกลับบ้านมานักเรียนบอกว่าเราใจดีที่สุดในโรงเรียนแล้ว อ่อ นอกจากนี้เราได้สอนคอมตามปกติของเราด้วยค่ะ แต่ตียาว ป.1-6
- ครูคอมฯ -
คอมพิวเตอร์ที่นี่มีถึง 30 เครื่องค่ะ แต่!! ใช้แทบไม่ได้เลยค่ะ คำสั่งแรกที่เราได้รับมาคือ "ยำคอม" ตายละสิ เรานึกในใจ คอมของเราเองเวลาเสีย ยังส่งร้านซ่อมเพราะไม่ได้สนใจเรื่องซ่อมประกอบเลย เราก็พยายามทำนะคะ แต่ทำไม่สำเร็จค่ะ อย่างที่บอกแต่แรกว่าเราเกเร และเป็นคนขี้เกียจมากๆ -*- เราก็ตีมึนค่ะ มีแค่ไหนเรียนแค่นั้น หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ห้องคอมใหม่ค่ะ เราเลยสอนอย่างสะดวกโยธิน เด็กที่นี่ ไม่คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ค่ะ บางคนเพิ่งเคยจับครั้งแรก เราบอกให้จับเม้าส์นักเรียนมือสั่นด้วยค่ะ แต่เด็กๆ ว่าง่ายค่ะ บอกให้ทำอะไรก็ทำ ห้ามไม่ให้ทำอะไรก็เชื่อ สำหรับวิชาคอมพิวเตอร์ เราว่าสอนง่ายกว่าสอนเด็กในเมืองค่ะ เพราะนักเรียนไม่คิดอะไรนอกลู่นอกทางเลย พวกเค้าตื่นเต้นกับการเรียนคอมพิวเตอร์มาก สนุกสนานกับบทเรียนที่เราได้สอน เรียกว่าแค่เอาเม้าส์ไปโดน start menu แล้วมีสีสว่างวาบ ก็ตื่นเต้นกันแล้วค่ะ มันทำให้เรากระตือรือร้นในการสอนมาก สนุกกับการเรียนรู้ไปกับเด็กๆ เด็กๆ ได้ท่องโลกอินเตอร์เน็ต ได้เห็นในโลกที่ไม่เคยเห็น เราชอบเอาเรื่องเด็กในเมืองมาเล่าให้เด็กๆ ฟังค่ะ ว่าพวกเค้าต้องเรียนพิเศษ ได้เล่นเกม บลาๆๆ เด็กๆ ตั้งใจฟังมาก ทำหน้าไม่อยากเชื่อค่ะ เพราะในโลกของพวกเค้า กลับบ้านไปต้องทำงานค่ะ หน้าหน่อไม้ ต้องเข้าป่าเพื่อไปตัดหน่อไม้ ผู้หญิงต้องรู้จักหุงหาอาหารซักผ้า บางคนที่เป็นลูกจ้างสวนยางก็ต้อง ตื่นเช้ามากรีดยาง ส่วนคนที่อาีชีพอิสระ ก็ต้องไปทำงานก่อสร้างช่วยพ่อแม่
- ครูขา ช่วยน้องหนูด้วย -
เราใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนได้ประมาณ 2 เดือน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ มาลาเลีย กำลังระบาด ภาพนี้เราจำติดตาเลยค่ะ เป็นช่วงระหว่างเปลี่ยนวิชาเราเดินไปเข้าห้องน้ำ เห็นเด็กมุงกันอยู่ เราเดินไปดูกับพี่อีกคน เด็กนอนชักกับพื้นค่ะ ตาขวาง สักพักลุกขึ้นมา แล้วทำตาขวาง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเด็ก ป.1 นะคะ พี่สาวเค้าอยู่ห้องเรา ป.3 พี่สาวร้องไห้อย่างหนักเลยค่ะ ตอนนั้นเราเข้าใจเลยที่เค้าบอกว่าผีเข้า เด็กมีอาการเหมือนในละครเลยค่ะ ตอนแรกเราคิดว่าเด็กแกล้ง เด็กมีอาการตาขวาง คอบิดไปข้างๆ ถ่มน้ำลายด้วยนะคะ น้ำลายจะเป็นสีขาวข้นๆ พี่ครูผู้ชายอีกคนมาช่วยยังบอกว่า เธอทำให้มันดีดีสิ (เราคิดว่าพี่เค้าก็คิดว่าเด็กแกล้งค่ะ) คนพี่มากอดขาเราร้องไห้อย่างหนักเลยค่ะ ภาพนี้สะเทือนใจเรามาก "ครูขา ครูขา ช่วยน้องหนูด้วย ช่วยน้องหนูด้วย" สะอึกสะอื้นพูดก็ไม่ชัด หันไปพูดพม่ากับน้องเขย่าน้อง ดีว่าโรงเรียนเราอยู่ติดกับสถานีอนามัยค่ะ เลยช่วยกันพาเด็กไปที่อนามัย เราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้นะคะ แต่รู้สึกหมอจะบอกว่าเด็กป่วยเป็นไข้อะไรสักอย่าง จะมีอาการคอแข็งกลืนน้ำลายไม่เข้า (สาเหตุที่ต้องถ่มน้ำลาย) หมอบอกว่าถ้าเจอแบบนี้ ใ้ห้เอาถุงพลาสติกครอบปากค่ะ
*** เดี๋ยวมาต่อนะคะ ***
เรื่องเล่าจากครูบนเขา
ความจริงพ่อของเราเคยบอกว่าให้เราเขียนเป็นหนังสือ แต่เราคิดว่ามันเกินเือื้อม และไม่ได้มีเนื้อหามากมายขนาดนั้น เป็นแค่เรื่องสั้นๆ
ในระยะเวลา 2 ปีครึ่งของเราค่ะ
... เริ่มนะคะ ..
เราเองบอกเลยว่าตอนเรียนเป็นเด็กเกเรไม่ตั้งใจเรียนค่ะ ที่ขึ้นชื่อเลยคือเรื่องโดดเรียน หลับในห้อง สมัยมหาวิทยาลัย เราเองอยากเป็นโปรแกรมเมอร์
เพราะชอบเล่นเกม ติดเกม พ่อเองก็เป็นครูสอนคอมพิวเตอร์ เลยได้สัมผัสกับคอมพิวเตอร์มาตลอด
เราคิดว่าเราเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งค่ะ ที่หัวสมองไม่ได้แย่นัก ไม่ค่อยตั้งใจเรียนแต่ผลการเรียนกลับออกมากลางๆ ค่อนไปทางดี เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย
เราเลยคิดจะเบนเข็มไปทางครู เพราะจบมาก็เขียนโปรแกรมได้งูๆ ปลาๆ ไปทางโปรแกรมเมอร์ไม่รอดแน่ๆ เลยเริ่มจากไปเป็นครูจ้างสอนรายชั่วโมงที่โรงเรียนพ่อในวิชาคอมพิวเตอร์ ระหว่างนั้นเรียนวุฒิครูไปด้วย เมื่อจบ 1 ปี เราก็สอบบรรจุค่ะ เราเลือกเขตที่ป่าๆ ไกลๆ เขตที่เราไปสอบห่างจากบ้านเรา 280 กิโลเมตรค่ะ (บ้านเราอยู่ห่าง จาก กทม. ประมาณ 100 กิโลเมตร) ผลปรากฎว่าเราสอบได้ที่ 1 ค่ะ (บอกแล้วว่าเรามากับโชค อิอิ) โชคดีคือสอบได้บรรจุเป็นข้าราชการดั่งใจพ่อแม่ และเราหวัง โชคร้ายคือเราไม่มีสิทธิ์เลือกโรงเรียนค่ะ คนที่เคยสอบเป็นข้าราชการคงพอทราบดีนะคะ ว่า การสอบบรรจุนั้น ถ้าเค้าต้องการ 1 ตำแหน่ง ที่ 1 จะได้เลยไม่มีการขอรอ แต่ถ้าเป็นอันดับถัดมา บางทีมีโอกาสเลือกโรงเรียนค่ะ ค่ะแต่ทั้งหมดทั้งสิ้นเราไม่ถือว่าเป็นความโชคร้ายนะคะ เราถือว่าเราโชคดี เรียนจบได้บรรจุเลย โรงเรียนที่เราไปบรรจุนั้น อยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอค่ะ ประมาณ 7 กิโลเมตร (เราขับมอเตอร์ไซค์เข้าตลาดเกือบทุกวันค่ะ บางวันก็หลายรอบ) โรงเรียนสวยมากค่ะ อยู่บนเนินเขา ทุกคนจะรู้ว่าโรงเรียนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเสมือนรีสอท เพราะบรรยากาศและอากาศดีมากๆ
- ก้าวแรกชีวิตครูต่างด้าว -
ในวันแรกเราได้รับมอบหมายงานให้ประจำชั้น ป.3 ตอนนั้นเราค่อนข้างเครียดนิดหนึ่งค่ะ เพราะไม่เคยสอนเด็กเล็กตอนเป็นลูกจ้างได้สอนในชั้น ม.2-3 แต่เอาเข้าจริง สอนระดับนี้สำหรับเราดีที่สุดค่ะ เข้าไปวันแรก แปลกใจนิดหน่อยค่ะ เพราะในห้องของเรา มีเด็กอายุ 16 -17 ไม่ผิดค่ะ 16-17 เพราะเราได้สอนห้อง ป.3/2 ซึ่ง เป็นเด็กนอก (ที่นั่นเค้าเรียกแบบนั้นค่ะ สำหรับเด็กต่างด้าว) พวกนี้ไม่มีนามสกุลนะคะ ชื่อก็จะเป็นชื่อแปลกๆ เช่น โก แหง่ สะหนี่ ไม่มีใครอายุตามเกณฑ์เลยค่ะ เพราะตามเกณฑ์ต้อง 9 ขวบ เด็กๆ ค่อนข้างจะเป็นวัยรุ่น พูดกันไม่ค่อยชัด แต่บางคนก็เหมือนคนไทยทีเดียวค่ะ พวกมอญส่วนใหญ่จะหน้าตาดี โรงเรียนของเรา เท่าที่ทราบประกอบไปด้วย พม่า (อันนี้ส่วนใหญ่ของโรงเรียน) ลาว (ลาวจากพม่านะคะ แต่ก็พูดลาว) เขมร เนปาล ขมูก (อันนี้ไม่แน่ใจว่าคือสัญญาตใด) มอญ ฯลฯ อันนี้เท่าที่จำได้นะคะยังมีพวกชนเผ่าอีก เด็กพวกนี้น่ารักค่ะ แต่ค่อนข้างจะโวยวายเสียงดังนิดหน่อย แต่คุณครูดุกันมากค่ะ เด็กๆ เลยไม่ค่อยกล้ากับครู ตอนหลังย้ายกลับบ้านมานักเรียนบอกว่าเราใจดีที่สุดในโรงเรียนแล้ว อ่อ นอกจากนี้เราได้สอนคอมตามปกติของเราด้วยค่ะ แต่ตียาว ป.1-6
- ครูคอมฯ -
คอมพิวเตอร์ที่นี่มีถึง 30 เครื่องค่ะ แต่!! ใช้แทบไม่ได้เลยค่ะ คำสั่งแรกที่เราได้รับมาคือ "ยำคอม" ตายละสิ เรานึกในใจ คอมของเราเองเวลาเสีย ยังส่งร้านซ่อมเพราะไม่ได้สนใจเรื่องซ่อมประกอบเลย เราก็พยายามทำนะคะ แต่ทำไม่สำเร็จค่ะ อย่างที่บอกแต่แรกว่าเราเกเร และเป็นคนขี้เกียจมากๆ -*- เราก็ตีมึนค่ะ มีแค่ไหนเรียนแค่นั้น หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ห้องคอมใหม่ค่ะ เราเลยสอนอย่างสะดวกโยธิน เด็กที่นี่ ไม่คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ค่ะ บางคนเพิ่งเคยจับครั้งแรก เราบอกให้จับเม้าส์นักเรียนมือสั่นด้วยค่ะ แต่เด็กๆ ว่าง่ายค่ะ บอกให้ทำอะไรก็ทำ ห้ามไม่ให้ทำอะไรก็เชื่อ สำหรับวิชาคอมพิวเตอร์ เราว่าสอนง่ายกว่าสอนเด็กในเมืองค่ะ เพราะนักเรียนไม่คิดอะไรนอกลู่นอกทางเลย พวกเค้าตื่นเต้นกับการเรียนคอมพิวเตอร์มาก สนุกสนานกับบทเรียนที่เราได้สอน เรียกว่าแค่เอาเม้าส์ไปโดน start menu แล้วมีสีสว่างวาบ ก็ตื่นเต้นกันแล้วค่ะ มันทำให้เรากระตือรือร้นในการสอนมาก สนุกกับการเรียนรู้ไปกับเด็กๆ เด็กๆ ได้ท่องโลกอินเตอร์เน็ต ได้เห็นในโลกที่ไม่เคยเห็น เราชอบเอาเรื่องเด็กในเมืองมาเล่าให้เด็กๆ ฟังค่ะ ว่าพวกเค้าต้องเรียนพิเศษ ได้เล่นเกม บลาๆๆ เด็กๆ ตั้งใจฟังมาก ทำหน้าไม่อยากเชื่อค่ะ เพราะในโลกของพวกเค้า กลับบ้านไปต้องทำงานค่ะ หน้าหน่อไม้ ต้องเข้าป่าเพื่อไปตัดหน่อไม้ ผู้หญิงต้องรู้จักหุงหาอาหารซักผ้า บางคนที่เป็นลูกจ้างสวนยางก็ต้อง ตื่นเช้ามากรีดยาง ส่วนคนที่อาีชีพอิสระ ก็ต้องไปทำงานก่อสร้างช่วยพ่อแม่
- ครูขา ช่วยน้องหนูด้วย -
เราใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนได้ประมาณ 2 เดือน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ มาลาเลีย กำลังระบาด ภาพนี้เราจำติดตาเลยค่ะ เป็นช่วงระหว่างเปลี่ยนวิชาเราเดินไปเข้าห้องน้ำ เห็นเด็กมุงกันอยู่ เราเดินไปดูกับพี่อีกคน เด็กนอนชักกับพื้นค่ะ ตาขวาง สักพักลุกขึ้นมา แล้วทำตาขวาง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเด็ก ป.1 นะคะ พี่สาวเค้าอยู่ห้องเรา ป.3 พี่สาวร้องไห้อย่างหนักเลยค่ะ ตอนนั้นเราเข้าใจเลยที่เค้าบอกว่าผีเข้า เด็กมีอาการเหมือนในละครเลยค่ะ ตอนแรกเราคิดว่าเด็กแกล้ง เด็กมีอาการตาขวาง คอบิดไปข้างๆ ถ่มน้ำลายด้วยนะคะ น้ำลายจะเป็นสีขาวข้นๆ พี่ครูผู้ชายอีกคนมาช่วยยังบอกว่า เธอทำให้มันดีดีสิ (เราคิดว่าพี่เค้าก็คิดว่าเด็กแกล้งค่ะ) คนพี่มากอดขาเราร้องไห้อย่างหนักเลยค่ะ ภาพนี้สะเทือนใจเรามาก "ครูขา ครูขา ช่วยน้องหนูด้วย ช่วยน้องหนูด้วย" สะอึกสะอื้นพูดก็ไม่ชัด หันไปพูดพม่ากับน้องเขย่าน้อง ดีว่าโรงเรียนเราอยู่ติดกับสถานีอนามัยค่ะ เลยช่วยกันพาเด็กไปที่อนามัย เราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้นะคะ แต่รู้สึกหมอจะบอกว่าเด็กป่วยเป็นไข้อะไรสักอย่าง จะมีอาการคอแข็งกลืนน้ำลายไม่เข้า (สาเหตุที่ต้องถ่มน้ำลาย) หมอบอกว่าถ้าเจอแบบนี้ ใ้ห้เอาถุงพลาสติกครอบปากค่ะ
*** เดี๋ยวมาต่อนะคะ ***