เรื่องย่อ "มาลีเริงระบำ"
เสียงเพลงดังมาจากห้องน้ำหลังบ้านไม้ในหมู่บ้านชนบท ห้องน้ำคือเวที ฝักบัวคือไมโครโฟน กระจกอยู่ตรงหน้า “หนูมาลี” เป็นสาวเหนือจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดเงียบสงบทางภาคเหนือ หนูมาลีเติบโตมาด้วยน้ำมือปู่คนเก่งชอบช่วยเหลือแต่เป็นอัลไซเมอร์ชื่อ “ปู่เชื้อ” และย่าหูตึงใจดีแต่มักทำผิดเพราะฟังไม่ได้ยินชื่อ “ย่าหงส์” ดอกหนูมาลีดอกงามเติบโตอย่างไม่มีพ่อแม่ด้วยมือคนแก่ หนูมาลีจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับทีวีและวิทยุแทบทั้งวัน
หนูมาลีมีความฝันว่าตนจะได้มีโอกาสเข้าร่วมประกวดร้องเพลงแล้วชนะเลิศ และได้พบพ่อบังเกิดเกล้า “เรืองยศ” หรือ พ่อเรือง ที่เข้าไปทำงานในกรุงเทพ
ทุกๆเดือนหนูมาลีจะไปที่ไปรษณีย์เพื่อรับเงินที่พ่อเรืองส่งมาให้ ภาพจำสุดท้ายของหนูมาลี คือเมื่อตอนสามขวบ พ่อเรืองในชุดทหารเกณฑ์ เอาข้าวของมากมายมาเยี่ยมปู่ย่า และเข้ามากอดหนูมาลีอย่างรักใคร่ หลังจากนั้นพ่อก็ได้แต่ส่งเงินและจดหมายมา ทุกๆวันสงกรานต์ ปู่ ย่า และหนูมาลี จะไปรอที่ปากทางหมู่บ้านแต่พ่อเรืองก็ไม่มา ปู่บอกว่า พ่อเป็นทหารที่เก่งมาก ป่านนี้คงเป็นเจ้าคนนายคน จึงส่งเงินและจดหมายที่มีแต่ความห่วงใยกลับมาบ้านได้สม่ำเสมอ ปู่และย่าภูมิใจในตัวพ่อเรืองมาก
สำหรับหนูมาลี พ่อเรืองคือดวงใจ คือจุดหมาย คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องมีแม่ ! ปู่เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อเรืองกับแม่เป็นเพื่อนนักเรียนกัน ทั้งสองแอบได้เสียกันตอนงานลอยกระทง แม่ของหนูมาลีเกิดท้อง ด้วยความที่แม่ของหนูมาลีใฝ่แสงสีในเมืองหลวง หลังจากคลอดลูกก็ทิ้งลูกไว้แล้วหนีเข้ากรุงเทพ พ่อเรืองคนนี้เองที่ไปตระเวณหาลูก ถึงกับต้องขโมยเด็กขึ้นรถสองแถวหนีจากสังคมสงเคราะห์ เรืองยศพาหนูมาลีกลับบ้านมาให้พ่อกับแม่เลี้ยง แล้วดิ้นรนไปหางานทำในเมืองหลวงเพื่อส่งเสียให้หนูมาลีได้เรียนสูงๆ ให้พ่อกับแม่ได้มีเงินรักษาตัวยามเจ็บไข้ พ่อเรืองพูดคุยกับหนูมาลีทางจดหมายปีละครั้ง แต่หนูมาลีส่งจดหมายถึงพ่อเสมอทุกเดือน สิ่งเดียวที่หนูมาลีไม่เข้าใจคือ ทำยังไงพ่อเรืองก็ไม่ยอมให้หนูมาลีออกจากหมู่บ้านไปหาพ่อที่กรุงเทพ ทุกครั้งที่หนูมาลีส่งจดหมายก็ได้แต่ส่งเข้าตู้ไปรษณีย์เลขที่ 14 ไปรษณีย์รัชดา โดยไม่บ่งบอกที่อยู่ใดๆ
เมื่อหนูมาลีเรียนจบม.6 หนูมาลีตัดสินใจแน่วแน่ จะเข้ากรุงเทพไปหาพ่อ หนูมาลีตั้งใจจะไปประกวดร้องเพลงในรายการทีวี “สี่แยกนักฝัน” รายการโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงดังที่สุดในประเทศด้านการหาซุปเปอร์สตาร์ ร้องและเต้น ฝันที่หนึ่งและที่สองของหนูมาลีจะต้องถูกกระทำให้สำเร็จในวันนี้ หนูมาลีคิดในหัวเสร็จสรรพก็ทิ้งจดหมายไว้แล้วหนีปู่กับย่าเข้ากรุงเทพ หนูมาลีจะไปดักรอพ่อที่หน้าไปรษณีย์ ยังไงเสียพ่อต้องมาไขตู้เอาจดหมายที่ตนส่งมาทุกเดือน
หนูมาลีเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พอถึงสถานีขนส่งที่เป็นเวลาเดียวกับที่อธิ นายตำรวจหนุ่ม กำลังตามจับคนร้าย อธิขอตรวจค้นกระเป๋าหนูมาลี หนูมาลีคิดว่าอธิเป็นคนร้ายจึงวิ่งหนี ทองทา เพื่อนของอธิจึงช่วยจับตัวหนูมาลี หนูมาลีใช้สนับมือต่อสู้ จนหน้าอกทองทาเป็นแผล ทองทาและอธิจับตัวหนูมาลีได้ในที่สุด กว่าจะอธิบายกันเข้าใจก็ทำเอาทุกคนเหนื่อย อธิต้องไปทำงานต่อ จึงให้ทองทาเป็นคนไปส่งหนูมาลีแทน หนูมาลีตามทองทามาที่ทำงาน ได้รู้จักกับเพื่อนสาวของทองทา และด้วยความที่ทองทาเป็นหนุ่มมาดเนี้ยบ แต่งตัวดี ท่าทางสุภาพ จึงทำให้หนูมาลีเข้าใจผิด คิดว่าทองทาเป็นเกย์
ตอนค่ำ หนูมาลีไปรอพ่อที่ตู้ไปรษณีย์ หวังว่าจะได้พบพ่อ ที่มาไขเอาตู้จดหมายของเธอ หนูมาลีโชคร้าย โดนชายขี้เมาลวนลาม โชคดีทองทาช่วยไว้ได้ เขาจึงพาเธอไปพักที่บ้านชั่วคราวหนึ่งคืน ทองทารู้สึกประทับใจในความใสซื่อ จริงใจและใบหน้าที่สวยงามของหนูมาลี เขารู้สึกขำกับอาการตีความเอาเองของหนูมาลีหลายๆอย่าง ก็เลยเออออห่อหมกไปกับหนูมาลี อยู่ช่วยเหลือหนูมาลีไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ได้นอนเคียงข้างสาวสวยช่างฝันที่พูดคุยสนุกทุกคืน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสนิทสนมกับหนูมาลีรวดเร็วขนาดนี้
ทองทาก้มมองที่หน้าอกด้านซ้ายที่มีหัวใจอยู่ตรงนั้น รอยแผลจากสนับมือทำท่าจะกลายเป็นแผลเป็น เหมือนความประทับใจในตัวสาวน้อยที่ดูจะเพิ่มมากขึ้น ไม่มีทีท่าจะลดน้อยลง !
หนูมาลีที่กลายเป็นเพื่อนสาวกับทองทา วนเวียนอยู่หน้าไปรษณีย์ เพื่อรอพ่อเรืองที่จะมาไขตู้ ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ มีมอเตอร์ไซค์ของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งมาไขตู้ป.ณ.14 หนูมาลีวิ่งเข้าไปหาสาวสวย แต่งตัวเปรี้ยวคนนั้น เธอชื่อ “ชงโค” ชงโคเป็นพนักงานนั่งดริ๊งค์ในร้านคาราโอเกะชื่อ “ท้ายซอยคาราโอเกะ” จากปากคำของชงโค จดหมายฉบับนี้จะถูกส่งให้เจ้าของร้านคาราโอเกะแห่งนี้ หนูมาลีจึงตามชงโคไปที่ร้าน
หนูมาลีก็ขอความช่วยเหลือจากสาวชื่อ “การะเกด” การะเกดเป็นสาวสวยน่ารัก เรียบร้อย จิตใจงามจากแดนอีสาน การะเกดบอกว่า คนขับรถเก๋งสีแดงเก่าๆคันนั้นไง เจ้าของจดหมาย เจ้าของตู้ไปรษณีย์ หนูมาลีหันไปมอง รถติดฟิล์มดำที่กำลังจะขับออกไปคันนั้นหรือคือเจ้าของจดหมาย ! คนขับรถคันนั้นหรือคือพ่อเรือง ! หนูมาลีขโมยมอเตอร์ไซค์ของชงโค ขับตามไปติดๆ หนูมาลีก็ดิ้นรนไปเจอเจ้าของรถจนได้ มันจอดอยู่หน้าสตูดิโอ คนแถวนั้นบอกว่า เจ้าของรถไปเตรียมตัวขึ้นร้องเพลงบนเวที หนูมาลีงุนงง ทำไมทหารต้องร้องเพลง ในที่สุดหนูมาลีแอบเข้าไปในสตูดิโอที่มีแต่ความมืดจนได้
ดวงตาสองข้างของหนูมาลีจับจ้องอยู่บนเวทีการแสดง ไฟแสงสีปรากฎ หนูมาลีใจเต้น พ่อเรืองที่ตนรอคอยกำลังจะปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า และแล้วชายหนุ่มผิวขาวใบหน้าสวยเฉี่ยว สวมวิกผมสีชมพู ในชุดสีทอง ก็ปรากฎขึ้น รอยยิ้มฉาบเครื่องสำอางค์ บนร่างสูงสง่า ปรากฏตัวขึ้นราวกับราชินีแห่งคีตศิลป์ เสียงอันทรงพลังราวกับนักร้องมืออาชีพแทรกมากับดนตรีกระหึ่มบนเวที
ก่อนจะรู้ตัว ไฟรอบตัวในสตูดิโอก็สว่างขึ้น หนูมาลีมองไปรอบๆ สาวประเภทสองเกือบห้าสิบคนคนออกเสียงกรี๊ดดังลั่น แล้วโยกเต้นอย่างสุดมันส์ นี่มันงานปาร์ตี้ส่วนตัวของสาวประเภทสอง ที่จัดขึ้นโดยกระเทยรุ่นใหญ่ “แคที่” เจ้าของสตูดิโอให้เช่าแห่งนี้
หนูมาลีก้มลงมองรูปถ่ายสีของพ่อเรืองในมือที่สั่นเทาของตน ชายหัวเกรียนในชุดทหารเกณฑ์สีเขียวอุ้มกอดหนูมาลีในวัยสามขวบอย่างรักใคร่ นี่คือวันสุดท้ายที่ได้พบหน้าพ่อเรืองเมื่อ15ปีก่อน พ่อเรืองของหนูมาลีไม่ใช่ทหาร ! แต่เป็นกระเทยแต่งหญิง เขาไม่ได้เป็นนายพันหรือนายพลอย่างที่ปู่บอก ไม่ใช่แม้แต่เฮียเจ้าของร้านคาราโอเกะ แต่คือ “โรส” เจ้าของร้านคาราโอเกะที่สวยและร้องเพลงเพราะมาก
นี่เองคือคำตอบ ทำไมพ่อจึงไม่มาหาปู่ย่าและแม้แต่ลูกสาวของตัวเอง เพราะพ่อมีชีวิตอีกด้านที่น่าอับอายและไม่อยากให้ใครรู้ โดยเฉพาะคนในครอบครัว !
ไม่เพียงแต่หนูมาลีที่ตกใจ โรสเองก็จำหนูมาลีได้ทันที ทั้งสองไม่ใช่พ่อลูกที่โผเข้าหากันกอดกัน ทั้งสองนิ่งอึ้งมองหน้ากัน ไม่มีคำพูดใดๆ ! ทั้งสองไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรในเวลาเช่นนี้ และในที่สุดหนูมาลีก็ร้องไห้ออกมาแล้ววิ่งหนีออกไปนอกสตูดิโอ
คืนนั้นโรสกลับไปที่ร้านคาราโอเกะ แล้วเขาก็เจอหนูมาลียืนตาบวมรออยู่ หนูมาลีไม่ได้หนีกลับบ้านอย่างที่เขาคิด หนูมาลีก็เพียงแต่ยื่นใบสมัครรายการสี่แยกนักฝันให้ดู โรสหันมาบอกหนูมาลีว่า “เรียกฉันว่าพี่โรสเหมือนคนอื่น” หนูมาลีตกตะลึงแต่ก็พอใจ อย่างน้อยหนูมาลีก็ไม่ต้องคิดว่าจะเรียกพ่อหรือเรียกแม่ …เรียกว่าพี่โรสนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หนูมาลีพบว่า เมื่อถอดเครื่องประกอบทั้งหมดออกแล้ว โรสก็เป็นเพียงผู้ชายรูปร่างหน้าตาดี มีท่าทางกระตุ้งกระติ้งมากกว่าปรกติ โรสเป็นคนปากจัด ขี้โวย เอาจริงเอาจัง ดุดัน ตรงไปตรงมา เขาเช่าที่ดินก้นซอยลึกในรัชดาเปิดเป็นร้านคาราโอเกะ
โรสไม่เคยใช้ชื่อว่าเรืองยศ ในกรุงเทพเขาเป็นที่รู้จักในฐานะของพี่โรส ผู้มีน้ำใจกว้างขวาง ทุกๆเดือน โรสจะหาความสุข ด้วยการแต่งหญิงไปปลดปล่อยความสามารถด้านการร้องเพลงของตนในงานปาร์ตี้ของแคที่ ผู้ใหญ่ใจดีที่ตนเคารพ นอกจากนี้ โรสยังมีคู่รักเป็นหนุ่มหน้ามน นักบัญชีประจำร้าน นิสัยดี พูดน้อยแต่จริงใจ ชื่อ “บอย ” หนูมาลีไม่ชอบหน้า และไม่ค่อยอยากพูดด้วย
นับแต่วันนั้น หนูมาลีทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านของพี่โรส วันๆหนูมาลีพูดกับพี่โรสไม่กี่คำ พี่โรสเองไม่ได้พูดถึงปู่ย่า ไม่ได้พูดถึงข้อความในจดหมายที่เขียนหากันมาตลอด15ปี พี่โรสและหนูมาลียังคงไว้ซึ่งการเป็นนายจ้างและลูกจ้างเหมือนคนอื่น แต่มีบางสิ่งที่ไม่เหมือน สิ่งนั้นคือสายตาอันห่วงใย ที่โรสจะทอดมองมาที่หนูมาลีครั้งละนานๆ ความผิดปรกติอีกอย่างหนึ่งก็คือ พี่โรสนั้นจะปากไวปากจัด บ่นด่าจิกกัดทุกคนได้ตลอดวลา24 ชั่วโมง แต่สำหรับเด็กเสิร์ฟที่ชื่อหนูมาลีแล้ว ไม่ว่าหนูมาลีจะทำผิดอะไร โรสก็จะปิดปากเงียบ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นทุกทีไป
ที่ร้านคาราโอเกะ หนูมาลีเริ่มสนิทสนมกับการะเกด การะเกดเป็นคนที่ร้องเพลงลูกทุ่งได้ไพเราะมาก ทำให้ได้ทิปจากแขกเสมอๆ หนูมาลีจึงชวนให้การะเกดสมัครเข้าไปในรายการด้วยกัน และการะเกดก็ตกลง หรือแม้แต่ชงโค หนูมาลีก็พบว่าชงโคมีรูปร่างที่สวยงามและเต้นเก่ง ส่วนพ่อครัว “ลุงบุญมา”ก็เป็นนักดนตรีเก่า เคยอยู่ตั้งแต่แตรวงยันวงดนตรีลูกทุ่ง ทุกๆเย็นทองทาและหมวดอธิจะมาเที่ยวอยู่แล้ว ในเมื่อสิ่งที่ทุกคนชอบเหมือนกันคือดนตรีและเสียงเพลง พวกเขาจึงใช้เวที และใช้ร้านอาหารแห่งนั้นเป็นที่จัดแสดงคอนเสิรต์ย่อมๆ อย่างน้อยก็เป็นการฝึกซ้อมให้หนูมาลีและการะเกดไปในตัว ทุกๆคืนเสียงเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึก จากร้านท้ายซอยคาราโอเกะ จะดังออกมาบ่งบอกชีวิตสุขทุกข์ของพวกเขา
ท่ามกลางความสนิทสนมของหนุ่มสาว หมวดอธิเกิดความรักต่อหนูมาลี ในขณะที่การะเกดแอบชอบทองทา อธิกับการะเกด จึงมักจะตั้งศาลาคนเศร้าขึ้นมาปรับทุกข์กันบ่อยๆ เพราะทองทากับหนูมาลีมีแต่จะสนิทสนมกันมากขึ้น ไม่มีอะไรแยกทั้งสองออกจากกันได้ง่ายๆ อธิกับการะเกดตกลงช่วยเหลือกัน สานต่อความรักของตน อธิพยายามหาทางให้การะเกดได้ใกล้ชิดทองทา การะเกดก็พยายามหาวิธีโรแมนติกต่างๆ ให้อธิได้แสดงออกกับหนูมาลี แต่ทุกๆครั้งมักจบลงด้วยความวุ่นวาย และความผิดหวัง และเมื่อใดที่มีเรื่อง วันนั้น บทเพลงเศร้าจากการะเกดก็จะดังออกมาจากร้าน “ท้ายซอยคาราโอเกะ”
ก่อนวันคัดเลือกรายการสี่แยกนักฝัน หนูมาลีพยายามขอให้โรสสอนตนร้องเพลง โรสไม่ยอมสอน โรสถกเถียงกับหนูมาลี โรสต้องการให้หนูมาลีกลับไปเรียนต่อคณะครุศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในบ้านเกิดที่หนูมาลีได้โควต้า แต่หนูมาลีไม่ยอม ทั้งคู่ทะเลาะกัน ทำให้ทุกคนรู้ความจริงว่าพี่โรสกับหนูมาลีเป็นพ่อลูกกัน ทุกคนงุนงงว่า พี่โรสมีลูกได้ยังไง ในเมื่อพี่โรสไม่มีทีท่าเลยว่าจะชอบผู้หญิงเลย
ถึงวันสมัครเข้าประกวดรายการสี่แยกนักฝัน หนูมาลี ชวน ชงโคกับการะเกดไปด้วย เธอผ่านเข้ารอบแรก ด้วยการแสดงโชว์ ร้องเพลง และตลกหน้าเวทีพร้อมกับเพื่อน ๆ ทองทาก็มาที่สถานีด้วย แต่ ทองทาไม่ได้มาคัดเลือก เขามาพบพ่อแท้ๆ ของตนเอง “เมืองแมน” เจ้าของบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ระดับบริษัทมหาชนที่มีรายการในสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆมากที่สุด รวมทั้งรายการสี่แยกนักฝันด้วย เมืองแมนเป็นคนเจ้าชู้ เขาได้แม่ของทองทา “ช้องนาง” เป็นภรรยาคนแรก
ช้องนางที่กำลังมีอนาคตในวงการบัลเล่ต์ ยอมทิ้งฝันนักบัลเลต์ระดับโลกเพราะท้องกับเมืองแมน แต่แล้วช้องนางก็ต้องเสียใจเมื่อพบว่าเมืองแมนไม่หยุดอยู่ที่ตนเอง เมืองแมนแอบไปมีเมียน้อย เป็นสาวไฮโซจากตระกูลเก่าแก่ชื่อ “บัวบุษบง” ช้องนางจึงหย่าและหนีไปต่างประเทศ แต่บัวบุษบงก็อยู่กับเมืองแมนได้ไม่นาน เมืองแมนแอบไปคบกับนางงามระดับประเทศคนดังชื่อ “โยทะกา” เมื่อบัวบุษบงรู้เข้า บัวบุษบงก็กินยาตายทิ้งลูกสาวชื่อ “บุษบาบัณ” หรือ “เบลล่า”เอาไว้ให้แม่ของตนเลี้ยง
โยทะกาเป็นคนเรียบร้อย จิตใจดี รู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาก จึงรับเลี้ยงเบลล่าไว้เป็นลูกสาวบุญธรรม เมืองแมนแต่งงานกับโยทะกา โยทะกากลายเป็นผู้บริหารรายการทีวีหญิงที่มีความสามารถ มีชื่อเสียง มีหน้ามีตาอยู่ในสังคม เป็นที่รู้จักของคนทั่วๆไป
เรื่องย่อ "มาลีเริงระบำ"
เสียงเพลงดังมาจากห้องน้ำหลังบ้านไม้ในหมู่บ้านชนบท ห้องน้ำคือเวที ฝักบัวคือไมโครโฟน กระจกอยู่ตรงหน้า “หนูมาลี” เป็นสาวเหนือจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดเงียบสงบทางภาคเหนือ หนูมาลีเติบโตมาด้วยน้ำมือปู่คนเก่งชอบช่วยเหลือแต่เป็นอัลไซเมอร์ชื่อ “ปู่เชื้อ” และย่าหูตึงใจดีแต่มักทำผิดเพราะฟังไม่ได้ยินชื่อ “ย่าหงส์” ดอกหนูมาลีดอกงามเติบโตอย่างไม่มีพ่อแม่ด้วยมือคนแก่ หนูมาลีจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับทีวีและวิทยุแทบทั้งวัน
หนูมาลีมีความฝันว่าตนจะได้มีโอกาสเข้าร่วมประกวดร้องเพลงแล้วชนะเลิศ และได้พบพ่อบังเกิดเกล้า “เรืองยศ” หรือ พ่อเรือง ที่เข้าไปทำงานในกรุงเทพ
ทุกๆเดือนหนูมาลีจะไปที่ไปรษณีย์เพื่อรับเงินที่พ่อเรืองส่งมาให้ ภาพจำสุดท้ายของหนูมาลี คือเมื่อตอนสามขวบ พ่อเรืองในชุดทหารเกณฑ์ เอาข้าวของมากมายมาเยี่ยมปู่ย่า และเข้ามากอดหนูมาลีอย่างรักใคร่ หลังจากนั้นพ่อก็ได้แต่ส่งเงินและจดหมายมา ทุกๆวันสงกรานต์ ปู่ ย่า และหนูมาลี จะไปรอที่ปากทางหมู่บ้านแต่พ่อเรืองก็ไม่มา ปู่บอกว่า พ่อเป็นทหารที่เก่งมาก ป่านนี้คงเป็นเจ้าคนนายคน จึงส่งเงินและจดหมายที่มีแต่ความห่วงใยกลับมาบ้านได้สม่ำเสมอ ปู่และย่าภูมิใจในตัวพ่อเรืองมาก
สำหรับหนูมาลี พ่อเรืองคือดวงใจ คือจุดหมาย คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องมีแม่ ! ปู่เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อเรืองกับแม่เป็นเพื่อนนักเรียนกัน ทั้งสองแอบได้เสียกันตอนงานลอยกระทง แม่ของหนูมาลีเกิดท้อง ด้วยความที่แม่ของหนูมาลีใฝ่แสงสีในเมืองหลวง หลังจากคลอดลูกก็ทิ้งลูกไว้แล้วหนีเข้ากรุงเทพ พ่อเรืองคนนี้เองที่ไปตระเวณหาลูก ถึงกับต้องขโมยเด็กขึ้นรถสองแถวหนีจากสังคมสงเคราะห์ เรืองยศพาหนูมาลีกลับบ้านมาให้พ่อกับแม่เลี้ยง แล้วดิ้นรนไปหางานทำในเมืองหลวงเพื่อส่งเสียให้หนูมาลีได้เรียนสูงๆ ให้พ่อกับแม่ได้มีเงินรักษาตัวยามเจ็บไข้ พ่อเรืองพูดคุยกับหนูมาลีทางจดหมายปีละครั้ง แต่หนูมาลีส่งจดหมายถึงพ่อเสมอทุกเดือน สิ่งเดียวที่หนูมาลีไม่เข้าใจคือ ทำยังไงพ่อเรืองก็ไม่ยอมให้หนูมาลีออกจากหมู่บ้านไปหาพ่อที่กรุงเทพ ทุกครั้งที่หนูมาลีส่งจดหมายก็ได้แต่ส่งเข้าตู้ไปรษณีย์เลขที่ 14 ไปรษณีย์รัชดา โดยไม่บ่งบอกที่อยู่ใดๆ
เมื่อหนูมาลีเรียนจบม.6 หนูมาลีตัดสินใจแน่วแน่ จะเข้ากรุงเทพไปหาพ่อ หนูมาลีตั้งใจจะไปประกวดร้องเพลงในรายการทีวี “สี่แยกนักฝัน” รายการโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงดังที่สุดในประเทศด้านการหาซุปเปอร์สตาร์ ร้องและเต้น ฝันที่หนึ่งและที่สองของหนูมาลีจะต้องถูกกระทำให้สำเร็จในวันนี้ หนูมาลีคิดในหัวเสร็จสรรพก็ทิ้งจดหมายไว้แล้วหนีปู่กับย่าเข้ากรุงเทพ หนูมาลีจะไปดักรอพ่อที่หน้าไปรษณีย์ ยังไงเสียพ่อต้องมาไขตู้เอาจดหมายที่ตนส่งมาทุกเดือน
หนูมาลีเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พอถึงสถานีขนส่งที่เป็นเวลาเดียวกับที่อธิ นายตำรวจหนุ่ม กำลังตามจับคนร้าย อธิขอตรวจค้นกระเป๋าหนูมาลี หนูมาลีคิดว่าอธิเป็นคนร้ายจึงวิ่งหนี ทองทา เพื่อนของอธิจึงช่วยจับตัวหนูมาลี หนูมาลีใช้สนับมือต่อสู้ จนหน้าอกทองทาเป็นแผล ทองทาและอธิจับตัวหนูมาลีได้ในที่สุด กว่าจะอธิบายกันเข้าใจก็ทำเอาทุกคนเหนื่อย อธิต้องไปทำงานต่อ จึงให้ทองทาเป็นคนไปส่งหนูมาลีแทน หนูมาลีตามทองทามาที่ทำงาน ได้รู้จักกับเพื่อนสาวของทองทา และด้วยความที่ทองทาเป็นหนุ่มมาดเนี้ยบ แต่งตัวดี ท่าทางสุภาพ จึงทำให้หนูมาลีเข้าใจผิด คิดว่าทองทาเป็นเกย์
ตอนค่ำ หนูมาลีไปรอพ่อที่ตู้ไปรษณีย์ หวังว่าจะได้พบพ่อ ที่มาไขเอาตู้จดหมายของเธอ หนูมาลีโชคร้าย โดนชายขี้เมาลวนลาม โชคดีทองทาช่วยไว้ได้ เขาจึงพาเธอไปพักที่บ้านชั่วคราวหนึ่งคืน ทองทารู้สึกประทับใจในความใสซื่อ จริงใจและใบหน้าที่สวยงามของหนูมาลี เขารู้สึกขำกับอาการตีความเอาเองของหนูมาลีหลายๆอย่าง ก็เลยเออออห่อหมกไปกับหนูมาลี อยู่ช่วยเหลือหนูมาลีไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ได้นอนเคียงข้างสาวสวยช่างฝันที่พูดคุยสนุกทุกคืน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสนิทสนมกับหนูมาลีรวดเร็วขนาดนี้
ทองทาก้มมองที่หน้าอกด้านซ้ายที่มีหัวใจอยู่ตรงนั้น รอยแผลจากสนับมือทำท่าจะกลายเป็นแผลเป็น เหมือนความประทับใจในตัวสาวน้อยที่ดูจะเพิ่มมากขึ้น ไม่มีทีท่าจะลดน้อยลง !
หนูมาลีที่กลายเป็นเพื่อนสาวกับทองทา วนเวียนอยู่หน้าไปรษณีย์ เพื่อรอพ่อเรืองที่จะมาไขตู้ ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ มีมอเตอร์ไซค์ของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งมาไขตู้ป.ณ.14 หนูมาลีวิ่งเข้าไปหาสาวสวย แต่งตัวเปรี้ยวคนนั้น เธอชื่อ “ชงโค” ชงโคเป็นพนักงานนั่งดริ๊งค์ในร้านคาราโอเกะชื่อ “ท้ายซอยคาราโอเกะ” จากปากคำของชงโค จดหมายฉบับนี้จะถูกส่งให้เจ้าของร้านคาราโอเกะแห่งนี้ หนูมาลีจึงตามชงโคไปที่ร้าน
หนูมาลีก็ขอความช่วยเหลือจากสาวชื่อ “การะเกด” การะเกดเป็นสาวสวยน่ารัก เรียบร้อย จิตใจงามจากแดนอีสาน การะเกดบอกว่า คนขับรถเก๋งสีแดงเก่าๆคันนั้นไง เจ้าของจดหมาย เจ้าของตู้ไปรษณีย์ หนูมาลีหันไปมอง รถติดฟิล์มดำที่กำลังจะขับออกไปคันนั้นหรือคือเจ้าของจดหมาย ! คนขับรถคันนั้นหรือคือพ่อเรือง ! หนูมาลีขโมยมอเตอร์ไซค์ของชงโค ขับตามไปติดๆ หนูมาลีก็ดิ้นรนไปเจอเจ้าของรถจนได้ มันจอดอยู่หน้าสตูดิโอ คนแถวนั้นบอกว่า เจ้าของรถไปเตรียมตัวขึ้นร้องเพลงบนเวที หนูมาลีงุนงง ทำไมทหารต้องร้องเพลง ในที่สุดหนูมาลีแอบเข้าไปในสตูดิโอที่มีแต่ความมืดจนได้
ดวงตาสองข้างของหนูมาลีจับจ้องอยู่บนเวทีการแสดง ไฟแสงสีปรากฎ หนูมาลีใจเต้น พ่อเรืองที่ตนรอคอยกำลังจะปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า และแล้วชายหนุ่มผิวขาวใบหน้าสวยเฉี่ยว สวมวิกผมสีชมพู ในชุดสีทอง ก็ปรากฎขึ้น รอยยิ้มฉาบเครื่องสำอางค์ บนร่างสูงสง่า ปรากฏตัวขึ้นราวกับราชินีแห่งคีตศิลป์ เสียงอันทรงพลังราวกับนักร้องมืออาชีพแทรกมากับดนตรีกระหึ่มบนเวที
ก่อนจะรู้ตัว ไฟรอบตัวในสตูดิโอก็สว่างขึ้น หนูมาลีมองไปรอบๆ สาวประเภทสองเกือบห้าสิบคนคนออกเสียงกรี๊ดดังลั่น แล้วโยกเต้นอย่างสุดมันส์ นี่มันงานปาร์ตี้ส่วนตัวของสาวประเภทสอง ที่จัดขึ้นโดยกระเทยรุ่นใหญ่ “แคที่” เจ้าของสตูดิโอให้เช่าแห่งนี้
หนูมาลีก้มลงมองรูปถ่ายสีของพ่อเรืองในมือที่สั่นเทาของตน ชายหัวเกรียนในชุดทหารเกณฑ์สีเขียวอุ้มกอดหนูมาลีในวัยสามขวบอย่างรักใคร่ นี่คือวันสุดท้ายที่ได้พบหน้าพ่อเรืองเมื่อ15ปีก่อน พ่อเรืองของหนูมาลีไม่ใช่ทหาร ! แต่เป็นกระเทยแต่งหญิง เขาไม่ได้เป็นนายพันหรือนายพลอย่างที่ปู่บอก ไม่ใช่แม้แต่เฮียเจ้าของร้านคาราโอเกะ แต่คือ “โรส” เจ้าของร้านคาราโอเกะที่สวยและร้องเพลงเพราะมาก
นี่เองคือคำตอบ ทำไมพ่อจึงไม่มาหาปู่ย่าและแม้แต่ลูกสาวของตัวเอง เพราะพ่อมีชีวิตอีกด้านที่น่าอับอายและไม่อยากให้ใครรู้ โดยเฉพาะคนในครอบครัว !
ไม่เพียงแต่หนูมาลีที่ตกใจ โรสเองก็จำหนูมาลีได้ทันที ทั้งสองไม่ใช่พ่อลูกที่โผเข้าหากันกอดกัน ทั้งสองนิ่งอึ้งมองหน้ากัน ไม่มีคำพูดใดๆ ! ทั้งสองไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรในเวลาเช่นนี้ และในที่สุดหนูมาลีก็ร้องไห้ออกมาแล้ววิ่งหนีออกไปนอกสตูดิโอ
คืนนั้นโรสกลับไปที่ร้านคาราโอเกะ แล้วเขาก็เจอหนูมาลียืนตาบวมรออยู่ หนูมาลีไม่ได้หนีกลับบ้านอย่างที่เขาคิด หนูมาลีก็เพียงแต่ยื่นใบสมัครรายการสี่แยกนักฝันให้ดู โรสหันมาบอกหนูมาลีว่า “เรียกฉันว่าพี่โรสเหมือนคนอื่น” หนูมาลีตกตะลึงแต่ก็พอใจ อย่างน้อยหนูมาลีก็ไม่ต้องคิดว่าจะเรียกพ่อหรือเรียกแม่ …เรียกว่าพี่โรสนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หนูมาลีพบว่า เมื่อถอดเครื่องประกอบทั้งหมดออกแล้ว โรสก็เป็นเพียงผู้ชายรูปร่างหน้าตาดี มีท่าทางกระตุ้งกระติ้งมากกว่าปรกติ โรสเป็นคนปากจัด ขี้โวย เอาจริงเอาจัง ดุดัน ตรงไปตรงมา เขาเช่าที่ดินก้นซอยลึกในรัชดาเปิดเป็นร้านคาราโอเกะ
โรสไม่เคยใช้ชื่อว่าเรืองยศ ในกรุงเทพเขาเป็นที่รู้จักในฐานะของพี่โรส ผู้มีน้ำใจกว้างขวาง ทุกๆเดือน โรสจะหาความสุข ด้วยการแต่งหญิงไปปลดปล่อยความสามารถด้านการร้องเพลงของตนในงานปาร์ตี้ของแคที่ ผู้ใหญ่ใจดีที่ตนเคารพ นอกจากนี้ โรสยังมีคู่รักเป็นหนุ่มหน้ามน นักบัญชีประจำร้าน นิสัยดี พูดน้อยแต่จริงใจ ชื่อ “บอย ” หนูมาลีไม่ชอบหน้า และไม่ค่อยอยากพูดด้วย
นับแต่วันนั้น หนูมาลีทำงานเป็นเด็กเสริฟในร้านของพี่โรส วันๆหนูมาลีพูดกับพี่โรสไม่กี่คำ พี่โรสเองไม่ได้พูดถึงปู่ย่า ไม่ได้พูดถึงข้อความในจดหมายที่เขียนหากันมาตลอด15ปี พี่โรสและหนูมาลียังคงไว้ซึ่งการเป็นนายจ้างและลูกจ้างเหมือนคนอื่น แต่มีบางสิ่งที่ไม่เหมือน สิ่งนั้นคือสายตาอันห่วงใย ที่โรสจะทอดมองมาที่หนูมาลีครั้งละนานๆ ความผิดปรกติอีกอย่างหนึ่งก็คือ พี่โรสนั้นจะปากไวปากจัด บ่นด่าจิกกัดทุกคนได้ตลอดวลา24 ชั่วโมง แต่สำหรับเด็กเสิร์ฟที่ชื่อหนูมาลีแล้ว ไม่ว่าหนูมาลีจะทำผิดอะไร โรสก็จะปิดปากเงียบ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นทุกทีไป
ที่ร้านคาราโอเกะ หนูมาลีเริ่มสนิทสนมกับการะเกด การะเกดเป็นคนที่ร้องเพลงลูกทุ่งได้ไพเราะมาก ทำให้ได้ทิปจากแขกเสมอๆ หนูมาลีจึงชวนให้การะเกดสมัครเข้าไปในรายการด้วยกัน และการะเกดก็ตกลง หรือแม้แต่ชงโค หนูมาลีก็พบว่าชงโคมีรูปร่างที่สวยงามและเต้นเก่ง ส่วนพ่อครัว “ลุงบุญมา”ก็เป็นนักดนตรีเก่า เคยอยู่ตั้งแต่แตรวงยันวงดนตรีลูกทุ่ง ทุกๆเย็นทองทาและหมวดอธิจะมาเที่ยวอยู่แล้ว ในเมื่อสิ่งที่ทุกคนชอบเหมือนกันคือดนตรีและเสียงเพลง พวกเขาจึงใช้เวที และใช้ร้านอาหารแห่งนั้นเป็นที่จัดแสดงคอนเสิรต์ย่อมๆ อย่างน้อยก็เป็นการฝึกซ้อมให้หนูมาลีและการะเกดไปในตัว ทุกๆคืนเสียงเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึก จากร้านท้ายซอยคาราโอเกะ จะดังออกมาบ่งบอกชีวิตสุขทุกข์ของพวกเขา
ท่ามกลางความสนิทสนมของหนุ่มสาว หมวดอธิเกิดความรักต่อหนูมาลี ในขณะที่การะเกดแอบชอบทองทา อธิกับการะเกด จึงมักจะตั้งศาลาคนเศร้าขึ้นมาปรับทุกข์กันบ่อยๆ เพราะทองทากับหนูมาลีมีแต่จะสนิทสนมกันมากขึ้น ไม่มีอะไรแยกทั้งสองออกจากกันได้ง่ายๆ อธิกับการะเกดตกลงช่วยเหลือกัน สานต่อความรักของตน อธิพยายามหาทางให้การะเกดได้ใกล้ชิดทองทา การะเกดก็พยายามหาวิธีโรแมนติกต่างๆ ให้อธิได้แสดงออกกับหนูมาลี แต่ทุกๆครั้งมักจบลงด้วยความวุ่นวาย และความผิดหวัง และเมื่อใดที่มีเรื่อง วันนั้น บทเพลงเศร้าจากการะเกดก็จะดังออกมาจากร้าน “ท้ายซอยคาราโอเกะ”
ก่อนวันคัดเลือกรายการสี่แยกนักฝัน หนูมาลีพยายามขอให้โรสสอนตนร้องเพลง โรสไม่ยอมสอน โรสถกเถียงกับหนูมาลี โรสต้องการให้หนูมาลีกลับไปเรียนต่อคณะครุศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในบ้านเกิดที่หนูมาลีได้โควต้า แต่หนูมาลีไม่ยอม ทั้งคู่ทะเลาะกัน ทำให้ทุกคนรู้ความจริงว่าพี่โรสกับหนูมาลีเป็นพ่อลูกกัน ทุกคนงุนงงว่า พี่โรสมีลูกได้ยังไง ในเมื่อพี่โรสไม่มีทีท่าเลยว่าจะชอบผู้หญิงเลย
ถึงวันสมัครเข้าประกวดรายการสี่แยกนักฝัน หนูมาลี ชวน ชงโคกับการะเกดไปด้วย เธอผ่านเข้ารอบแรก ด้วยการแสดงโชว์ ร้องเพลง และตลกหน้าเวทีพร้อมกับเพื่อน ๆ ทองทาก็มาที่สถานีด้วย แต่ ทองทาไม่ได้มาคัดเลือก เขามาพบพ่อแท้ๆ ของตนเอง “เมืองแมน” เจ้าของบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ระดับบริษัทมหาชนที่มีรายการในสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆมากที่สุด รวมทั้งรายการสี่แยกนักฝันด้วย เมืองแมนเป็นคนเจ้าชู้ เขาได้แม่ของทองทา “ช้องนาง” เป็นภรรยาคนแรก
ช้องนางที่กำลังมีอนาคตในวงการบัลเล่ต์ ยอมทิ้งฝันนักบัลเลต์ระดับโลกเพราะท้องกับเมืองแมน แต่แล้วช้องนางก็ต้องเสียใจเมื่อพบว่าเมืองแมนไม่หยุดอยู่ที่ตนเอง เมืองแมนแอบไปมีเมียน้อย เป็นสาวไฮโซจากตระกูลเก่าแก่ชื่อ “บัวบุษบง” ช้องนางจึงหย่าและหนีไปต่างประเทศ แต่บัวบุษบงก็อยู่กับเมืองแมนได้ไม่นาน เมืองแมนแอบไปคบกับนางงามระดับประเทศคนดังชื่อ “โยทะกา” เมื่อบัวบุษบงรู้เข้า บัวบุษบงก็กินยาตายทิ้งลูกสาวชื่อ “บุษบาบัณ” หรือ “เบลล่า”เอาไว้ให้แม่ของตนเลี้ยง
โยทะกาเป็นคนเรียบร้อย จิตใจดี รู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาก จึงรับเลี้ยงเบลล่าไว้เป็นลูกสาวบุญธรรม เมืองแมนแต่งงานกับโยทะกา โยทะกากลายเป็นผู้บริหารรายการทีวีหญิงที่มีความสามารถ มีชื่อเสียง มีหน้ามีตาอยู่ในสังคม เป็นที่รู้จักของคนทั่วๆไป