*เรียบเรียงจากโพสท์นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.imdb.com/title/tt0114709/นะจ๊ะ
1. การเคลื่อนไหวของหุ่นทหาร ทีมงานใช้กาวทารองเท้าผ้าใบกับแผ่นไม้แล้วลองเดินดู ปรากฏว่าได้ผลดีเอามากๆ
2. เข้าหนูซิด ฟิลลิปส์ สร้างมาจากพนักงานคนหนึ่งของพิกซาร์ (นามสกุลเดียวกันกับตัวละคร) ซึ่งรู้วิธีถอดของเล่นออกเป็นชิ้นๆ และประกอบมันเข้าด้วยกันใหม่แบบแปลกๆ
3. เมื่อตัวละครกะพริบตา พวกเขาไม่เคยกะพริบพร้อมกัน
4. ในร่างแรก บาร์บี้คือหวานใจของวู้ดดี้และต้องขับรถคอร์เวตไปช่วยวู้ดดีและบัซจากหมาของซิดและตุ๊กตาซาร่า คอนเนอร์ แต่บริษัทแมทเทิ่ล เจ้าของตุ๊กตาบาร์บี้คิดว่าหนังคงเจ๊งแหงๆ และไม่อยากให้บุคลิกบาร์บี้เป็นแบบนั้นด้วย ตัวละครนี้เลยหลุดไปจากสคริปท์
5. จอห์น เลสเตอร์ ผู้กำกับอยากได้ทอม แฮงค์มาให้เสียงวู้ดดี้มาตลอดเพราะ “ทอมทำให้ตัวละครมีความรู้สึกและน่าเห็นใจได้แม้การกระทำของตัวละครจะไม่น่าเห็นใจเลยก็ตาม”
6. นี่เป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกที่เข้าชิงออสการ์สาขา Best Screenplay Academy Award – Adapted หรือ Original.
7. ในตอนแรก มีความเป็นไปได้ว่าชื่อเรื่องจะเป็น “You Are A Toy” (เธอเป็นของเล่น)
8. สีหลักของบัซ ไลท์เยียร์คือม่วง, เขียวและขาว เพราะสีเขียวเป็นสีโปรดของจอห์น เลสเตอร์, สีม่วงคือสีโปรดของภรรยาเขา และสีขาวคือสีพื้นฐานที่นักบินอวกาศใช้ในยานอพอลโล
9. พรมบ้านซิดสร้างตามพรมในโรงแรมจากเรื่อง The Shining (1980) ซึ่งเป็นหนังที่ลี อุคริช หนึ่งในทีมอีดิธงานชอบมากๆ
10. ในฉากรถตู้ขับไล่กันบนถนนนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉากไล่กันบนรถไฟเรื่อง The Wrong Trousers (1993)
11. นาฬิกายักษ์เหนือเตียงของแอนดี้ สร้างมาจากนาฬิกามิคกี้ เม้าส์
12. ชื่อของบัซ ไลท์เยียร์นำมาจากบัซ อัลดริน ชายคนที่สองที่เดินทางไปดวงจันทร์ ส่วนไลท์เยียร์หมายถึงระยะทางที่แสงเดินทางในหนึ่งปี
13. รถทุกคันในเรื่องนี้ติดสติกเกอร์ใบขับขี่ว่า พฤศจิกายน 95 ทุกคัน ก็นั่นเป็นวันที่หนังฉายนี่นา
14. ทอม แฮงค์ บันทึกเสียงเรื่องนี้ระหว่างพักจากถ่ายทำเรื่อง Sleepless in Seattle (1993) และ A League of Their Own (1992) (หนังคอมเมดี้ทั้งคู่) เขาไม่อยากบันทึกระหว่างพักกองหนังอย่าง Philadelphia (1993) หรือ Forrest Gump (1994) เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่ควรทำเรื่องคอมเมดี้ระหว่างรับบทซีเรียสมากๆ
15. หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ทอม แฮงค์ อยากมารับบทวู้ดดี้คือ สมัยเด็กๆ เขาสงสัยมาตลอดว่าของเล่นมีชีวิตและเคลื่อนไหวไปรอบๆ ห้องของเขาในเวลาที่ไม่มีใครอยู่ในห้อง
16. ระหว่างสร้างหนัง คืนหนึ่ง สตีฟ จ็อบส์ โทรศัพท์มาหาโปรดิวเซอร์ ราล์ฟ กุกเกนไฮม์ พยายามจะโน้มน้าวใจให้ราล์ฟเลือกบ็อบ ดีแลน เป็นนักเขียนเพลงประกอบ
17. โคมไฟสีแดงของแอนดี้ ปรากฏตัวครั้งแรกใน Luxo Jr. (1986) และกลายเป็นเครื่องหมายของพิกซาร์ไปแล้ว
18. ตอนที่เจ้าฉลามสวมหมวกของวู้ดดี้และประกาศว่า “Look, I’m Woody! Howdy howdy howdy!” อ้างอิงมาจากอีแร้งที่กินคาวบอยใน The Far Side การ์ตูนรายวันของแกรี่ ลาร์สัน ตั้งแต่สมัยปี 1980s เจ้าแร้งร้องว่า “Hey everyone, look at me, I’m a cowboy! Howdy! Howdy! Howdy!” (“เฮ้ยทุกคนดูฉันนี่ ฉันเป็นคาวบอยล่ะ! เป็นไง เป็นไง เป็นไง!)
19. นามสกุลของแอนดี้คือ เดวิส แต่ไม่มีปรากฏในหนังเลย จนตอนเครดิตท้ายเรื่อง ชื่อลอรี่ เม็ทคาล์ฟขึ้นมาว่า “Mrs. Davis” (และนามสกุลแอนดี้ไปปรากฏจริงๆ จังๆ เมื่อภาคสามโน่นจ้ะ)
20. ชื่อของแอนดี้มาจาก แอนเดรียส “แอนดี้” แวน ดาม ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยบราวน์และนักคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโปรเจ็คของหนังเรื่องนี้
อ่านแล้ววิจารณ์ได้นะคะ
อยากรู้ว่าถ้าทำของภาค 2, 3 มาแล้วจะอยากอ่านกันไหมคะ พอดีคิดว่าแฟนของอนิเมชั่นเรื่องนี้น่าจะเยอะอยู่ เผื่อจะอยากอ่านกัน
ขอบคุณค่ะ
มาตามสัญญาแล้วจ้ะ
25 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ Toy Story (ภาค 2) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/31612926
ภาคสุดท้ายแล้วน้าา
29 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ Toy Story (ภาค 3) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/31634479
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page:
https://www.facebook.com/llkhimll
Blog:
http://llkhimll.wordpress.com/
20 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ Toy Story
1. การเคลื่อนไหวของหุ่นทหาร ทีมงานใช้กาวทารองเท้าผ้าใบกับแผ่นไม้แล้วลองเดินดู ปรากฏว่าได้ผลดีเอามากๆ
2. เข้าหนูซิด ฟิลลิปส์ สร้างมาจากพนักงานคนหนึ่งของพิกซาร์ (นามสกุลเดียวกันกับตัวละคร) ซึ่งรู้วิธีถอดของเล่นออกเป็นชิ้นๆ และประกอบมันเข้าด้วยกันใหม่แบบแปลกๆ
3. เมื่อตัวละครกะพริบตา พวกเขาไม่เคยกะพริบพร้อมกัน
4. ในร่างแรก บาร์บี้คือหวานใจของวู้ดดี้และต้องขับรถคอร์เวตไปช่วยวู้ดดีและบัซจากหมาของซิดและตุ๊กตาซาร่า คอนเนอร์ แต่บริษัทแมทเทิ่ล เจ้าของตุ๊กตาบาร์บี้คิดว่าหนังคงเจ๊งแหงๆ และไม่อยากให้บุคลิกบาร์บี้เป็นแบบนั้นด้วย ตัวละครนี้เลยหลุดไปจากสคริปท์
5. จอห์น เลสเตอร์ ผู้กำกับอยากได้ทอม แฮงค์มาให้เสียงวู้ดดี้มาตลอดเพราะ “ทอมทำให้ตัวละครมีความรู้สึกและน่าเห็นใจได้แม้การกระทำของตัวละครจะไม่น่าเห็นใจเลยก็ตาม”
6. นี่เป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกที่เข้าชิงออสการ์สาขา Best Screenplay Academy Award – Adapted หรือ Original.
7. ในตอนแรก มีความเป็นไปได้ว่าชื่อเรื่องจะเป็น “You Are A Toy” (เธอเป็นของเล่น)
8. สีหลักของบัซ ไลท์เยียร์คือม่วง, เขียวและขาว เพราะสีเขียวเป็นสีโปรดของจอห์น เลสเตอร์, สีม่วงคือสีโปรดของภรรยาเขา และสีขาวคือสีพื้นฐานที่นักบินอวกาศใช้ในยานอพอลโล
9. พรมบ้านซิดสร้างตามพรมในโรงแรมจากเรื่อง The Shining (1980) ซึ่งเป็นหนังที่ลี อุคริช หนึ่งในทีมอีดิธงานชอบมากๆ
10. ในฉากรถตู้ขับไล่กันบนถนนนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉากไล่กันบนรถไฟเรื่อง The Wrong Trousers (1993)
11. นาฬิกายักษ์เหนือเตียงของแอนดี้ สร้างมาจากนาฬิกามิคกี้ เม้าส์
12. ชื่อของบัซ ไลท์เยียร์นำมาจากบัซ อัลดริน ชายคนที่สองที่เดินทางไปดวงจันทร์ ส่วนไลท์เยียร์หมายถึงระยะทางที่แสงเดินทางในหนึ่งปี
13. รถทุกคันในเรื่องนี้ติดสติกเกอร์ใบขับขี่ว่า พฤศจิกายน 95 ทุกคัน ก็นั่นเป็นวันที่หนังฉายนี่นา
14. ทอม แฮงค์ บันทึกเสียงเรื่องนี้ระหว่างพักจากถ่ายทำเรื่อง Sleepless in Seattle (1993) และ A League of Their Own (1992) (หนังคอมเมดี้ทั้งคู่) เขาไม่อยากบันทึกระหว่างพักกองหนังอย่าง Philadelphia (1993) หรือ Forrest Gump (1994) เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่ควรทำเรื่องคอมเมดี้ระหว่างรับบทซีเรียสมากๆ
15. หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ทอม แฮงค์ อยากมารับบทวู้ดดี้คือ สมัยเด็กๆ เขาสงสัยมาตลอดว่าของเล่นมีชีวิตและเคลื่อนไหวไปรอบๆ ห้องของเขาในเวลาที่ไม่มีใครอยู่ในห้อง
16. ระหว่างสร้างหนัง คืนหนึ่ง สตีฟ จ็อบส์ โทรศัพท์มาหาโปรดิวเซอร์ ราล์ฟ กุกเกนไฮม์ พยายามจะโน้มน้าวใจให้ราล์ฟเลือกบ็อบ ดีแลน เป็นนักเขียนเพลงประกอบ
17. โคมไฟสีแดงของแอนดี้ ปรากฏตัวครั้งแรกใน Luxo Jr. (1986) และกลายเป็นเครื่องหมายของพิกซาร์ไปแล้ว
18. ตอนที่เจ้าฉลามสวมหมวกของวู้ดดี้และประกาศว่า “Look, I’m Woody! Howdy howdy howdy!” อ้างอิงมาจากอีแร้งที่กินคาวบอยใน The Far Side การ์ตูนรายวันของแกรี่ ลาร์สัน ตั้งแต่สมัยปี 1980s เจ้าแร้งร้องว่า “Hey everyone, look at me, I’m a cowboy! Howdy! Howdy! Howdy!” (“เฮ้ยทุกคนดูฉันนี่ ฉันเป็นคาวบอยล่ะ! เป็นไง เป็นไง เป็นไง!)
19. นามสกุลของแอนดี้คือ เดวิส แต่ไม่มีปรากฏในหนังเลย จนตอนเครดิตท้ายเรื่อง ชื่อลอรี่ เม็ทคาล์ฟขึ้นมาว่า “Mrs. Davis” (และนามสกุลแอนดี้ไปปรากฏจริงๆ จังๆ เมื่อภาคสามโน่นจ้ะ)
20. ชื่อของแอนดี้มาจาก แอนเดรียส “แอนดี้” แวน ดาม ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยบราวน์และนักคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโปรเจ็คของหนังเรื่องนี้
อ่านแล้ววิจารณ์ได้นะคะ อยากรู้ว่าถ้าทำของภาค 2, 3 มาแล้วจะอยากอ่านกันไหมคะ พอดีคิดว่าแฟนของอนิเมชั่นเรื่องนี้น่าจะเยอะอยู่ เผื่อจะอยากอ่านกัน
ขอบคุณค่ะ
มาตามสัญญาแล้วจ้ะ 25 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ Toy Story (ภาค 2) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ภาคสุดท้ายแล้วน้าา 29 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ Toy Story (ภาค 3) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/