กระทู้ที่แล้วเมย์ได้ลงรายละเอียดแบบภาพรวมของการทำงานใน Walt Disney World Resort ใครยังไม่เคยได้อ่านกระทู้นั้นสามารถคลิกที่ลิงค์นี้ได้เลยนะคะ
http://ppantip.com/topic/31564391/comment16-1
ไปๆมาๆ ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้นที่เมย์จะได้กลับไปทำงานรับใช้บอสมิกกี้อีกรอบ ! นับวันนับเดือนคอยเลยทีเดียว อาการแบบที่เปิดคลิปโชว์พลุ Wishesของที่WDW ดูเช้าเย็น เห็นรถไฟฟ้าแล้วนึกถึงโมโนเรลบ้าง ว่างๆก็นั่งนึกถึงตอนทำงานที่โน่น นึกถึงหมู่บ้านที่เคยอยู่ เด็กโครงการดิสนีย์อย่างเราๆจะเรียกอาการแบบนี้ว่า
“Disney Sick” ค่ะ
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว การผจญภัยต่างๆเริ่มตั้งแต่ล้อเครื่องบินยกตัวออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ในไฟล์ทสุดท้าย จำได้ว่าต้องเปลี่ยนเครื่องเยอะมาก มีการพิมพ์Gateในบอร์ดดิ้งพาสผิดบ้าง เครื่องเลทบ้าง แต่แก๊งเด็กไทยก็รอดมาได้ แต่เคยได้ยินกันไหมคะ ในเรื่องร้ายๆมักจะมีมุมดีๆเสมอ ประสบการณ์ดีๆเรื่องแรกที่ได้เจอคือ
“ไฟล์ท Cancel”
เอ๊ะ มันดียังไง ! เอาล่ะ งั้นมาพูดถึงเรื่องร้ายกันก่อน เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นคือการอดไปทัวร์ซานฟรานซิสโกทั้งๆที่ซื้อทัวร์หนึ่งวันเอาไว้แล้ว(เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปเฉยๆกับการรอเครื่องหลายชั่วโมง) เฝ้าจินตนาการถึง สะพานสีแดงสุดเจิดแต่ไปๆมาๆ ไฟล์ทกับยกเลิก เลยทำให้ต้องอยู่ที่สนามบินนาริตะ ไปเรื่อยๆรอทางสายการบินแจ้งอีกที
แต่ด้วยความที่เด็กดิสนีย์แต่ละคนมีอินเนอร์ที่ไม่หวั่นวิตกต่อสิ่งใด สิ่งที่พวกเราทำในตอนนั้นคือ นั่งเม้าท์กันอย่างออกรสชาติ
เรื่องว่าพอไปถึงจะทำอะไรบ้าง เล่นเกม ขอไลน์ ขอเฟส เป็นอันว่ารู้จักกันดีขึ้นตอนรอเครื่องนี่ล่ะค่ะ
หลังจากนั้นไม่นาน ทางสายการบินก็มีข่าวดีมาแจ้งว่า“ไฟล์ทที่จะไปต่อเครื่องที่ซานฟรานยกเลิกไปแล้วนะ พวกเธอมีสองตัวเลือก คือตัวเลือกแรกนอนรอที่สนามบินนี้ไปจนเช้าจะมีไฟล์ท หรือตัวเลือกที่สองคือ พวกเธอจะเดินทางไปฮาวาย แล้วค่อยต่อเครื่องที่โน่น”
ห๊ะ อะไรนะ “ฮา-วาย” เหรอ !!!!
นี่มันเป็นตัวเลือกที่แทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ใช่สิ พวกเราเลือกไป ฮาวาย!!!! แล้วเรื่องดีๆก็เกิดขึ้นตามมาอีกมากมายหลังจากนั้น ด้วยความที่สายการบินเดลต้าที่น่ารักของเราแสดงว่าเสียใจอย่างสุดซึ้ง เลยให้ที่พักฟรีของโรงแรม Marriott โรงแรมที่อยู่ติดทะเล มีเพียงถนนเล็กๆกั้นระหว่างตัวโรงแรมกับทะเลที่มีน้ำใสยังกับสวรรค์ เมย์ที่ได้พักที่ชั้น 9 ก็ว่าได้เห็นวิวสวยๆของเกาะแล้ว แต่เพิ่งมารู้เอาทีหลังว่าพี่ที่สนิทกันได้พักชั้น 22 โอย น่าจะขอไปอยู่ด้วย วิวที่นี่ยิ่งมองจากมุมสูงก็ยิ่งสวยค่ะ หลังจากนั้นเดลต้ายังมีบัตรกำนันอาหารให้อีกคนละ 25 ดอลล่าห์ ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยสำหรับมื้อกลางวัน เทียบกับเงินไทยก็คือ 750 บาท เมย์กับเพื่อนก็สั่งอาหาร มาแชร์กันหลายๆ อย่างบนโต๊ะจะได้ลองอาหารหลายๆแบบของที่นี่ ทั้งวันนั้นหมดเวลาไปกับการเดินเล่นที่ชายหาด ไอแดดอุ่นๆ ไม่ร้อนเกินไปของฮาวาย เสียงอูคูเลเล่ของชมรมผู้สูงอายุริมชายหาดที่ดู อารมณ์ดี๊อารมณ์ดีกัน พี่ๆร่วมโครงการบางคนก็ไม่เดินเล่นแต่เลือกที่จะนั่งรถบัสทัวร์รอบเมืองแทน ไม่กี่ชั่วโมงแค่นี้ก็เป็นความทรงจำดีๆ ที่ไม่มีวันลืมได้แล้วค่ะ
ไหนๆก็พูดถึงฮาวายแล้ว ไปดูบรรยากาศสักนิดแล้วกันนะคะ
หลังจากที่ออกมาจากเกาะสวรรค์แห่งนั้นแล้วพวกเราก็เดินทางด้วยเครื่องบิน อีกเพียงไม่นานก็ถึง สนามบินที่Orlando นั่งรอรถบัสของ Meers Transportation มารับไปยังหมู่บ้านที่ดิสนีย์จัดไว้ให้พวกเรา ดิสนีย์มีหมู่บ้านที่จัดไว้ให้พนักงานอยู่ 4 หมู่บ้านด้วยกัน คือ Chatham Square ,Patterson Court ,The Commons และ Vista way สำหรับใครที่ไม่เคยมาใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนด้วยตนเองมาก่อนไม่ต้องกลัวลำบากเลยนะคะ การันตีได้ว่าทุกหมู่บ้านของที่นี่สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจริงๆ เมย์ได้พักอาศัยอยู่ที่ The Commons ซึ่งแม้ชื่อดูคอมม่อนอย่างนี้ แต่ไม่คอมม่อนตามชื่อ เพราะมันได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่มีค่าเช่าแพงที่สุดใน4 หมู่บ้าน
ถ้าจะถามเหตุผลอะไรมันจึงแพงกว่าหมู่บ้านอื่น อาจจะเป็นเพราะว่ามันใหม่ที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเด็กโครงการไม่ได้เป็นคนเลือกหมู่บ้านเองค่ะ เป็นการแรนดอมทั้งสิ้นเพื่อป้องกันความวุ่นวาย ของจำนวนพนักงานที่มีมากเหลือเกิน
แต่ข้อดีที่เลิศเลอเพอร์เฟคของหมู่บ้านนี้คือ มันอยู่ห่างจาก “ Out Let” เพียงข้ามถนนเท่านั้น ! เด็กหมู่บ้านนี้ก่อนออกไปทำงานหรือหลังทำงานเสร็จก็จะมากินๆ ช้อปๆ แถวนี้ ช้อปแบรนด์ดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Juicy Couture ,COACH,Prada,Burberry และอีกมากที่ดูดทรัพย์สินของท่านได้
สาเหตุต้นๆ ของการรั่วไหลของเงินเมย์คือสิ่งนี้เอง
มาว่าเรื่องในหมู่บ้านกันต่อ ทุกบ้านมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีห้องครัวที่มีอุปกรณ์ทำครัวแทบทุกอย่าง ทั้งมีด หม้อ เขียง กระทะ เตาอบ สำหรับสาวแม่บ้านแม่เรือน อยากหยิบจับทำของคาว หวานได้หมด ในห้องนอนแม้จะไม่หรูหราอลังการมาก แต่ก็มีห้องน้ำในตัว มีห้องแต่งตัว อ่างอาบน้ำ เครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้า เอาเป็นว่าห่างไกลจากคำว่าอยู่ลำบากอยู่มากโข ในทุกหมู่บ้านยังมีสระว่ายน้ำ และฟิตเนสอีกด้วยค่ะ เรื่องฟินๆสำหรับวัยรุ่นอีกก็คือ ประชากรพนักงานดิสนีย์ในหมู่บ้านทั้ง4หมู่บ้าน เป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งหมด พูดง่ายๆก็คือเป็นเด็กนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆจากทั่วโลก ในโครงการ International College Program โดยเหล่าพนักงานประจำจะเรียกพวกเราพนักงานนักศึกษา สั้นๆว่า
“ICP”
และเมื่อเหล่าเด็กวัยรุ่นมารวมตัวกันมากมายขนาดนี้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีปาร์ตี้เจ๋งๆอยู่เสมอ มีทติ้งกัน บางคนก็เจอ Prince Charming กันในหมู่บ้านหรือที่ทำงานเนี่ยแหละ
นี่เลยThe Commons ของเรา
สองสามวันแรกของที่นี่จะเป็นวันที่ต้องลุ้นๆๆ กันอยู่ตลอดเวลา ลุ้นว่าจะได้อยู่หมู่บ้านไหน เฮ้าส์เมทมีคนไทยหรือไม่ ทำงานปาร์คไหนหรือรีสอร์ทไหน และชุดพนักงานเป็นยังไง อันนี้ลุ้นกันสนุกที่สุด เพราะการทำงานในแต่ละพื้นที่จะต้องมีคอสตูมที่แตกต่างกันออกไป เช่น เมย์ทำงานในร้าน Mouse Gear ใน EPCOT ซึ่งออกเป็นพาร์ธีมฟิวเจอร์ๆ และ Mouse Gear ถูกเองก็ออกแบบเป็นโรงงานผลิตของเล่น เวลาเดินเข้าไปในร้านจะได้ยินเสียงครอบครัวเป็ดของโดนัลดัคพูดคุยไป มีเสียงผลิตของเล่นไป ชุดพนักงานของเมย์จึงจะสีสันสดใส กระฉับกระเฉงเหมือนตัวการ์ตูนที่ทำหน้าที่ผลิตของเล่น
ถ้าได้ทำงานใน Magic Kingdom ก็ต้องได้ชุดธีมเทพนิยายหน่อย ผู้หญิงจะได้ใส่ชุดประมาณว่า กระโปรงสีชมพูพองๆที่ชาย มีผ้ากันเปื้อนสีขาว ขอบอกเลยว่าอิจฉาชุดของพาร์คนี้ที่สุด และวันหยุดที่ว่างๆก็เคยมาทำงานที่พาร์คนี้ครั้งนึงค่ะ ชุดน่ารักเกิ๊นเลยขอถ่ายเก็บไว้ซักหน่อย อยู่ร้านตัวเองไม่ได้ใส่กระโปรงเลย พอพ้นช่วงไม่กี่วันแรกไปเราก็จะได้รับของเหล่านี้ครบ ไม่ว่าจะเป็นบัตรพนักงาน ป้ายชื่อ และบัตรเข้าหมู่บ้าน ฮู้วว ได้เป็นพนักงานแบบเต็มตัวกับเค้าสักที
นี่คือเหล่า ICP Mouse Gear ทั้งหลายที่มาจากมหาลัยต่างๆทุกมุมโลก เรื่องชุดสีสดๆต้องยกให้ร้านเราเลย
และนี่คือชุดที่น่าอิจฉาของพาร์คเมจิกคิงดอมค่ะ ได้มีโอกาสไปทำงานที่นั่นครั้งเดียวเอง จำได้ว่าไปทำงานที่ร้านหมีพูห์ และ ร้านขายของเล็กๆของคนแคระทั้งเจ็ดใน New Fantasy Land
และบัตรพนักงานที่ต้องรักษายิ่งชีพ
ด้านการเทรนพนักงาน การมาทำงานที่ Walt Disney World ทำให้เมย์ได้เรียนสิ่งที่น่าสนใจมากมาย แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการมาทำงานที่นี่ทำให้ได้เรียนรู้คือ
“เทคนิคการซื้อใจพนักงาน”
พนักงานของที่นี่เป็น Disney big fan กันแทบทุกคน เอาเป็นว่าหลงไหลได้ปลื้มกับความเป็นดิสนีย์มาตั้งแต่ตอนต้นจนต้องดั้นด้นมาทำงานที่นี่ ทำให้พนักงานเหล่านี้มีความรักและศรัทธาในองค์กรที่พวกเขาทำงานอยู่ ณ จุดนี้คงต้องขอบคุณ recruiting team ที่คัดคนที่มีลักษณะนิสัยความชอบคล้ายๆกันมาอยู่รวมกัน ทำให้ถึงแม้จะเป็นองค์กรใหญ่ มีความเป๊ะในหลายๆด้านแต่เรื่องเฮฮาปาร์ตี้ “ฮาคูนามาทาท่า” นี่ก็ต้องยกให้เราอีกเหมือนกัน การทำงานของเมย์เลยเป็นการทำงานที่รายล้อมไปด้วยผู้คนที่ยิ้มเก่ง อารมณ์ดี มองโลกในแง่บวก ซึ่งทำให้บรรยากาศในการทำงานดีมากจริงๆค่ะ
**Hakuna matata เป็นคติประจำใจของทีโมนและพูมบ้าในการ์ตูนThe Lion King ซึ่งแปลว่า don’t worry, be happy
[CR] (ภาคต่อมาแล้วค่า)ประสบการณ์ทำงานของฉันใน Walt Disney World Resort in Orlando, Florida
http://ppantip.com/topic/31564391/comment16-1
ไปๆมาๆ ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้นที่เมย์จะได้กลับไปทำงานรับใช้บอสมิกกี้อีกรอบ ! นับวันนับเดือนคอยเลยทีเดียว อาการแบบที่เปิดคลิปโชว์พลุ Wishesของที่WDW ดูเช้าเย็น เห็นรถไฟฟ้าแล้วนึกถึงโมโนเรลบ้าง ว่างๆก็นั่งนึกถึงตอนทำงานที่โน่น นึกถึงหมู่บ้านที่เคยอยู่ เด็กโครงการดิสนีย์อย่างเราๆจะเรียกอาการแบบนี้ว่า
“Disney Sick” ค่ะ
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว การผจญภัยต่างๆเริ่มตั้งแต่ล้อเครื่องบินยกตัวออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ในไฟล์ทสุดท้าย จำได้ว่าต้องเปลี่ยนเครื่องเยอะมาก มีการพิมพ์Gateในบอร์ดดิ้งพาสผิดบ้าง เครื่องเลทบ้าง แต่แก๊งเด็กไทยก็รอดมาได้ แต่เคยได้ยินกันไหมคะ ในเรื่องร้ายๆมักจะมีมุมดีๆเสมอ ประสบการณ์ดีๆเรื่องแรกที่ได้เจอคือ
“ไฟล์ท Cancel”
เอ๊ะ มันดียังไง ! เอาล่ะ งั้นมาพูดถึงเรื่องร้ายกันก่อน เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นคือการอดไปทัวร์ซานฟรานซิสโกทั้งๆที่ซื้อทัวร์หนึ่งวันเอาไว้แล้ว(เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปเฉยๆกับการรอเครื่องหลายชั่วโมง) เฝ้าจินตนาการถึง สะพานสีแดงสุดเจิดแต่ไปๆมาๆ ไฟล์ทกับยกเลิก เลยทำให้ต้องอยู่ที่สนามบินนาริตะ ไปเรื่อยๆรอทางสายการบินแจ้งอีกที
แต่ด้วยความที่เด็กดิสนีย์แต่ละคนมีอินเนอร์ที่ไม่หวั่นวิตกต่อสิ่งใด สิ่งที่พวกเราทำในตอนนั้นคือ นั่งเม้าท์กันอย่างออกรสชาติ
เรื่องว่าพอไปถึงจะทำอะไรบ้าง เล่นเกม ขอไลน์ ขอเฟส เป็นอันว่ารู้จักกันดีขึ้นตอนรอเครื่องนี่ล่ะค่ะ
หลังจากนั้นไม่นาน ทางสายการบินก็มีข่าวดีมาแจ้งว่า“ไฟล์ทที่จะไปต่อเครื่องที่ซานฟรานยกเลิกไปแล้วนะ พวกเธอมีสองตัวเลือก คือตัวเลือกแรกนอนรอที่สนามบินนี้ไปจนเช้าจะมีไฟล์ท หรือตัวเลือกที่สองคือ พวกเธอจะเดินทางไปฮาวาย แล้วค่อยต่อเครื่องที่โน่น”
ห๊ะ อะไรนะ “ฮา-วาย” เหรอ !!!!
นี่มันเป็นตัวเลือกที่แทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ใช่สิ พวกเราเลือกไป ฮาวาย!!!! แล้วเรื่องดีๆก็เกิดขึ้นตามมาอีกมากมายหลังจากนั้น ด้วยความที่สายการบินเดลต้าที่น่ารักของเราแสดงว่าเสียใจอย่างสุดซึ้ง เลยให้ที่พักฟรีของโรงแรม Marriott โรงแรมที่อยู่ติดทะเล มีเพียงถนนเล็กๆกั้นระหว่างตัวโรงแรมกับทะเลที่มีน้ำใสยังกับสวรรค์ เมย์ที่ได้พักที่ชั้น 9 ก็ว่าได้เห็นวิวสวยๆของเกาะแล้ว แต่เพิ่งมารู้เอาทีหลังว่าพี่ที่สนิทกันได้พักชั้น 22 โอย น่าจะขอไปอยู่ด้วย วิวที่นี่ยิ่งมองจากมุมสูงก็ยิ่งสวยค่ะ หลังจากนั้นเดลต้ายังมีบัตรกำนันอาหารให้อีกคนละ 25 ดอลล่าห์ ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยสำหรับมื้อกลางวัน เทียบกับเงินไทยก็คือ 750 บาท เมย์กับเพื่อนก็สั่งอาหาร มาแชร์กันหลายๆ อย่างบนโต๊ะจะได้ลองอาหารหลายๆแบบของที่นี่ ทั้งวันนั้นหมดเวลาไปกับการเดินเล่นที่ชายหาด ไอแดดอุ่นๆ ไม่ร้อนเกินไปของฮาวาย เสียงอูคูเลเล่ของชมรมผู้สูงอายุริมชายหาดที่ดู อารมณ์ดี๊อารมณ์ดีกัน พี่ๆร่วมโครงการบางคนก็ไม่เดินเล่นแต่เลือกที่จะนั่งรถบัสทัวร์รอบเมืองแทน ไม่กี่ชั่วโมงแค่นี้ก็เป็นความทรงจำดีๆ ที่ไม่มีวันลืมได้แล้วค่ะ
ไหนๆก็พูดถึงฮาวายแล้ว ไปดูบรรยากาศสักนิดแล้วกันนะคะ
หลังจากที่ออกมาจากเกาะสวรรค์แห่งนั้นแล้วพวกเราก็เดินทางด้วยเครื่องบิน อีกเพียงไม่นานก็ถึง สนามบินที่Orlando นั่งรอรถบัสของ Meers Transportation มารับไปยังหมู่บ้านที่ดิสนีย์จัดไว้ให้พวกเรา ดิสนีย์มีหมู่บ้านที่จัดไว้ให้พนักงานอยู่ 4 หมู่บ้านด้วยกัน คือ Chatham Square ,Patterson Court ,The Commons และ Vista way สำหรับใครที่ไม่เคยมาใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนด้วยตนเองมาก่อนไม่ต้องกลัวลำบากเลยนะคะ การันตีได้ว่าทุกหมู่บ้านของที่นี่สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจริงๆ เมย์ได้พักอาศัยอยู่ที่ The Commons ซึ่งแม้ชื่อดูคอมม่อนอย่างนี้ แต่ไม่คอมม่อนตามชื่อ เพราะมันได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่มีค่าเช่าแพงที่สุดใน4 หมู่บ้าน
ถ้าจะถามเหตุผลอะไรมันจึงแพงกว่าหมู่บ้านอื่น อาจจะเป็นเพราะว่ามันใหม่ที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเด็กโครงการไม่ได้เป็นคนเลือกหมู่บ้านเองค่ะ เป็นการแรนดอมทั้งสิ้นเพื่อป้องกันความวุ่นวาย ของจำนวนพนักงานที่มีมากเหลือเกิน
แต่ข้อดีที่เลิศเลอเพอร์เฟคของหมู่บ้านนี้คือ มันอยู่ห่างจาก “ Out Let” เพียงข้ามถนนเท่านั้น ! เด็กหมู่บ้านนี้ก่อนออกไปทำงานหรือหลังทำงานเสร็จก็จะมากินๆ ช้อปๆ แถวนี้ ช้อปแบรนด์ดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Juicy Couture ,COACH,Prada,Burberry และอีกมากที่ดูดทรัพย์สินของท่านได้
สาเหตุต้นๆ ของการรั่วไหลของเงินเมย์คือสิ่งนี้เอง
มาว่าเรื่องในหมู่บ้านกันต่อ ทุกบ้านมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีห้องครัวที่มีอุปกรณ์ทำครัวแทบทุกอย่าง ทั้งมีด หม้อ เขียง กระทะ เตาอบ สำหรับสาวแม่บ้านแม่เรือน อยากหยิบจับทำของคาว หวานได้หมด ในห้องนอนแม้จะไม่หรูหราอลังการมาก แต่ก็มีห้องน้ำในตัว มีห้องแต่งตัว อ่างอาบน้ำ เครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้า เอาเป็นว่าห่างไกลจากคำว่าอยู่ลำบากอยู่มากโข ในทุกหมู่บ้านยังมีสระว่ายน้ำ และฟิตเนสอีกด้วยค่ะ เรื่องฟินๆสำหรับวัยรุ่นอีกก็คือ ประชากรพนักงานดิสนีย์ในหมู่บ้านทั้ง4หมู่บ้าน เป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งหมด พูดง่ายๆก็คือเป็นเด็กนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆจากทั่วโลก ในโครงการ International College Program โดยเหล่าพนักงานประจำจะเรียกพวกเราพนักงานนักศึกษา สั้นๆว่า
“ICP”
และเมื่อเหล่าเด็กวัยรุ่นมารวมตัวกันมากมายขนาดนี้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีปาร์ตี้เจ๋งๆอยู่เสมอ มีทติ้งกัน บางคนก็เจอ Prince Charming กันในหมู่บ้านหรือที่ทำงานเนี่ยแหละ
นี่เลยThe Commons ของเรา
สองสามวันแรกของที่นี่จะเป็นวันที่ต้องลุ้นๆๆ กันอยู่ตลอดเวลา ลุ้นว่าจะได้อยู่หมู่บ้านไหน เฮ้าส์เมทมีคนไทยหรือไม่ ทำงานปาร์คไหนหรือรีสอร์ทไหน และชุดพนักงานเป็นยังไง อันนี้ลุ้นกันสนุกที่สุด เพราะการทำงานในแต่ละพื้นที่จะต้องมีคอสตูมที่แตกต่างกันออกไป เช่น เมย์ทำงานในร้าน Mouse Gear ใน EPCOT ซึ่งออกเป็นพาร์ธีมฟิวเจอร์ๆ และ Mouse Gear ถูกเองก็ออกแบบเป็นโรงงานผลิตของเล่น เวลาเดินเข้าไปในร้านจะได้ยินเสียงครอบครัวเป็ดของโดนัลดัคพูดคุยไป มีเสียงผลิตของเล่นไป ชุดพนักงานของเมย์จึงจะสีสันสดใส กระฉับกระเฉงเหมือนตัวการ์ตูนที่ทำหน้าที่ผลิตของเล่น
ถ้าได้ทำงานใน Magic Kingdom ก็ต้องได้ชุดธีมเทพนิยายหน่อย ผู้หญิงจะได้ใส่ชุดประมาณว่า กระโปรงสีชมพูพองๆที่ชาย มีผ้ากันเปื้อนสีขาว ขอบอกเลยว่าอิจฉาชุดของพาร์คนี้ที่สุด และวันหยุดที่ว่างๆก็เคยมาทำงานที่พาร์คนี้ครั้งนึงค่ะ ชุดน่ารักเกิ๊นเลยขอถ่ายเก็บไว้ซักหน่อย อยู่ร้านตัวเองไม่ได้ใส่กระโปรงเลย พอพ้นช่วงไม่กี่วันแรกไปเราก็จะได้รับของเหล่านี้ครบ ไม่ว่าจะเป็นบัตรพนักงาน ป้ายชื่อ และบัตรเข้าหมู่บ้าน ฮู้วว ได้เป็นพนักงานแบบเต็มตัวกับเค้าสักที
นี่คือเหล่า ICP Mouse Gear ทั้งหลายที่มาจากมหาลัยต่างๆทุกมุมโลก เรื่องชุดสีสดๆต้องยกให้ร้านเราเลย
และนี่คือชุดที่น่าอิจฉาของพาร์คเมจิกคิงดอมค่ะ ได้มีโอกาสไปทำงานที่นั่นครั้งเดียวเอง จำได้ว่าไปทำงานที่ร้านหมีพูห์ และ ร้านขายของเล็กๆของคนแคระทั้งเจ็ดใน New Fantasy Land
และบัตรพนักงานที่ต้องรักษายิ่งชีพ
ด้านการเทรนพนักงาน การมาทำงานที่ Walt Disney World ทำให้เมย์ได้เรียนสิ่งที่น่าสนใจมากมาย แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการมาทำงานที่นี่ทำให้ได้เรียนรู้คือ
“เทคนิคการซื้อใจพนักงาน”
พนักงานของที่นี่เป็น Disney big fan กันแทบทุกคน เอาเป็นว่าหลงไหลได้ปลื้มกับความเป็นดิสนีย์มาตั้งแต่ตอนต้นจนต้องดั้นด้นมาทำงานที่นี่ ทำให้พนักงานเหล่านี้มีความรักและศรัทธาในองค์กรที่พวกเขาทำงานอยู่ ณ จุดนี้คงต้องขอบคุณ recruiting team ที่คัดคนที่มีลักษณะนิสัยความชอบคล้ายๆกันมาอยู่รวมกัน ทำให้ถึงแม้จะเป็นองค์กรใหญ่ มีความเป๊ะในหลายๆด้านแต่เรื่องเฮฮาปาร์ตี้ “ฮาคูนามาทาท่า” นี่ก็ต้องยกให้เราอีกเหมือนกัน การทำงานของเมย์เลยเป็นการทำงานที่รายล้อมไปด้วยผู้คนที่ยิ้มเก่ง อารมณ์ดี มองโลกในแง่บวก ซึ่งทำให้บรรยากาศในการทำงานดีมากจริงๆค่ะ
**Hakuna matata เป็นคติประจำใจของทีโมนและพูมบ้าในการ์ตูนThe Lion King ซึ่งแปลว่า don’t worry, be happy