##*[[แชร์ประสบการณ์]] เมื่อเด็กมึนๆต้องเตรียมตัวไปเรียนภาษาที่ดินแดนแห่งเสรีภาพ!! ## (ไม่มีรูปนะคะ)

##เนื้อหายาวและเวิ่นเว้อมาก ใครไม่ชอบเวิ่นๆโปรดข้าม และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ 555555555 ##
สวัสดีค่าทุกๆท่าน วันนี้จะมาขอแบ่งปันประสบการณ์การขอวีซ่าอเมริกา ประเภทนักเรียน (F-1) และการสัมภาษณ์ค่ะ แต่กระทู้ไม่มีรูปนะคะ พึ่งตัดสินใจเขียนกระทู้ตอนที่ทำเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว เลยไม่ได้แคปหน้าอะไรไว้เลยค่ะ

คือออออ

เนื่องจากเมื่อซักประมาณปีก่อน จขกทได้รับสารจากท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัย ผิด!
ป่าวค่ะ แค่อธิการบดีท่านประกาศว่า ปีหน้าเปิดอาเซียน

ห้ะ!!

ใช่ค่ะ ปิดเทอมนี้จะยาวถึงเกือบห้าเดือนทีเดียว เราเลยตัดสินใจว่า เราคงจะอยู่เฉยๆไม่ได้แล้ว ปิดเทอมนานขนาดนั้นมีหวังเปิดเทอมเขียนหนังสือไม่ได้กันพอดี เลยนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ว่าปิดเทอมนี้ควรทำอะไร ถกเถียงไปมากันซักพักถึงข้อดีข้อเสียนู่นนี่

บอกตรงๆนะคะ ไม่กล้าไป work and travel เพราะกลัวไปป่วยอยู่ที่นู่น สุขภาพก็ใช่ว่าจะดี ข้อนี้เลยถูกตัดออกไปตั้งแต่แรกค่ะ

และสุดท้าย มันก็มาลงที่ การไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ แหม่ ต้อนรับการเปิดอาเซียนทีเดียวเทียวว หลังจากนั้นก็เริ่มหาที่เรียนค่ะ เอาจริงๆอยากไปอังกฤษมากกกกกก เพราะชอบภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ //บอกความจริงเถอะ หลงรักผู้ชายอังกฤษต่างหาก 55555 หาคอร์สที่ไปได้ก็มีนะคะ
แต่ข้อจำกัดเรามีสองข้อคือ 1.งบประมาณจำกัด 2.สุขภาพเราไม่ดี
ซึ่งอังกฤษเป็นที่ที่ไม่สามารถตอบโจทย์เราได้ทั้งสองข้อ คือ
1.มันแพงมากค่ะ รวมค่าหอ ค่ากินค่าอยู่ เกินงบไปมากค่ะ 2.ไม่มีคนที่พ่อแม่เราไว้ใจจะให้ดูแลสุขภาพเราได้
อังกฤษเป็นอันตกไป

และแล้วก็เหมือนสวรรค์ช่วยคิด เอ้ะะ ชั้นมีญาติอยู่อเมริกานี่หน่าา ไปอยู่เมืองเดียวกับญาติดีมั้ยนะะ เผื่อมีอะไรเค้าจะได้ช่วยดูให้
เลยตัดสินใจหาเอเจนซี่ชื่อดังแห่งหนึ่งแล้วก็ได้ที่เรียนมาที่นึง จึงนำไปปรึกษากับญาติ เค้าพูดกับเราว่า เค้าไม่รู้จักที่นี่เลย เราแบบ TT ตายละะะะ แล้วญาติเค้าก็แนะนำมาว่าให้เรียนที่ Highline Community college ซึ่งมีสถาบันสอนภาษาของ Kaplan International ที่โด่งดังและน่าเชื่อถือฝังตัวอยู่ ก็ไฉนเลย เลยเลือกที่นี่ค่ะ ที่นี่ตอบโจทย์เรามั้งสองข้อเลย คือ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ในงบที่วางไว้และเราไปอยู่กับญาติเลยมั่นใจว่าจะมีคนดูแลเรื่องสุขภาพเราได้แน่นอนค่ะ

วิธีสมัครจากที่เรียนก็ดูจากนี้ค่ะ >>>> http://international.highline.edu/intensiveEnglish/howToApply.htm

บอกตรงๆ ด้วยสกิลภาษาอังกฤษอันน้อยนิด ยอมรับว่า อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องเลยค่ะ แต่ที่เราสรุปมาเองก็ประมาณว่า
1.ดาวน์โหลดใบสมัครจากเวบไซต์ กรอกและส่งทางไปรษณีย์ไปให้เค้าพร้อมกับ statement
2.เมื่อทุกอย่างผ่าน ก็ต้องจ่ายเงิน $110 และเค้าจะออกแบบฟอร์ม I-20 ให้ใน 24 ชม.

แล้วหลังจากนั้นเราก็จะสามารถนำ I-20 ไปขอวีซ่าที่สถานทูตได้ค่ะ

เราก็ อ่ะๆ ตามนั้นๆ
พอส่งอีเมลไป ก็รอ... รอ รอ รอ เห้ยยย นี่มันเป็นเดือนแล้วนะทำไมยังไม่ตอบกลับมาอีกล่ะ เราเลยติดต่อกับญาติเราไป เค้าเลยตัดสินใจไปตามเรื่องที่โรงเรียนให้เรา
**จะบอกว่าขั้นตอนนี้เขินมาก เราไม่ได้ทำเองซักอย่างนอกจากกรอกใบต่างๆและส่งไปให้เค้า

สุดท้าย ก็มีอีเมลฉบับนึงส่งมาถึงเรา ส่งมากจาก เอิ่ม... director โรงเรียน เค้าเขียนถึงอาเราว่าขอโทษด้วยจริงๆกับความผิดพลาดบลาๆๆๆ และท้ายสุดเค้าก็แนบใบสมัครและเอกสารอื่นๆให้ท้ายอีเมล เราก็แบบ ดีใจอ่ะะะ ซะทีเถอะ แต่ญาติเราตัดสินใจว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลาอีก เค้าจะเป็นคนไปยื่นที่รร.เอง พอยื่นที่รร.แล้ว วันต่อมาโรงเรียนก็โทรศัพท์ตามให้ญาติเราไปรับ I-20 ได้เลยที่รร.ค่ะ แล้วญาติเราก็ส่งเอกสารทั้งหมดที่รร.ออกให้มาให้เราโดยส่งเป็นแบบไปรษณีย์อีเอ็มเอส

ระหว่างที่จดหมายกำลังเดินทางเราเช็คสถานะได้ตลอดนะคะ เราโหลดแอพของไปรษณีย์อเมริกาไว้เช็คแทรกกิ้งได้ค่ะ ชื่อแอพ USPS Mobile ค่ะ หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ
VV


พอมาถึงไทยเราก็จัดการเตรียมเอกสารให้เรียบร้อย ตามลิงค์นี้ที่พี่เค้าทำไว้นะคะ
http://www.onnbaby.com/latest-update/travel-%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3-2/ ต้องขอบคุณพี่ไว้ที่นี่ด้วยนะคะ

สำหรับเอกสารที่เราเตรียมมีดังนี้ค่ะ
1.เอกสารบังคับต่างๆ I-20 ใบเสร็จต่างๆที่จ่ายเงินแล้ว ใบยืนยันการลงทะเบียน DS-160 ฯลฯ
2.statement มีทั้งของพ่อแม่เราและของญาติที่อเมริกาค่ะ
3.ใบรับรองการเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ต้องขอภาษาไทยมาเลยนะคะ เปลืองมาก ตั้งร้อยนึง เสียดายจริงๆ
4.ใบตอบรับเข้าเรียนของทางโรงเรียนค่ะ ของเราเป็น Letter of acceptance ค่ะ
5.เอกสารทางราชการของไทย สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน

และแล้วววว ก็ถึงวันสัมภาษณ์...

เป็นวันที่สุดๆสำหรับเราจริงๆค่ะ
เมื่อรถมาถึงใกล้ถนนวิทยุเข้าไปทุกที เราก็สำเหนียกได้ว่า...
เราลืมพาสปอร์ตไว้ที่บ้าน!!

เฮือกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

เม่าบาดเจ็บเม่าบาดเจ็บ

สั่นค่าา สั่นไปหมด ตอนออกจากบ้านก็พยายามเชคแล้วนะคะ แต่ลืม ลืมจริงๆ

เราอยู่บนรถก็โทรกลับไปที่บ้านโดนคุณพ่อคุณแม่เอ็ดเลยล่ะ แต่ก็สมควรนะคะ สะเพร่ามาก เราก็กลัวไปหมด แต่โชคดีว่าคุณพ่อจะเข้ามาทำงานที่สีลมพอดีวันนั้น เลยจะเอามาให้ คุณพ่อเลยให้ไปถามที่สถานทูตว่าเราเลทที่สุดได้ถึงกี่โมง พอคนที่สถานทูตบอกว่าได้ถึง 10 โมงเท่านั้นแหละค่ะ เดินออกมาโทรหาที่บ้าน นั่งปล่อยโฮอยู่ป้ายรถเมล์หน้าสถานทูตเลย เครียดจัด

ณ วินาทีนั้น ที่นั่งรอคุณพ่อ เราถึงกับสวดเลยทีเดียว แต่เราก็ขออย่างเดียว ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เรายอมรับได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็มาทันค่ะ  ีใจมากกกกกกก

ก่อนเข้าสถานทูตต้องเช็คดีๆนะคะว่าเค้าห้ามเอาอะไรเข้าไปบ้าง แบตสำรอง หูฟัง ทรัมพ์ไดรฟ์ สายชาร์จ ของมีคม และอื่นๆ เช็คได้จากอีเมลคอนเฟิร์มจองวันสัมภาษณ์นะคะ เรามีของเหล่านี้เลยต้องไปฝากไว้ที่โต๊ะรับฝากค่ะ เสียค่าฝาก 100 บาท แต่ของก็ปลอดภัยดีค่ะ พนักงานที่สถานทูตเป็นคนบอกให้มาที่นี่เองเลยเป็นโต๊ะตั้งอยู่ตรงที่มีขายของเยอะๆอ่ะค่ะ แต่กระเป๋าถือไม่ต้องฝากนะคะ เอาเข้าได้ค่ะ แต่ต้องเอาเข้าเครื่องสแกนเหมือนที่สนามบินก่อนค่ะ

ขั้นตอนหลังจากนั้นไม่ยุ่งยากซับซ้อนค่ะ ไปเองก็เข้าใจ แต่สิ่งที่อยากจะติมากๆของสถานทูตคือ
คนไทยที่ทำงานในสถานทูตทหลายคนทำเหมือนคนไทยด้วยกันเป็นประชาชนชั้นสอง

เราบอกตรงๆว่าไม่เข้าใจ คือเกิดอะไรขึ้นที่นี่หรอคะ ฝรั่งที่เจอน่ารักทั้งนั้นเลยค่ะ คนไทยเป็นอะไรคะ???

ตอนแรกเรานึกว่าเราคิดอยู่คนเดียว เราเลยลองผู้มิตรกับคนที่คิวติดๆกันและลองพูดเรื่องนี้ดู กี่คนๆพูดแบบเดียวกันหมดเลยค่ะ
ปรับปรุงตรงนี้หน่อยนะคะ ขอล่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อประจำการไปขอวีซ่าที่หลายคนเค้าก็พูดกันมานานแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าดีขึ้นบ้างรึยัง แต่นี่ก็คงดีขึ้นแล้วละมังคะ สู้ๆนะคะ พัฒนาต่อไปค่ะ

และแล้วก็มาถึงที่ที่ทุกคนรอคอย ช่องสัมภาษณ์!!
ช่องที่เราได้เป็นคุณฝรั่งผู้ชาย หน้าตาหล่อเหลาเอาการแบบฝรั่ง พูดภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ แต่เก่งมาก เรียงประโยคผิดบ้าง แต่เข้าใจได้ค่ะ
เราเดินเข้าไป ยิ้มหวานๆและจริงใจ คำถามมีประมาณนี้(ไม่ครบนะคะ ตื่นเต้นสมองมึน 5555555)
A:เคยไปอเมริกาไหมครับ
B:ไม่เคยค่ะ
A:จะไปเรียนที่ไหนครับ
B:Kaplan ที่ seattle ค่ะ
A:ใครเป็นคนจ่ายค่าเรียนครับ
B:คุณพ่อค่ะ
A:ไปอยู่กับใครครับ
B:คุณอาค่ะ
A:แล้วคุณ...(อาเรา) นี่เป็นใครครับ
B:เป็นคุณอาค่ะ (เราคิดแบบ เอิ่ม อ่านอะไรไม่รู้เรื่องหรอคะ ถามวนซะงั้น 55555)

เค้าก็อ่านๆ และพูดประโยคทอง...
วีซ่าผ่านนะครับ ไปซื้อซองที่ไปรษณีย์ได้เลยครับ

โอ้วเยสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส

เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์

ความเปรมปรีดิ์ได้ลบอารมณ์เมื่อเช้าที่ได้เกิดเรื่องไปเสียสิ้น เดินตัวลอย หน้ายิ้มตลอดเวลา หุบยิ้มไม่ได้ไปทั้งวัน 5555555

ไปสัมภาษณ์เมื่อวันอังคาร วันพฤหัสบดี พาสปอร์ตก็ส่งถึงบ้านแล้วค่ะ

สำหรับเรา สิ่งที่คิดว่าสำคัญมากๆคือ statement ค่ะ คนที่คิวหลังเรา สัมภาษณ์คนเดียวกับเราไม่ผ่าน เพราะเหมือน statement จะไม่ชัดเจน หรืออะไรซักอย่าง แต่เป็นเรื่องนี้แน่ๆ เพราะเค้าโดนถามเรื่องนี้เยอะ

แล้วก็ เรื่องที่ว่าการมีอะไรที่มันคงมากๆเช่น การเป็นนักเรียนนักศึกษาหรือทำงานราชการ ทำให้ขอวีซ่าง่ายขึ้นนั้น เราว่ามีส่วนค่ะ คนที่สัมภาษณ์ก่อนหน้าเราเป็นข้าราชการ แต่ statement ชัดเจน ถามแค่ไม่เกิน 3-4 ประโยคเองค่ะ เราเองเป็นนักศึกษาก็ไม่มากค่ะ ถือว่ารับได้ สัมภาษณ์ไม่เกิน 5 นาทีเลยจริงๆ

ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่