สวัสดีครับเพื่อนเพื่อน กลับมารีวิวต่อสำหรับทริปเที่ยวเหนือส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีมะเมีย หลังจากที่ได้บอกกล่าวเล่าความไปได้ 4 ตอนเริ่มต้นแต่
ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/31545621
ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/31550088
ตอนที่ 3
http://ppantip.com/topic/31559445
ตอนที่ 4
http://ppantip.com/topic/31564955
ขอเกริ่นนำสักหน่อยสำหรับรีวิวตอนที่ 4 จุดหมายปลายทางที่พวกเราจะพักค้างแรมในคืนที่ 4 นี้คือ "ภูชี้เพ้อ"ที่ตั้ง"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด" อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อนเพื่อนหลายคนถามมาว่าพิมพ์ผิดหรือป่าว น่าจะเป็น"ภูชี้ฟ้า"นะ อันนี้ต้องขอยืนยันว่าเป็น"ภูชี้เพ้อ"แน่นอนครับ หลังจากที่เดินทางไปถึง"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด" ได้พบกับมิตรภาพดีดี หาที่กางเต็นท์แล้วพวกเราก็เดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกกันบน"ยอดภูชี้เพ้อ" นี่เป็นเรื่องราวที่ถูกกล่าวทิ้งท้ายไว้ในรีวิวตอนที่ 4 เหตุที่ไม่รีวิวให้จบวันไปเลยก็เพราะผมอยากให้เพื่อนเพื่อนได้เห็นความงามยามพระอาทิตย์อัสดง และในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นกันอย่างเต็มอิ่ม และอยากเชิญชวนให้เพื่อนเพื่อนมาสัมผัสด้วยตาตัวเองจริงจริงถึงความงามที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปเที่ยวด้วยกันต่อเลยครับ
เส้นทางเดินขึ้นยัง"ภูชี้เพ้อ"จากจุดที่พวกเรากางเต็นท์กันประมาณ 1 กิโลเมตร ไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยเรื่อย ทางเดินมีการทำเป็นขั้นบันไดให้ได้เดินสะดวกขึ้น
ท้องฟ้าเริ่มแบบแยกบรรยากาศ
เดินมาถึงครึ่งทางจะมีบ้านพักหลังหนึ่งตั้งอยู่ระหว่างทาง วิวสวยสุดยอดมองไปรอบรอบได้เกินกว่า 180 องศาน่ามานอนจริงจริง แต่เห็นทางเดินขึ้นมาแล้วก็คิดหนักเพราะรถต้องจอดอยู่ด้านล่างแล้วเดินแบกสัมภาระขึ้นมาบนนี้อันนี้นี่ล่ะปัญหา
ถ่ายรูปหมู่กันสักหน่อยครับ
ด้วยระเบียงที่กว้างขวางก็เลยมีหลายมุมที่สวยงาม
นั่งพักเหนื่อยไป ถ่ายรูปไป แสงแดดรำไพก็เริ่มสาดส่องไปทั่วขุนเขาที่ขึ้นสลับทับซ้อนกันเกิดเป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง
ต้นสนภูเขาเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศงามงามแบบนี้
นั่งกันสักพักพอหายเหนื่อย ก็เริ่มขยับตัวเดินทางกันต่อ จุดหมายปลายทางยังอยู่อีกครึ่งทาง พระอาทิตย์ก็เริ่มจะไล่หลังมาอย่างว่องไว
ถ่ายให้เห็นบ้านพักบนจุดนี้อย่างเต็มเต็ม ความสวยงามไม่ต้องพูดถึงบอกได้คำเดียวว่า "เกินคำบรรยาย"
มีคนเคยบอกว่า"ยิ่งสูงยิ่งหนาว"แต่อยากจะเพิ่มไปสักอีกคำว่า"ยิ่งสวย"ด้วยนะจะบอกให้
คนคอเดียวกัน เดินไปถ่ายไป เห็นมุมไหนสวยต้องหยุดเก็บภาพประทับใจ (เอ..หรือว่าเหนื่อยกันแน่ครับคุณพี่..อิอิ ล้อเล่น)
ไม่รู้จะอธิบายยังงัยดีถึงความสวยงามที่นี่ อย่างคำพังเพยเลยครับ"สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น" อันนี้ใช้กับที่นี่ได้จริงจริง ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของผมก็เก็บภาพความสวยงามมาให้ได้ชมกันได้เพียงเท่านี้ ถ้าเพื่อนเพื่อนท่านใดที่ชื่นชอบในการถ่ายรูปแลนสเค็ป อยากเชิญมาที่นี่จริงจริง คงจะได้ภาพที่สวยกว่าผมหลายเท่า
ช่วงที่ไต่ขึ้นสู่ยอดภูจุดนี้เริ่มชันขึ้นเรื่อยเรื่อย ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินให้ดี อีกทั้งยิ่งอยู่บนที่สูงอากาศก็เริ่มที่จะเบาบาง ข้อแนะนำอย่าพยายามวิ่งขึ้น พยายามเดินช้าช้าและหายใจเข้าปอดยาวยาวเปรียบเหมือนการกำหนดลมหายใจในทางพุทธศาสนา
อีกอย่างถ้าเป็นคนรักการท่องเที่ยวแบบขึ้นเขาลงห้วย ขอแนะนำว่าควรจะเตรียมตัวออกกำลังกายตั้งแต่เนิ่นเนิ่นก่อนการเดินทางเพราะจะทำให้ร่างกายแข็งแรงพอที่จะใช้กำลังกายในการท่องเที่ยวแบบนี้
เดินขึ้นมาเรื่อยจนถึง"จุดชมวิว"อีกด้านหนึ่ง ซึ่งด้านนี้จะเห็นด้านที่เป็นส่วนของ"ทุ่งดอกบัวตองแม่อูคอ"
ถึงจะเหนื่อยแต่ก็คุ้มสุดสุด
ถึงแล้วครับ "ภูชี้เพ้อ"
เราคือ ผู้พิชิตภูชี้เพ้อ ความสูงจากน้ำทะเล 1818 เมตร
วิวบนยอดภู
บนยอดภูนี่น่าจะเหมาะสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกยามเช้า แต่สำหรับพระอาทิตย์ตกบริเวณทางขึ้นภูน่าจะสวยงามกว่าเพราะบนยอดภูมีต้นไม้ใหญ่บังทัศนียภาพบริเวณที่พระอาทิตย์ตกพอดี ถึงจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกลูกกลมกลมก็ถือว่าคุ้มค่าล่ะครับในการเหนื่อยเดินขึ้นมา
คุณผู้หญิงอินสุดสุด
พี่ทั้งสองเหมือน"คู่เลิฟตะลอนทัวร์"มากเลยครับ
แสงสีที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ภูเขาสองลูกนี้ดูเหมือนปากคนเลย
อันนี้เรียกว่า"แอบถ่าย"ของแท้..อิอิ
แค่ถ่ายใบไม้ก็สุขใจแล้วจริงจริง
กับป้ายภูชี้เพ้อบนยอดภู
ยิ่งมืดค่ำสีสันยิ่งสวยงาม
ได้เวลาเดินลงแล้ว
ปล.ไปที่ไหนมืดค่ำอย่าลืม"ไฟฉาย"นะครับ
หลังจากใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการลดระดับความสูงจนมาถึงเต็นท์ที่พัก จากนั้นก็กินอาหารค่ำแล้วก็อาบน้ำ นั่งเล่นหน้าเต็นท์อยู่สักพักแล้วก็รีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เตรียมตัวขึ้นไปบนยอดภูชี้เพ้ออีกครั้งเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น และหวังว่าจะได้เห็นทะเลหมอกบนยอดภู
ตัดขึ้นมาในเวลาประมาณตีห้าครึ่ง อากาศเมื่อคืนเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาวมาก ออกจากเต็นท์เห็นดาวเต็มฟ้าอดที่จะหยิบกล้องมาบันทึกความทรงจำดีดีไม่ได้
เริ่มเดินเท้าขึ้นบนยอดภูในเวลาหกโมงเช้า พระอาทิตย์เริ่มทอแสงแรกแห่งวันแล้ว
อาจจะเป็นด้วยความคุ้นเคยหรือร่างกายเริ่มปรับสภาพกับความยากลำบากได้มากขึ้น ทำให้การเดินขึ้นมาจนถึงบ้านพักที่อยู่ครึ่งทางซึ่งเมื่อวานใช้เวลานานพอควรแต่วันนี้ทำเวลาได้ดีมาก
ท้องฟ้าแบ่งเป็นชั้น
หน้าตายังไม่เป็นระเบียบทั้ง 3 คนเลยครับ
กับวิวสวยสวย
เสียดายวันนี้ไม่ค่อยมีทะเลหมอกแต่ก็...สวย...
ได้เวลาเดินขึ้นยอดภูกันแล้ว
เดินไปถ่ายไป
เหนื่อยมั้ยคนดีมีพี่เป็นแฟน...ร้องเพลงกล่อมคุณผู้หญิงเสียหน่อย
พระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นเหลี่ยมเขา
พอแสงแดดสาดส่อง ความงามก็เริ่มเปิดเผย
พระอาทิตย์งดงาม ณ.ยอดภูชี้เพ้อ
หมอกบางบาง
อยากให้ชมไปเองนะครับถ้ามีโอกาสไปเที่ยวที่นี่ เพราะความสวยงามนำมาให้ชมไม่หมดจริงจริง
หลังจากที่ลงมาถึงที่พัก ก็ตั้งน้ำร้อนกินกาแฟแล้วก็เตรียมตัวอาบน้ำแล้วเดินทางกันต่อ ออกจากที่"ภูชี้เพ้อ"พวกเราแวะไปเที่ยว"น้ำตกแม่สุรินทร์"ที่อยู่ลึกเข้าไปตามเส้นทางอีกประมาณ 4-5 กิโลเมตร แต่จะให้ลงไปถึงตัวน้ำตกวันนี้คงจะต้องนอนค้างที่นี่ก็เลยขอแค่ถ่ายรูปแค่นิดหน่อยพอเป็นพิธี
[CR] เที่ยวเหนือ 9 วันแห่งความสุข ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (กำแพงเพชร-ตาก-แม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่) Part 5
ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/31545621
ตอนที่ 2 http://ppantip.com/topic/31550088
ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/31559445
ตอนที่ 4 http://ppantip.com/topic/31564955
ขอเกริ่นนำสักหน่อยสำหรับรีวิวตอนที่ 4 จุดหมายปลายทางที่พวกเราจะพักค้างแรมในคืนที่ 4 นี้คือ "ภูชี้เพ้อ"ที่ตั้ง"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด" อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อนเพื่อนหลายคนถามมาว่าพิมพ์ผิดหรือป่าว น่าจะเป็น"ภูชี้ฟ้า"นะ อันนี้ต้องขอยืนยันว่าเป็น"ภูชี้เพ้อ"แน่นอนครับ หลังจากที่เดินทางไปถึง"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด" ได้พบกับมิตรภาพดีดี หาที่กางเต็นท์แล้วพวกเราก็เดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกกันบน"ยอดภูชี้เพ้อ" นี่เป็นเรื่องราวที่ถูกกล่าวทิ้งท้ายไว้ในรีวิวตอนที่ 4 เหตุที่ไม่รีวิวให้จบวันไปเลยก็เพราะผมอยากให้เพื่อนเพื่อนได้เห็นความงามยามพระอาทิตย์อัสดง และในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นกันอย่างเต็มอิ่ม และอยากเชิญชวนให้เพื่อนเพื่อนมาสัมผัสด้วยตาตัวเองจริงจริงถึงความงามที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปเที่ยวด้วยกันต่อเลยครับ
เส้นทางเดินขึ้นยัง"ภูชี้เพ้อ"จากจุดที่พวกเรากางเต็นท์กันประมาณ 1 กิโลเมตร ไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยเรื่อย ทางเดินมีการทำเป็นขั้นบันไดให้ได้เดินสะดวกขึ้น
ท้องฟ้าเริ่มแบบแยกบรรยากาศ
เดินมาถึงครึ่งทางจะมีบ้านพักหลังหนึ่งตั้งอยู่ระหว่างทาง วิวสวยสุดยอดมองไปรอบรอบได้เกินกว่า 180 องศาน่ามานอนจริงจริง แต่เห็นทางเดินขึ้นมาแล้วก็คิดหนักเพราะรถต้องจอดอยู่ด้านล่างแล้วเดินแบกสัมภาระขึ้นมาบนนี้อันนี้นี่ล่ะปัญหา
ถ่ายรูปหมู่กันสักหน่อยครับ
ด้วยระเบียงที่กว้างขวางก็เลยมีหลายมุมที่สวยงาม
นั่งพักเหนื่อยไป ถ่ายรูปไป แสงแดดรำไพก็เริ่มสาดส่องไปทั่วขุนเขาที่ขึ้นสลับทับซ้อนกันเกิดเป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง
ต้นสนภูเขาเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศงามงามแบบนี้
นั่งกันสักพักพอหายเหนื่อย ก็เริ่มขยับตัวเดินทางกันต่อ จุดหมายปลายทางยังอยู่อีกครึ่งทาง พระอาทิตย์ก็เริ่มจะไล่หลังมาอย่างว่องไว
ถ่ายให้เห็นบ้านพักบนจุดนี้อย่างเต็มเต็ม ความสวยงามไม่ต้องพูดถึงบอกได้คำเดียวว่า "เกินคำบรรยาย"
มีคนเคยบอกว่า"ยิ่งสูงยิ่งหนาว"แต่อยากจะเพิ่มไปสักอีกคำว่า"ยิ่งสวย"ด้วยนะจะบอกให้
คนคอเดียวกัน เดินไปถ่ายไป เห็นมุมไหนสวยต้องหยุดเก็บภาพประทับใจ (เอ..หรือว่าเหนื่อยกันแน่ครับคุณพี่..อิอิ ล้อเล่น)
ไม่รู้จะอธิบายยังงัยดีถึงความสวยงามที่นี่ อย่างคำพังเพยเลยครับ"สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น" อันนี้ใช้กับที่นี่ได้จริงจริง ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของผมก็เก็บภาพความสวยงามมาให้ได้ชมกันได้เพียงเท่านี้ ถ้าเพื่อนเพื่อนท่านใดที่ชื่นชอบในการถ่ายรูปแลนสเค็ป อยากเชิญมาที่นี่จริงจริง คงจะได้ภาพที่สวยกว่าผมหลายเท่า
ช่วงที่ไต่ขึ้นสู่ยอดภูจุดนี้เริ่มชันขึ้นเรื่อยเรื่อย ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินให้ดี อีกทั้งยิ่งอยู่บนที่สูงอากาศก็เริ่มที่จะเบาบาง ข้อแนะนำอย่าพยายามวิ่งขึ้น พยายามเดินช้าช้าและหายใจเข้าปอดยาวยาวเปรียบเหมือนการกำหนดลมหายใจในทางพุทธศาสนา
อีกอย่างถ้าเป็นคนรักการท่องเที่ยวแบบขึ้นเขาลงห้วย ขอแนะนำว่าควรจะเตรียมตัวออกกำลังกายตั้งแต่เนิ่นเนิ่นก่อนการเดินทางเพราะจะทำให้ร่างกายแข็งแรงพอที่จะใช้กำลังกายในการท่องเที่ยวแบบนี้
เดินขึ้นมาเรื่อยจนถึง"จุดชมวิว"อีกด้านหนึ่ง ซึ่งด้านนี้จะเห็นด้านที่เป็นส่วนของ"ทุ่งดอกบัวตองแม่อูคอ"
ถึงจะเหนื่อยแต่ก็คุ้มสุดสุด
ถึงแล้วครับ "ภูชี้เพ้อ"
เราคือ ผู้พิชิตภูชี้เพ้อ ความสูงจากน้ำทะเล 1818 เมตร
วิวบนยอดภู
บนยอดภูนี่น่าจะเหมาะสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกยามเช้า แต่สำหรับพระอาทิตย์ตกบริเวณทางขึ้นภูน่าจะสวยงามกว่าเพราะบนยอดภูมีต้นไม้ใหญ่บังทัศนียภาพบริเวณที่พระอาทิตย์ตกพอดี ถึงจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกลูกกลมกลมก็ถือว่าคุ้มค่าล่ะครับในการเหนื่อยเดินขึ้นมา
คุณผู้หญิงอินสุดสุด
พี่ทั้งสองเหมือน"คู่เลิฟตะลอนทัวร์"มากเลยครับ
แสงสีที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ภูเขาสองลูกนี้ดูเหมือนปากคนเลย
อันนี้เรียกว่า"แอบถ่าย"ของแท้..อิอิ
แค่ถ่ายใบไม้ก็สุขใจแล้วจริงจริง
กับป้ายภูชี้เพ้อบนยอดภู
ยิ่งมืดค่ำสีสันยิ่งสวยงาม
ได้เวลาเดินลงแล้ว
ปล.ไปที่ไหนมืดค่ำอย่าลืม"ไฟฉาย"นะครับ
หลังจากใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการลดระดับความสูงจนมาถึงเต็นท์ที่พัก จากนั้นก็กินอาหารค่ำแล้วก็อาบน้ำ นั่งเล่นหน้าเต็นท์อยู่สักพักแล้วก็รีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เตรียมตัวขึ้นไปบนยอดภูชี้เพ้ออีกครั้งเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น และหวังว่าจะได้เห็นทะเลหมอกบนยอดภู
ตัดขึ้นมาในเวลาประมาณตีห้าครึ่ง อากาศเมื่อคืนเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาวมาก ออกจากเต็นท์เห็นดาวเต็มฟ้าอดที่จะหยิบกล้องมาบันทึกความทรงจำดีดีไม่ได้
เริ่มเดินเท้าขึ้นบนยอดภูในเวลาหกโมงเช้า พระอาทิตย์เริ่มทอแสงแรกแห่งวันแล้ว
อาจจะเป็นด้วยความคุ้นเคยหรือร่างกายเริ่มปรับสภาพกับความยากลำบากได้มากขึ้น ทำให้การเดินขึ้นมาจนถึงบ้านพักที่อยู่ครึ่งทางซึ่งเมื่อวานใช้เวลานานพอควรแต่วันนี้ทำเวลาได้ดีมาก
ท้องฟ้าแบ่งเป็นชั้น
หน้าตายังไม่เป็นระเบียบทั้ง 3 คนเลยครับ
กับวิวสวยสวย
เสียดายวันนี้ไม่ค่อยมีทะเลหมอกแต่ก็...สวย...
ได้เวลาเดินขึ้นยอดภูกันแล้ว
เดินไปถ่ายไป
เหนื่อยมั้ยคนดีมีพี่เป็นแฟน...ร้องเพลงกล่อมคุณผู้หญิงเสียหน่อย
พระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นเหลี่ยมเขา
พอแสงแดดสาดส่อง ความงามก็เริ่มเปิดเผย
พระอาทิตย์งดงาม ณ.ยอดภูชี้เพ้อ
หมอกบางบาง
อยากให้ชมไปเองนะครับถ้ามีโอกาสไปเที่ยวที่นี่ เพราะความสวยงามนำมาให้ชมไม่หมดจริงจริง
หลังจากที่ลงมาถึงที่พัก ก็ตั้งน้ำร้อนกินกาแฟแล้วก็เตรียมตัวอาบน้ำแล้วเดินทางกันต่อ ออกจากที่"ภูชี้เพ้อ"พวกเราแวะไปเที่ยว"น้ำตกแม่สุรินทร์"ที่อยู่ลึกเข้าไปตามเส้นทางอีกประมาณ 4-5 กิโลเมตร แต่จะให้ลงไปถึงตัวน้ำตกวันนี้คงจะต้องนอนค้างที่นี่ก็เลยขอแค่ถ่ายรูปแค่นิดหน่อยพอเป็นพิธี