ผมเจอเธอครั้งแรกที่ห้องสมุด
รูปลักษณ์แบดบอยสุดๆของผมบ่งบอกเชื้อชาติเลยว่าไม่เหมาะกับห้องสมุดอย่างมาก แต่ด้วยเหตุจำเป็นต้องยืมหนังสือมาทำรายงานทำให้ผมต้องเข้าไปเหยียบห้องสมุดอย่างเสียไม่ได้
และด้วยฝนที่ตกอย่างหนักทำให้ผมไม่สามารถซิ่งเจ้าลูกชายมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สุดที่รักกลับบ้านได้ ผมก็ไม่มีทางเลือกที่จะต้องขอหลบฝนในห้องสมุด ที่นอนชั้นหนึ่ง
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอเธอ
ชั้นสามของห้องสมุดเงียบที่สุด ที่นั่งน้อยที่สุด และคนน้อยที่สุด ผมไม่ลังเลใจเลยที่เลือกชุดโต๊ะเก้าอี้เดี่ยวนี้เป็นที่นอนรอฝนหยุด ถ้าผมไม่เห็นเธอ
ผู้หญิงตัวอวบผมสั้นชี้โด่ชี้เด่เดินเลือกหนังสืออยู่ในมุมหนังสือนิยาย ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะแต่เอียงหน้าจับสายตาที่เธอ บอกไม่ถูกว่าทำไมผมถึงมองเธออยู่อย่างนั้นอาจจะเป็นเพราะผมไม่มีอะไรทำ และยังนอนไม่หลับ
เธอเลือกหนังสือเล่มหนาได้ห้าเล่มอุ้มเต็มอ้อมแขนแล้วเดินมานั่งเยื้องกับผมโดยที่เราแทบจะประจันหน้ากัน
ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่หลับ ไม่รู้ทำไมยังจ้องเธออยู่อย่างนั้นโดยที่เธอไม่มีท่าทีจะรู้ตัว
เธอผิวขาว ตาเรียวรีใต้แว่นกรอบหนาสีดำบ่งบอกเชื้อชาติที่มีในตัวชัดเจน ผมสีน้ำตาลเข้มที่ผมไม่แน่ใจว่าผ่านสารเคมีใดให้ได้สีนี้รวบตึงเปรี๊ยะบนหัวเปิดใบหน้ารูปไข่แต่แก้มยุ้ยอวบตามรูปร่าง เธอไม่ได้ดูอ้วน แต่คงมีน้ำมีนวลเกินกว่าจะเรียกได้ว่าผอม
ผมมองเธอผลิกหน้ากระดาษหนังสือไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ได้ยินเสียงหลุดหัวเราะ
ฝนหยุดตกแล้ว ผมยังคงนั่งมองเธออยู่อย่างนั้น...และเธอร้องไห้
หยาดน้ำตาอาบแก้มทำให้ผมใจสั่น แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเธอกำลังเศร้าหรืออาจจะซาบซึ้งกับนวนิยายในมือ จมูกเล็กๆแดงก่ำ กองกระดาษทิชชู่วางกองอยู่ใกล้มือเธอ เสียงสั่งน้ำมูกและสูดจมูกดัง แต่ผมกลับมองว่าเธอน่ารัก ธรรมชาติและไม่ปรุงแต่ง
ผู้หญิงอ่อนไหวคนนั้นอ่านหนังสือไปจนจบหน้าสุดท้าย แล้วจากไป เธอวางหนังสือเล่มที่เธออ่านบนรถเข็นหนังสือ และหยิบสี่เล่มที่เหลือไปยืม
ผ่านไปถึงสองชั่วโมง นานที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้เวลาในห้องสมุด
ไม่รู้อะไรดลใจ ผมทำตัวอย่างกับแฟนคลับตามดารา แค่รู้สึกเรื่องของเธอก็ยังดี ไม่ได้ชอบ ไม่ได้รัก แต่รู้สึกว่าเธอน่าสนใจ
ผมหยิบหนังสือเล่มที่เธอเพิ่งวาง เขาว่าอยากรู้นิสัยของคน ให้ดูจากหนังสือที่เขาอ่าน
ผ่านไปสองสัปดาห์ ผมไม่เคยเจอเธออีกเลยนับแต่วันนั้น
ผมวนเวียนแวะเข้าห้องสมุดอยู่ประจำ บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้จนเพื่อนทักว่าผมปิ๊งบรรณารักษ์คนไหนหรือเปล่า แต่ผมก็ยังไม่เจอเธออยู่ดี
คงเป็นความผิดผมเองที่มีโอกาสตั้งมากมายแต่ไม่ชวนเธอคุยแม้แต่คำเดียว
ผมเจอเธอแค่ครั้งเดียว แต่กลับมองเธอไม่เบื่ออยู่สองชั่วโมง พอไม่ได้เจอเธออีกกลับรู้สึกแปลกๆ อยากจะตามหาเธอ อยากให้เธออยู่ในสายตา
ไม่ใช่ความรักหรอก ผมบอกตัวเอง
แค่สนใจมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
วันนี้ผมหอบการบ้านและลากไอ้กุดมาห้องสมุดด้วย ไอ้กุดนี่ไม่ใช่สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงหรอกครับ แต่เป็นเพื่อนผมเอง มันชื่อกุ แต่ทุกคนพร้อมใจกันเรียกมันว่าไอ้กุดทุกครั้งไป
“เฮ้ย เดี๋ยวฉันมา จะไปทักเพื่อน” หลังวางของเสร็จสรรพ ไอ้กุดซึ่งคงจะเหลือบไปเห็นเพื่อนมันตอนไหนไม่รู้ก็เปิดตูดแหน่บไปอีกทาง
ผมมองตาม
ใช่ไหม ใช่เธอหรือเปล่า
และผมเจอเธอ
โลกกลมเหมือนผลส้ม และผมก็รักส้มผลนี้เหลือเกิน
เธอชื่อ แจน เพื่อนสมัยมัธยมของไอ้กุด แจนดูเด็กๆ แต่ก็เป็นเด็กห้าวๆ ไม่เข้ากับความอ่อนไหวร้องไห้ให้กับนิยายของเธอเมื่อวันนั้นเลย (นิยายที่ผมอ่านแล้วยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอร้องไห้ตอนไหน)
ไอ้กุดพาเธอมานั่งด้วยที่โต๊ะ
เธอยิ้ม ดวงตาเรียวของเธอยิ่งหยีเข้าไปใหญ่ ยิ้มของแจนเป็นยิ้มที่สดใสสว่างเหมือนพระอาทิตย์ ยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกมีค่าขึ้นมาทันที
ผมรักยิ้มของเธอ
และผมคงต้องยอมรับว่า ผมชอบเธอเข้าให้แล้ว
“สวัสดี” เสียงเธอค่อนข้างแหลมฟังดูเด็กมาก และหวานมาก...
“สวัสดีครับ” ไม่เคยรู้สึกอึกอัก ทำตัวโง่ๆเปิ่นๆอย่างนี้มาก่อน แต่เพราะเธอ ยิ้มของเธอ เสียงของเธอ ผมที่จีบสาวมานักต่อนักอย่างไม่ประหม่า กลับทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าเธอ
ไอ้กุดป็นผู้นำการสนทนาคุยกับแจนวุ่นวายไปหมดโดยผมทำหน้าที่เป็นผู้ฟัง และแน่นอน เก็บข้อมูล
ต้องขอบคุณไอ้กุดที่ทำให้ผมรู้ว่าแจนเป็นเด็กนิติศาสตร์รุ่นเดียวกับพวกเราแต่อ่อนกว่าไอ้กุดเป็นปีและอ่อนกว่าผมหลายเดือน เธอชอบอ่านนิยายและเข้าห้องสมุดตอนก่อนเข้าเรียนเท่านั้น (ยกเว้นวันฝนตกที่ผมเจอเธอและวันนี้ที่บังเอิญอาจารย์ยกเลิกคลาสกระทันหัน) แจนเป็นผู้หญิงเพ้อฝัน ดูบ้าบอไปวันๆและตลกมาก เธอเรียนห้องเดียวกับไอ้กุดตั้งแต่มัธยมต้นจนจบมัธยมปลายสายวิทย์-คณิต เป็นมือโปรด้านคณิตศาสตร์แต่เรียนกฎหมาย แจนถึงกับช่วยทำการบ้านของไอ้กุดเลยทีเดียว สุดท้ายผมก็ได้เบอร์โทรของเธอ (ซึ่งแจนให้ไอ้กุดแต่ผมแอบลักจำมา)
การสนทนาลากยาวและไอ้กุดชวนเธอกินข้าวกลางวัน ข้าวโรงอาหารที่น่าเบื่อจำเจกลับอร่อยขึ้นอย่างบอกไม่ถูกแค่เพราะนั่งกับเธอ
ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ
“เราชอบแจน”
ผมพูดออกไปแล้วประโยคนี้
เราเจอกันสองครั้งแต่ผมก็ยังกล้าพูดออกไป
“ว่าแล้วววววววว ทำไมซื้อหวยไม่ถูกอย่างนี้วะ” ไอ้กุดตบเข่าฉาด
แน่นอนผมคงไม่บ้าไปสารภาพรักกับเธอหรอก แค่บอกไอ้กุดให้มันช่วยเป็นกามเทพสื่อรักให้เท่านั้นแหละ
“ไอ้แจนเนี่ยเสน่ห์แรง แต่โคตรโง่ ไม่รู้หรอกว่ามีใครชอบมันอยู่ ทำหนุ่มน้ำตาตกมาเยอะแล้ว” ข้อมูลเบื้องต้นในการจีบแจนหลุดออกมาจากปากไอ้กุด ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยที่สาวอวบอย่างเธอมีคนชอบมาก แจนไม่สวยแต่น่ารัก ที่สำคัญเธอเป็นคนที่อยู่แล้วสบายใจ ทั้งรอยยิ้ม คำพูด ท่าทาง ทุกอย่างดูธรรมชาติไปหมด “แกต้องรุกให้แรงให้จริง เอาให้หนักเลย”
“เฮ้ย เดี๋ยวไก่ตื่นพอดี” ผมแย้งอย่างใจคิด รุกหนักผู้หญิงเขาจะถอยหนีเอานะ
“เลือกเอาว่าจะให้ไก่ตื่นวิ่งไปวิ่งมาหรือจะเอาไก่ต้มนอนนิ่งไม่รู้สึกรู้สา”
ด้วยความอนุเคราะห์ของท่านกุด ผมก็ได้ติดสอยห้อยตามมันมาหาแจนที่คณะบ่อยๆ นั่งกินข้าวกับเธอ รู้จักเพื่อนของเธอ จนหลังๆไม่ต้องอาศัยไอ้กุดเป็นตัวเชื่อมผมก็ไปหาเธอเองได้คนเดียว ซึ่งทำให้ผมรู้ว่ามีมดแดงแฝงพวงมะม่วงคอยกันท่าเป็นคู่แข่งอยู่
คำสั่งสอน (?) ของไอ้กุดวิ่งเข้ามาในหัว ผมฉวยโอกาสที่แจนนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน (รวมถึงเจ้ามดแดงตัวแสบ) บอกเธอไปตรงๆ
“เราชอบแจน จีบได้ไหม”
บรรดาเพื่อนแจนหันมองควับ และเหล่เจ้าเพื่อนมดแดงไปด้วย แต่ไม่มีใครเอ่ยปากขัดออกมา
แจนหน้าแดงแปร๊ด เบิกตาโตแล้วเริ่มอึกอักๆ ผมว่าท่าทางอย่างนี้ของเธอน่ารักดี แต่ผมอยากเห็นแค่คนเดียวไม่อยากให้มดแดงนั่นมาเห็นด้วยซะหน่อย
เพื่อนเธอแซวกันใหญ่ ซึ่งผมก็แอบยืดด้วย โอ๊ย ท่าทางก้มหน้าก้มตาอายบิดๆนั่น ผมล่ะอยากจะเก็บเธอกลับบ้านทีเดียว
“งั้นเราจีบมั่งดิ่” เจ้ามดแดงทะลุขึ้นมากลางปล้อง น้ำเสียงจริงจังสุดๆทำเอาทั้งโต๊ะเงียบ เพื่อนแจนคงรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามีกรณีเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อเกิดขึ้นจึงไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไร
คงมีแต่แจนเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ และยังไม่รู้ต่อไปเพราะเธอตอบด้วยสีหน้าฉุนๆเหมือนตอบเพื่อนเวลาโดนแซว
“จีบเลย แต่อย่างแกจีบไม่ติดหรอก ฉันไม่เอาเว้ย”
น่าสงสารนายคนนี้เหมือนกัน ทำหน้าเศร้าไปตาระเบียบ เผลอๆจะแอบน้ำตาไหลด้วยซ้ำ
นี่สินะที่แจนทำหนุ่มน้ำตาตกไปหลายคนอย่างที่ไอ้กุดว่า
“นะแจน จีบได้ไหม”
“ชอบเราตอนไหนล่ะ”
โธ่แจน เพื่อนนั่งกันหน้าสลอนอย่างนี้จะให้เป็นพยานรักของเราหรือไง แต่ผมก็ยังตอบเธอไป
“วันที่ฝนตก เราเห็นแจนอ่านหนังสืออยู่ ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ เรามองแจนอยู่ตลอดแต่ไม่อยากยอมรับกับตัวเองว่าชอบแจน เราก็ยังวนเวียนไปที่ห้องสมุดตลอดทั้งที่ไม่ใช่นิสัยเพื่อให้เจอแจนอีกสักครั้ง สองอาทิตย์แล้วแต่เรากลับไม่เจอแจนเลย จนคราวที่มากับไอ้กุดเนี่ยแหละ แจนยิ้มให้เราครั้งแรก เรารู้สึกว่าคนนี้แหละ เราชอบคนนี้แหละ”
หน้าแจนยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ ทั้งหูทั้งจมูกแดงแจ๋ไปหมด อย่างกับเป็นมะเขือเทศ
.
.
.
“งั้นก็จีบสิ”
เธอคนนี้ ผมมองเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ
มองตั้งแต่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าชอบเธอ
เธอคนนี้ คนที่ผมจะขอมองเธอตลอดไป
และเก็บเธอไว้ในใจตลอดเวลา
“ขอบคุณครับ” ที่ให้ผมจีบ...
------------------------------------------------------------------------------
สั้นมากเลย จู่ๆมันก็รู้สึกอยากแต่งขึ้นมาเฉยๆ เลยลองลงให้อ่านกันดู
[เรื่องสั้น] เธอคนนั้น
รูปลักษณ์แบดบอยสุดๆของผมบ่งบอกเชื้อชาติเลยว่าไม่เหมาะกับห้องสมุดอย่างมาก แต่ด้วยเหตุจำเป็นต้องยืมหนังสือมาทำรายงานทำให้ผมต้องเข้าไปเหยียบห้องสมุดอย่างเสียไม่ได้
และด้วยฝนที่ตกอย่างหนักทำให้ผมไม่สามารถซิ่งเจ้าลูกชายมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สุดที่รักกลับบ้านได้ ผมก็ไม่มีทางเลือกที่จะต้องขอหลบฝนในห้องสมุด ที่นอนชั้นหนึ่ง
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอเธอ
ชั้นสามของห้องสมุดเงียบที่สุด ที่นั่งน้อยที่สุด และคนน้อยที่สุด ผมไม่ลังเลใจเลยที่เลือกชุดโต๊ะเก้าอี้เดี่ยวนี้เป็นที่นอนรอฝนหยุด ถ้าผมไม่เห็นเธอ
ผู้หญิงตัวอวบผมสั้นชี้โด่ชี้เด่เดินเลือกหนังสืออยู่ในมุมหนังสือนิยาย ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะแต่เอียงหน้าจับสายตาที่เธอ บอกไม่ถูกว่าทำไมผมถึงมองเธออยู่อย่างนั้นอาจจะเป็นเพราะผมไม่มีอะไรทำ และยังนอนไม่หลับ
เธอเลือกหนังสือเล่มหนาได้ห้าเล่มอุ้มเต็มอ้อมแขนแล้วเดินมานั่งเยื้องกับผมโดยที่เราแทบจะประจันหน้ากัน
ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่หลับ ไม่รู้ทำไมยังจ้องเธออยู่อย่างนั้นโดยที่เธอไม่มีท่าทีจะรู้ตัว
เธอผิวขาว ตาเรียวรีใต้แว่นกรอบหนาสีดำบ่งบอกเชื้อชาติที่มีในตัวชัดเจน ผมสีน้ำตาลเข้มที่ผมไม่แน่ใจว่าผ่านสารเคมีใดให้ได้สีนี้รวบตึงเปรี๊ยะบนหัวเปิดใบหน้ารูปไข่แต่แก้มยุ้ยอวบตามรูปร่าง เธอไม่ได้ดูอ้วน แต่คงมีน้ำมีนวลเกินกว่าจะเรียกได้ว่าผอม
ผมมองเธอผลิกหน้ากระดาษหนังสือไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ได้ยินเสียงหลุดหัวเราะ
ฝนหยุดตกแล้ว ผมยังคงนั่งมองเธออยู่อย่างนั้น...และเธอร้องไห้
หยาดน้ำตาอาบแก้มทำให้ผมใจสั่น แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเธอกำลังเศร้าหรืออาจจะซาบซึ้งกับนวนิยายในมือ จมูกเล็กๆแดงก่ำ กองกระดาษทิชชู่วางกองอยู่ใกล้มือเธอ เสียงสั่งน้ำมูกและสูดจมูกดัง แต่ผมกลับมองว่าเธอน่ารัก ธรรมชาติและไม่ปรุงแต่ง
ผู้หญิงอ่อนไหวคนนั้นอ่านหนังสือไปจนจบหน้าสุดท้าย แล้วจากไป เธอวางหนังสือเล่มที่เธออ่านบนรถเข็นหนังสือ และหยิบสี่เล่มที่เหลือไปยืม
ผ่านไปถึงสองชั่วโมง นานที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้เวลาในห้องสมุด
ไม่รู้อะไรดลใจ ผมทำตัวอย่างกับแฟนคลับตามดารา แค่รู้สึกเรื่องของเธอก็ยังดี ไม่ได้ชอบ ไม่ได้รัก แต่รู้สึกว่าเธอน่าสนใจ
ผมหยิบหนังสือเล่มที่เธอเพิ่งวาง เขาว่าอยากรู้นิสัยของคน ให้ดูจากหนังสือที่เขาอ่าน
ผ่านไปสองสัปดาห์ ผมไม่เคยเจอเธออีกเลยนับแต่วันนั้น
ผมวนเวียนแวะเข้าห้องสมุดอยู่ประจำ บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้จนเพื่อนทักว่าผมปิ๊งบรรณารักษ์คนไหนหรือเปล่า แต่ผมก็ยังไม่เจอเธออยู่ดี
คงเป็นความผิดผมเองที่มีโอกาสตั้งมากมายแต่ไม่ชวนเธอคุยแม้แต่คำเดียว
ผมเจอเธอแค่ครั้งเดียว แต่กลับมองเธอไม่เบื่ออยู่สองชั่วโมง พอไม่ได้เจอเธออีกกลับรู้สึกแปลกๆ อยากจะตามหาเธอ อยากให้เธออยู่ในสายตา
ไม่ใช่ความรักหรอก ผมบอกตัวเอง
แค่สนใจมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
วันนี้ผมหอบการบ้านและลากไอ้กุดมาห้องสมุดด้วย ไอ้กุดนี่ไม่ใช่สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงหรอกครับ แต่เป็นเพื่อนผมเอง มันชื่อกุ แต่ทุกคนพร้อมใจกันเรียกมันว่าไอ้กุดทุกครั้งไป
“เฮ้ย เดี๋ยวฉันมา จะไปทักเพื่อน” หลังวางของเสร็จสรรพ ไอ้กุดซึ่งคงจะเหลือบไปเห็นเพื่อนมันตอนไหนไม่รู้ก็เปิดตูดแหน่บไปอีกทาง
ผมมองตาม
ใช่ไหม ใช่เธอหรือเปล่า
และผมเจอเธอ
โลกกลมเหมือนผลส้ม และผมก็รักส้มผลนี้เหลือเกิน
เธอชื่อ แจน เพื่อนสมัยมัธยมของไอ้กุด แจนดูเด็กๆ แต่ก็เป็นเด็กห้าวๆ ไม่เข้ากับความอ่อนไหวร้องไห้ให้กับนิยายของเธอเมื่อวันนั้นเลย (นิยายที่ผมอ่านแล้วยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอร้องไห้ตอนไหน)
ไอ้กุดพาเธอมานั่งด้วยที่โต๊ะ
เธอยิ้ม ดวงตาเรียวของเธอยิ่งหยีเข้าไปใหญ่ ยิ้มของแจนเป็นยิ้มที่สดใสสว่างเหมือนพระอาทิตย์ ยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกมีค่าขึ้นมาทันที
ผมรักยิ้มของเธอ
และผมคงต้องยอมรับว่า ผมชอบเธอเข้าให้แล้ว
“สวัสดี” เสียงเธอค่อนข้างแหลมฟังดูเด็กมาก และหวานมาก...
“สวัสดีครับ” ไม่เคยรู้สึกอึกอัก ทำตัวโง่ๆเปิ่นๆอย่างนี้มาก่อน แต่เพราะเธอ ยิ้มของเธอ เสียงของเธอ ผมที่จีบสาวมานักต่อนักอย่างไม่ประหม่า กลับทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าเธอ
ไอ้กุดป็นผู้นำการสนทนาคุยกับแจนวุ่นวายไปหมดโดยผมทำหน้าที่เป็นผู้ฟัง และแน่นอน เก็บข้อมูล
ต้องขอบคุณไอ้กุดที่ทำให้ผมรู้ว่าแจนเป็นเด็กนิติศาสตร์รุ่นเดียวกับพวกเราแต่อ่อนกว่าไอ้กุดเป็นปีและอ่อนกว่าผมหลายเดือน เธอชอบอ่านนิยายและเข้าห้องสมุดตอนก่อนเข้าเรียนเท่านั้น (ยกเว้นวันฝนตกที่ผมเจอเธอและวันนี้ที่บังเอิญอาจารย์ยกเลิกคลาสกระทันหัน) แจนเป็นผู้หญิงเพ้อฝัน ดูบ้าบอไปวันๆและตลกมาก เธอเรียนห้องเดียวกับไอ้กุดตั้งแต่มัธยมต้นจนจบมัธยมปลายสายวิทย์-คณิต เป็นมือโปรด้านคณิตศาสตร์แต่เรียนกฎหมาย แจนถึงกับช่วยทำการบ้านของไอ้กุดเลยทีเดียว สุดท้ายผมก็ได้เบอร์โทรของเธอ (ซึ่งแจนให้ไอ้กุดแต่ผมแอบลักจำมา)
การสนทนาลากยาวและไอ้กุดชวนเธอกินข้าวกลางวัน ข้าวโรงอาหารที่น่าเบื่อจำเจกลับอร่อยขึ้นอย่างบอกไม่ถูกแค่เพราะนั่งกับเธอ
ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ
“เราชอบแจน”
ผมพูดออกไปแล้วประโยคนี้
เราเจอกันสองครั้งแต่ผมก็ยังกล้าพูดออกไป
“ว่าแล้วววววววว ทำไมซื้อหวยไม่ถูกอย่างนี้วะ” ไอ้กุดตบเข่าฉาด
แน่นอนผมคงไม่บ้าไปสารภาพรักกับเธอหรอก แค่บอกไอ้กุดให้มันช่วยเป็นกามเทพสื่อรักให้เท่านั้นแหละ
“ไอ้แจนเนี่ยเสน่ห์แรง แต่โคตรโง่ ไม่รู้หรอกว่ามีใครชอบมันอยู่ ทำหนุ่มน้ำตาตกมาเยอะแล้ว” ข้อมูลเบื้องต้นในการจีบแจนหลุดออกมาจากปากไอ้กุด ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยที่สาวอวบอย่างเธอมีคนชอบมาก แจนไม่สวยแต่น่ารัก ที่สำคัญเธอเป็นคนที่อยู่แล้วสบายใจ ทั้งรอยยิ้ม คำพูด ท่าทาง ทุกอย่างดูธรรมชาติไปหมด “แกต้องรุกให้แรงให้จริง เอาให้หนักเลย”
“เฮ้ย เดี๋ยวไก่ตื่นพอดี” ผมแย้งอย่างใจคิด รุกหนักผู้หญิงเขาจะถอยหนีเอานะ
“เลือกเอาว่าจะให้ไก่ตื่นวิ่งไปวิ่งมาหรือจะเอาไก่ต้มนอนนิ่งไม่รู้สึกรู้สา”
ด้วยความอนุเคราะห์ของท่านกุด ผมก็ได้ติดสอยห้อยตามมันมาหาแจนที่คณะบ่อยๆ นั่งกินข้าวกับเธอ รู้จักเพื่อนของเธอ จนหลังๆไม่ต้องอาศัยไอ้กุดเป็นตัวเชื่อมผมก็ไปหาเธอเองได้คนเดียว ซึ่งทำให้ผมรู้ว่ามีมดแดงแฝงพวงมะม่วงคอยกันท่าเป็นคู่แข่งอยู่
คำสั่งสอน (?) ของไอ้กุดวิ่งเข้ามาในหัว ผมฉวยโอกาสที่แจนนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน (รวมถึงเจ้ามดแดงตัวแสบ) บอกเธอไปตรงๆ
“เราชอบแจน จีบได้ไหม”
บรรดาเพื่อนแจนหันมองควับ และเหล่เจ้าเพื่อนมดแดงไปด้วย แต่ไม่มีใครเอ่ยปากขัดออกมา
แจนหน้าแดงแปร๊ด เบิกตาโตแล้วเริ่มอึกอักๆ ผมว่าท่าทางอย่างนี้ของเธอน่ารักดี แต่ผมอยากเห็นแค่คนเดียวไม่อยากให้มดแดงนั่นมาเห็นด้วยซะหน่อย
เพื่อนเธอแซวกันใหญ่ ซึ่งผมก็แอบยืดด้วย โอ๊ย ท่าทางก้มหน้าก้มตาอายบิดๆนั่น ผมล่ะอยากจะเก็บเธอกลับบ้านทีเดียว
“งั้นเราจีบมั่งดิ่” เจ้ามดแดงทะลุขึ้นมากลางปล้อง น้ำเสียงจริงจังสุดๆทำเอาทั้งโต๊ะเงียบ เพื่อนแจนคงรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามีกรณีเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อเกิดขึ้นจึงไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไร
คงมีแต่แจนเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ และยังไม่รู้ต่อไปเพราะเธอตอบด้วยสีหน้าฉุนๆเหมือนตอบเพื่อนเวลาโดนแซว
“จีบเลย แต่อย่างแกจีบไม่ติดหรอก ฉันไม่เอาเว้ย”
น่าสงสารนายคนนี้เหมือนกัน ทำหน้าเศร้าไปตาระเบียบ เผลอๆจะแอบน้ำตาไหลด้วยซ้ำ
นี่สินะที่แจนทำหนุ่มน้ำตาตกไปหลายคนอย่างที่ไอ้กุดว่า
“นะแจน จีบได้ไหม”
“ชอบเราตอนไหนล่ะ”
โธ่แจน เพื่อนนั่งกันหน้าสลอนอย่างนี้จะให้เป็นพยานรักของเราหรือไง แต่ผมก็ยังตอบเธอไป
“วันที่ฝนตก เราเห็นแจนอ่านหนังสืออยู่ ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ เรามองแจนอยู่ตลอดแต่ไม่อยากยอมรับกับตัวเองว่าชอบแจน เราก็ยังวนเวียนไปที่ห้องสมุดตลอดทั้งที่ไม่ใช่นิสัยเพื่อให้เจอแจนอีกสักครั้ง สองอาทิตย์แล้วแต่เรากลับไม่เจอแจนเลย จนคราวที่มากับไอ้กุดเนี่ยแหละ แจนยิ้มให้เราครั้งแรก เรารู้สึกว่าคนนี้แหละ เราชอบคนนี้แหละ”
หน้าแจนยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ ทั้งหูทั้งจมูกแดงแจ๋ไปหมด อย่างกับเป็นมะเขือเทศ
.
.
.
“งั้นก็จีบสิ”
เธอคนนี้ ผมมองเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ
มองตั้งแต่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าชอบเธอ
เธอคนนี้ คนที่ผมจะขอมองเธอตลอดไป
และเก็บเธอไว้ในใจตลอดเวลา
“ขอบคุณครับ” ที่ให้ผมจีบ...
------------------------------------------------------------------------------
สั้นมากเลย จู่ๆมันก็รู้สึกอยากแต่งขึ้นมาเฉยๆ เลยลองลงให้อ่านกันดู