ผมขอเล่าเรื่องราวชีวิตของผม กับที่มาที่ไปที่เจอคนที่เป็นเจ้านาย ประเภทนี้ อ้างว่าไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย นะครับ
... เรื่องมีอยู่ว่าผมได้งานทำที่เมืองล้านนา เมื่อปี 2555 เป็น Software House แห่งหนึ่ง จากคำแนะนำของพี่ที่ทำงานเก่า บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทขนาดเล็ก พนักงาน 10 - 20 คน ด้วยความเป็นบริษัทขนาดเล็ก ตำแหน่งงานจึงไม่ค่อยสำคัญนัก อยู่กันแบบพี่น้อง ใครมีหน้าที่อะไร ก็ทำตามหน้าที่ ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็พยายามช่วยๆ กันไป ผมทำงานได้สักพักบริษัทเกิดประสบปัญหาฝืดสภาพคล่องทางการเงินทำให้จ่ายเงินเดือนพนักงานไม่ได้ตามกำหนด จนสุดท้ายไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานได้ ที่บ้านผมเองสนับสนุนให้ทำงานที่นั้น จึงช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย เพื่อให้ผมดำเนินชีวิตอยู่ได้ แต่กับน้องน้องบางคนไม่เป็นเช่นนั้น ต้องเก็บเรื่องไม่ได้เงินเดือนไม่ให้ที่บ้านทราบ ทุกคนลำบากเหมือนกัน รวมทั้งเจ้าของบริษัท เราทำงานกันดึกขึ้น เพื่อให้งานเสร็จ และส่งงานได้ บางคนงานเสร็จแล้ว ช่วยอะไรไม่ได้ก็อยู่เป็นเพื่อนกัน ช่วงนั้นทำให้มิตรภาพของเราแน่นขึ้นด้วย "มาม่ามิตรภาพ" เจ้าของบริษัทซื้อมาม่ามาให้ เราก็ลงขันกันซื้อ หมู เห็ด เป็ด ไก่ ไข่ ผัก ปลากระป๋อง เท่าที่จะสมทบทุนให้ได้ เอามาใส่รวมรวมกันต้มกินเป็นหม้อใหญ่แล้วกินด้วยกัน ตอนนั้นบริษัทค้างเงินพนักงาน 3 เดือนครับ จึงจะส่งงานแล้วได้ตังค์ก้อนใหญ่มาจ่ายเงินเดือนพนักงาน
... ก้าวข้ามปีแรก เข้าสู่ปีที่ 2 เหมือนยุครุ่งเรืองของบริษัท ย้ายที่สำนักงาน(มีปัญหากับหมู่บ้านเก่า) และช่วงนั้นเจ้าของบริษัท ซื้ออุปกรณ์ ทั้งที่เป็นอุปกรณ์สำนักงาน และไม่ใช่อุปกรณ์สำนักงานที่แบบพนักงานมานั่งงงว่าซื้อมาทำไม และแล้วการฝืดเคืองทางการเงินก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ที่ต่างจากเดิมคือเจ้าของบริษัทซื้อบ้านใหม่ พนักงานบางคนคับข้องใจจึงไปถาม ได้คำตอบกลับมาว่า "แฟนกู้ธนาคารซื้อบ้านได้(แฟนเงินเดือน 15,000 บาท ลูก 3 คน กู้ซื้อบ้าน 3 ล้านบาทได้) ใครคิดว่าแกเอาเงินบริษัทไปซื้อบ้าน แกจะไล่ออก" ผมเลยตัดสินใจอยู่จนงานผมส่งเสร็จ ตอนนั้นคุยกับเพื่อนร่วมงาน ขอให้งานเสร็จก่อน แล้วค่อยออกพร้อมกัน เมื่อส่งงานได้ และแก้ไขตามที่ลูกค้าขอแก้ไขเพิ่มเติม ผมจึงออกมา พร้อมสถานะเจ้าหนี้ที่บริษัทติดหนี้ผมอยู่ 70,000 บาท
... ผมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งปรึกษากันแล้ว เห็นว่าไม่ไว้ใจเจ้าของบริษัทจึงตัดสินใจฟ้องกรมแรงงาน เพื่อนเพื่อนแชร์ข้อมูลมากมาย อาธิเช่น เจ้าของบริษัทไปรับลูกไม่เคยทันเวลา จึงต้องเสียเงินค่าเลี้ยงดูชั่วโมงละ 400 บาททุกวัน, เจ้าของบริษัทวางแผนซื้อรถอีกคันเพื่อจะได้ให้แฟนไปรับลูก, บ้านเก่าที่แกเช่าก่อนย้ายออกไปอยู่บ้านที่ซื้อ ค้างค่าเช่า 3 เดือน
แต่ที่สุดบรรยายที่สุดคือ
- เพื่อนผมคนที่ 1 ทวงเงินเดือนที่แกค้างจ่าย แกพูดทำนองว่า "พี่ยังไม่มี ทำไมไม่คิดบ้าง ตอนที่มาของานพี่ ตอนที่ไม่แน่ใจจะจบแหล่ ไม่จบแหล่ พี่ยังให้โอกาสเราเลย"
- น้องคนที่ 2 ไปทวงเงิน แกพูดทำนองว่า "พี่ยังไม่มีเงินให้หรอกครับ พี่จ่ายคนที่ไม่ฟ้องพี่หมดไปแล้ว(โกหก) ต่อไปจะทำอะไรคิดถึงอนาคตให้ดีดีนะครับ"
- น้องคนสุดท้ายถามว่าเงินเดือนค้างจ่าย เจ้าของบริษัท ลงบัญชีค่าใช้จ่ายค้างจ่ายหรือเปล่า? ตอบทำนองว่า "พี่เอาลงบัญชีหนี้ของเจ้าของบริษัทครับ"
- เจ้าของบริษัทโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง แกชวนเพื่อนผมให้กลับไปทำงานด้วย แกจะโอนเงินเดือนที่ค้างจ่ายไปให้ แต่ต้องกลับมาทำงานก่อน
... ทั้งหมดนี้คือการกระทำของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบริษัท เป็นนายจ้าง สำหรับพวกผม ฟ้องสำนักงานประกันสังคมไปแล้ว สำนกงานฯ ส่งจดหมายให้เจ้าของบริษัทชำระหนี้ แต่แกก็ละเลย พวกผมเลยยื่นเรื่องต่อศาลแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจ คือตอนที่เราไปฟ้องสำนักงานประกันสังคม เราไม่เอาดอกเบี้ยใดๆ ด้วยไมตรีจิตรที่ยังหลงเหลืออยู่ ถือเสียว่าเป็นค่านม ค่าเล่าเรียนลูกแกให้เป็นคนดีมีศิลธรรม แต่ตอนนี้จะเปลี่ยนใจในชั้นศาลได้หรือไม่ครับ หรือใครมีความคิดเห็นประการใด รบกวนแจ้งที ใครอยากทราบรายละเอียด ว่าบริษัทจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ ก็หลังไมค์แล้วกันครับ ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน และแสดงความคิดเห็นล่วงหน้าครับ
เฟืองส้ม
เจอนายจ้างอ้างว่าไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย แถมทวงบุญคุณ คุณจะทำอย่างไร
... เรื่องมีอยู่ว่าผมได้งานทำที่เมืองล้านนา เมื่อปี 2555 เป็น Software House แห่งหนึ่ง จากคำแนะนำของพี่ที่ทำงานเก่า บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทขนาดเล็ก พนักงาน 10 - 20 คน ด้วยความเป็นบริษัทขนาดเล็ก ตำแหน่งงานจึงไม่ค่อยสำคัญนัก อยู่กันแบบพี่น้อง ใครมีหน้าที่อะไร ก็ทำตามหน้าที่ ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็พยายามช่วยๆ กันไป ผมทำงานได้สักพักบริษัทเกิดประสบปัญหาฝืดสภาพคล่องทางการเงินทำให้จ่ายเงินเดือนพนักงานไม่ได้ตามกำหนด จนสุดท้ายไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานได้ ที่บ้านผมเองสนับสนุนให้ทำงานที่นั้น จึงช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย เพื่อให้ผมดำเนินชีวิตอยู่ได้ แต่กับน้องน้องบางคนไม่เป็นเช่นนั้น ต้องเก็บเรื่องไม่ได้เงินเดือนไม่ให้ที่บ้านทราบ ทุกคนลำบากเหมือนกัน รวมทั้งเจ้าของบริษัท เราทำงานกันดึกขึ้น เพื่อให้งานเสร็จ และส่งงานได้ บางคนงานเสร็จแล้ว ช่วยอะไรไม่ได้ก็อยู่เป็นเพื่อนกัน ช่วงนั้นทำให้มิตรภาพของเราแน่นขึ้นด้วย "มาม่ามิตรภาพ" เจ้าของบริษัทซื้อมาม่ามาให้ เราก็ลงขันกันซื้อ หมู เห็ด เป็ด ไก่ ไข่ ผัก ปลากระป๋อง เท่าที่จะสมทบทุนให้ได้ เอามาใส่รวมรวมกันต้มกินเป็นหม้อใหญ่แล้วกินด้วยกัน ตอนนั้นบริษัทค้างเงินพนักงาน 3 เดือนครับ จึงจะส่งงานแล้วได้ตังค์ก้อนใหญ่มาจ่ายเงินเดือนพนักงาน
... ก้าวข้ามปีแรก เข้าสู่ปีที่ 2 เหมือนยุครุ่งเรืองของบริษัท ย้ายที่สำนักงาน(มีปัญหากับหมู่บ้านเก่า) และช่วงนั้นเจ้าของบริษัท ซื้ออุปกรณ์ ทั้งที่เป็นอุปกรณ์สำนักงาน และไม่ใช่อุปกรณ์สำนักงานที่แบบพนักงานมานั่งงงว่าซื้อมาทำไม และแล้วการฝืดเคืองทางการเงินก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ที่ต่างจากเดิมคือเจ้าของบริษัทซื้อบ้านใหม่ พนักงานบางคนคับข้องใจจึงไปถาม ได้คำตอบกลับมาว่า "แฟนกู้ธนาคารซื้อบ้านได้(แฟนเงินเดือน 15,000 บาท ลูก 3 คน กู้ซื้อบ้าน 3 ล้านบาทได้) ใครคิดว่าแกเอาเงินบริษัทไปซื้อบ้าน แกจะไล่ออก" ผมเลยตัดสินใจอยู่จนงานผมส่งเสร็จ ตอนนั้นคุยกับเพื่อนร่วมงาน ขอให้งานเสร็จก่อน แล้วค่อยออกพร้อมกัน เมื่อส่งงานได้ และแก้ไขตามที่ลูกค้าขอแก้ไขเพิ่มเติม ผมจึงออกมา พร้อมสถานะเจ้าหนี้ที่บริษัทติดหนี้ผมอยู่ 70,000 บาท
... ผมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งปรึกษากันแล้ว เห็นว่าไม่ไว้ใจเจ้าของบริษัทจึงตัดสินใจฟ้องกรมแรงงาน เพื่อนเพื่อนแชร์ข้อมูลมากมาย อาธิเช่น เจ้าของบริษัทไปรับลูกไม่เคยทันเวลา จึงต้องเสียเงินค่าเลี้ยงดูชั่วโมงละ 400 บาททุกวัน, เจ้าของบริษัทวางแผนซื้อรถอีกคันเพื่อจะได้ให้แฟนไปรับลูก, บ้านเก่าที่แกเช่าก่อนย้ายออกไปอยู่บ้านที่ซื้อ ค้างค่าเช่า 3 เดือน
แต่ที่สุดบรรยายที่สุดคือ
- เพื่อนผมคนที่ 1 ทวงเงินเดือนที่แกค้างจ่าย แกพูดทำนองว่า "พี่ยังไม่มี ทำไมไม่คิดบ้าง ตอนที่มาของานพี่ ตอนที่ไม่แน่ใจจะจบแหล่ ไม่จบแหล่ พี่ยังให้โอกาสเราเลย"
- น้องคนที่ 2 ไปทวงเงิน แกพูดทำนองว่า "พี่ยังไม่มีเงินให้หรอกครับ พี่จ่ายคนที่ไม่ฟ้องพี่หมดไปแล้ว(โกหก) ต่อไปจะทำอะไรคิดถึงอนาคตให้ดีดีนะครับ"
- น้องคนสุดท้ายถามว่าเงินเดือนค้างจ่าย เจ้าของบริษัท ลงบัญชีค่าใช้จ่ายค้างจ่ายหรือเปล่า? ตอบทำนองว่า "พี่เอาลงบัญชีหนี้ของเจ้าของบริษัทครับ"
- เจ้าของบริษัทโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง แกชวนเพื่อนผมให้กลับไปทำงานด้วย แกจะโอนเงินเดือนที่ค้างจ่ายไปให้ แต่ต้องกลับมาทำงานก่อน
... ทั้งหมดนี้คือการกระทำของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบริษัท เป็นนายจ้าง สำหรับพวกผม ฟ้องสำนักงานประกันสังคมไปแล้ว สำนกงานฯ ส่งจดหมายให้เจ้าของบริษัทชำระหนี้ แต่แกก็ละเลย พวกผมเลยยื่นเรื่องต่อศาลแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจ คือตอนที่เราไปฟ้องสำนักงานประกันสังคม เราไม่เอาดอกเบี้ยใดๆ ด้วยไมตรีจิตรที่ยังหลงเหลืออยู่ ถือเสียว่าเป็นค่านม ค่าเล่าเรียนลูกแกให้เป็นคนดีมีศิลธรรม แต่ตอนนี้จะเปลี่ยนใจในชั้นศาลได้หรือไม่ครับ หรือใครมีความคิดเห็นประการใด รบกวนแจ้งที ใครอยากทราบรายละเอียด ว่าบริษัทจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ ก็หลังไมค์แล้วกันครับ ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน และแสดงความคิดเห็นล่วงหน้าครับ