ระหว่างออมหุ้นแบบ DAC กับกองทุนรวมในตราสารทุน...

รบกวนพี่ๆในห้องสินธร ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ อยากจะขอความเห็นหน่อยครับว่า ระหว่าง
- การออมหุ้นแบบ DCA ทุกๆเดือน  อ้างอิง โครงการออมหุ้นของ CIMB ครับ โดยเลือกหุ้นที่คิดว่าพื้นฐานดีมาประมาณ 5 ตัวเฉลี่ยออมตัวละเท่าๆกันทุกเดือน
- ซื้อกองทุนรวม (ขออ้างอิงกองทุน บัวหลวงทศพล อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี ประมาณปีละ 15% อ้างอิง www.wealthmagik.com)

คำถามคือ
1. ซื้อด้วยจำนวนเงินเท่ากัน และเวลาเดียวกันทุกๆเดือนเป็นเวลา 10-15 ปี อย่างไหนให้ผลตอบแทนสูงกว่ากันครับ
2. ทั้ง 2 วิธี จำนวนเงินออมต่อเดือนมีผลต่อผลตอบแทนไหมครับ เช่น ออมเดือนละ 5,000 กับ 20,000 บาท

เพราะปัจจุบัน ผมได้มีพอร์ตของตัวเองอยู่แต่อาจจะด้วยนิสัย ทำให้ตอนหุ้นลงไม่กล้าซื้อ หุ้นขึ้นไม่กล้าขาย เล่นแบบกล้าๆกลัวๆ (ประมาณว่าอยากซื้อที่จุดต่ำสุด และขายที่จุดสูงสุด) จึงทำให้ขาดทุนจากการลงทุนอยู่ เลยอบากเปลี่ยนวิธีการออมใหม่เป็นการออมประจำแทนครับ
โดยปัจจุบันผม มีเงินเก็บ(เงินเย็น)ต่อเดือนประมาณ 19,000 บาท แบ่งเป็น
- นำเงินเข้าพอร์ต                                                                    10,000 บาท (แต่ไม่กล้าซื้อ เงินแช่อยู่ในพอร์ต)
- นำเงินเข้ากองทุนตราสารหนี้ SMART ของ MFC                 3,000 บาท
- นำเงินเข้ากองทุนตราสารทุน บัวหลวงทศพล                        4,000 บาท
- นำเงินเข้าบัญชี ME By TMB                                                 2,000 บาท
     รวม                                                                                    19,000 บาท
โดยเงินที่เก็บทั้งหมดนี้เป็นเงินเย็นครับ ระบะเวลาการออมประมาณ 10-15 ปี พี่ๆคิดว่าควรมีการปรับเปลี่ยนวิธีการออมไหมครับ



ขอบคุณล่วงหน้าครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ตอบคำถามนะครับ ..

1. ซื้อด้วยจำนวนเงินเท่ากัน และเวลาเดียวกันทุกๆเดือนเป็นเวลา 10-15 ปี อย่างไหนให้ผลตอบแทนสูงกว่ากันครับ
- ข้อนี้ ไม่มีใครตอบได้ครับ เพราะอนาคตไม่มีใครรู้ .. ผมคงแนะนำได้แค่ว่า ออมหุ้น ให้เลือกเฉพาะหุ้นพื้นฐานดี แข็งแกร่ง เลือกหุ้นที่คุณที่คิดว่าธุรกิจของเค้ายังสามารถเติบโตได้ในระยะยาวอีก 10-15 ปี ข้างหน้า .. ก็น่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีมากพอสมควรครับ .. ในขณะที่กองทุน BTP ผจก.กองทุนเก่งมาก (แต่อนาคต จะเก่งแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ รึป่าว ไม่รู้) .. อีกทั้ง กองทุนยังมีหุ้นอยู่ในพอร์ตประมาณ 10-20 ตัว  ฉะนั้น ยิ่งมีหุ้นในพอร์ตมากเท่าไหร่ ผลตอบแทนที่ทำได้ ก็จะถูกเฉลี่ยมากขึ้นไปอีก .. ฉะนั้น ถ้าเราเลือกออมหุ้น หรือ ซื้อหุ้นด้วยตัวเอง เลือกเฉพาะหุ้นที่เราคิด และ วิเคราะห์มาอย่างดีจริง ๆ เพียงแค่ 5-10 ตัว (เท่าที่เราสามารถติดตามบริษัทได้ไหว)  ก็น่าจะได้ผลตอบแทนดีกว่าการซื้อกองทุนรวมมากทีเดียว

2. ทั้ง 2 วิธี จำนวนเงินออมต่อเดือนมีผลต่อผลตอบแทนไหมครับ เช่น ออมเดือนละ 5,000 กับ 20,000 บาท
- จำนวนเงินออม มีผลกับผลตอบแทนแบบสัมพันธ์กันครับ .. คุณออมเยอะ ผลตอบแทนที่ทำได้ ก็จะเยอะตามจำนวนเงินต้น .. คุณออมน้อย ผลตอบแทนที่ทำได้ ก็จะน้อยตามจำนวนเงินต้นไปด้วย (เมื่อเทียบเป็น % ที่ได้รับผลตอบแทนเท่ากันนะครับ) .. แต่จริง ๆ ไม่ต้องซีเรียสเรื่องเงินต้นหรอกครับ .. มีน้อย ก็ออมน้อย .. มีเยอะ ก็ออมเยอะ .. เอาตามกำลังที่เราไหวดีกว่าครับ .. เพราะบางที การฝืนกำลังตัวเอง ให้เราออมมาก ๆ แบบ Aggressive  มากเกินไป ผมว่าก็อาจจะทำให้เราไม่มีความสุขกับการออมซักเท่าไหร่นะ (สรุป ใช้ชีวิตให้ Balance ครับ  ทั้งค่าใช้จ่าย และ เงินออม)


ส่วนพอร์ตการออมของ จขกท.  ผมดูแล้ว ก็ค่อนข้างโอเค นะครับ .. เพราะมีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นถึง 14,000 บาท (พอร์ตหุ้น 10,000 + กองทุน BTP 4,000 )

ส่วนอีก 5,000 ก็เก็บไว้เป็นสภาพคล่อง ก็ดีอยู่แล้วครับ


แต่ผมไม่แน่ใจว่า ที่คุณถามเนี่ย  หมายถึง เงิน 10,000 บาท  ที่อยู่ในพอร์ตหุ้น  จะเปลี่ยนมาเป็นออมหุ้น หรือ ออมเพิ่มในกองทุน BTP แทน  ใช่มั๊ยครับ ?

อันนี้ ก็ต้องไปย้อนดูข้อ 1 .. แล้วก็ถามใจตัวเอง ว่าชอบแบบไหน  รับความเสี่ยงได้มากขนาดไหน

หรือ ถ้าไม่อยากคิดอะไรมากนะครับ .. ง่าย ๆ เลย .. ถ้านับเฉพาะเงินออมที่เราจะใช้ลงทุนในหุ้นทั้งหมด 14,000 บาท

เราก็แบ่งอย่างละครึ่งก็ได้ครับ .. ออมหุ้น 7,000 บาท .. ออมกองทุน BTP  7,000 บาท

แล้วเมื่อเวลาผ่านไปซัก 3 - 5 ปี .. เราก็ค่อยมาย้อนดูว่า ผลตอบแทนอันไหนเรามากกว่า .. เราก็ค่อยโยกเงินสลับสับเปลี่ยนในอนาคตก็ได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่