ผมได้คำตอบให้ตัวเองกับคำถามที่ว่า ทำไมบ้านเมืองจึงไม่สงบได้ถึงเพียงนี้ และผมก็พบคำตอบ นั่นคือ ความไม่เกรงกลัวต่อบาป หรือ ความเกรงกลัวต่อการทำเลว ของคนในชาติ ลดลง
เพียงแค่ย้อนไปสมัยผมเป็นวัยรุ่นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผู้คนยังนับถือความดี พึ่งพาอาศัยกันได้ ขนาดไปต่างจังหวัด โบกรถ ขออาศัยไป ยังเชื่อใจอาศัยกันได้ แถมได้เพื่อนร่วมทาง พูดคุย กลายเป็นมิตรภาพที่ยั่งยืน
เจ็บไข้ไม่สบาย เรียกอาศัยข้างบ้านได้ และก็เป็นความยินดีที่ได้ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกับข้าวกับปลา อาศัย เรียกชวนกันกิน เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรไมตรี และ ความเกรงอกเกรงใจ
สมัยนี้มีแต่คนรู้มาก เพราะพึ่ง google พึ่ง facebook เป็นเครื่องมืออวดอ้าง ว่ามีความรู้ และใช้เป็นเครื่องมือแสดงตัวเหนือผู้อื่น แข่งดีแข่งได้ ได้กินก็อวด ได้ไปก็อวด แก่งแย่งเพื่อ แสดงตัวตนว่าดีกว่า เหนือกว่า ฉลาดกว่า แข่งศักดินา หลอกลวง ยกตนข่มท่าน โลภ ทำทุกอย่างเพื่อ อำนาจ และ ความโลภ
ลืมไปว่า ก็คนเหมือนกัน และโดยความเป็นปัจเจกนั้น ดำรงค์ชีวิตอยู่ได้ยากมาก เมื่อเทียบกับ การอยู่รวมกันเป็นสังคมที่ดี ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์
ซึ่งผมคิดว่า สิ่งนี้ เป็นภาวะเข้าสู่การสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ และสืบเนื่องไปถึงระดับมนุษย์ชาติ
สิ่งนั้นเรียก ความไม่เกรงกลัวต่อบาป
ความไม่เกรงกลัวต่อบาป คือคำตอบ
เพียงแค่ย้อนไปสมัยผมเป็นวัยรุ่นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผู้คนยังนับถือความดี พึ่งพาอาศัยกันได้ ขนาดไปต่างจังหวัด โบกรถ ขออาศัยไป ยังเชื่อใจอาศัยกันได้ แถมได้เพื่อนร่วมทาง พูดคุย กลายเป็นมิตรภาพที่ยั่งยืน
เจ็บไข้ไม่สบาย เรียกอาศัยข้างบ้านได้ และก็เป็นความยินดีที่ได้ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกับข้าวกับปลา อาศัย เรียกชวนกันกิน เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรไมตรี และ ความเกรงอกเกรงใจ
สมัยนี้มีแต่คนรู้มาก เพราะพึ่ง google พึ่ง facebook เป็นเครื่องมืออวดอ้าง ว่ามีความรู้ และใช้เป็นเครื่องมือแสดงตัวเหนือผู้อื่น แข่งดีแข่งได้ ได้กินก็อวด ได้ไปก็อวด แก่งแย่งเพื่อ แสดงตัวตนว่าดีกว่า เหนือกว่า ฉลาดกว่า แข่งศักดินา หลอกลวง ยกตนข่มท่าน โลภ ทำทุกอย่างเพื่อ อำนาจ และ ความโลภ
ลืมไปว่า ก็คนเหมือนกัน และโดยความเป็นปัจเจกนั้น ดำรงค์ชีวิตอยู่ได้ยากมาก เมื่อเทียบกับ การอยู่รวมกันเป็นสังคมที่ดี ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์
ซึ่งผมคิดว่า สิ่งนี้ เป็นภาวะเข้าสู่การสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ และสืบเนื่องไปถึงระดับมนุษย์ชาติ
สิ่งนั้นเรียก ความไม่เกรงกลัวต่อบาป