เจ้าของกิจการ IT กำลังจะ "เจ๊ง" กำลังจะหาเงินจ่ายหนี้ไม่ทัน ผมจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดี?

สวัสดีครับ นี่เป็นอีก 1 ชีวิตที่ตัดสินใจเดินตามความฝันของตัวเอง เขาว่ากันว่าเจ้าของกิจการ 80% จะเจ๊ง มีแค่ 20% ที่อยู่รอด ผมเดินทางมาได้ 8 ปีจนถึงตอนนี้ ผมกำลังจะเป็นหนึ่งใน 80% ที่ว่านั้น ผมกำลังจะไม่มีเงินจ่ายค่าบัตรเครดิต ค่าผ่อนบ้าน ค่าสินเชื่อส่วนบุคคลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมจะทำอย่างไรดีครับ?

ผมเรียนจบปริญญาตรีมา 10 ปีพอดี หลังเรียนจบ ผมเป็นพนักงานบริษัทได้ 2 ปีก็ตัดสินใจลาออก เพราะการสร้างรายได้จากการติดโฆษณา Google Adsense ทำรายได้ให้ผมเท่ากับเงินเดือนที่ทำอยู่ในตอนนั้น และสิ่งที่ผมทำก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ทั้ง Google, facebook, eBay ฯลฯ ต่างสร้างรายได้กันปีละหลายแสนล้านบาท ผมจึงสร้างสรรค์ "ระบบ" หลายๆอย่างเพื่อให้บริการในโลกอินเตอร์เน็ต สิ่งที่ผมทำไม่เหมือนใคร คิดขึ้นมาเอง สร้างขึ้นมาเองด้วยตัวคนเดียว จนสามารถสร้างรายได้ให้ผมเดือนละหลายหมื่นบาท จนถึง 1 แสนกว่าบาทต่อเดือน

ผมเชื่อว่า "ผมมาถูกทางแล้ว" แต่เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว สิ่งที่ผมทำจึงมี "คู่แข่ง" เกิดใหม่มากมาย แน่นอนว่าผมคิดไว้แล้วว่าวันหนึ่งจะเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ไม่เคยนิ่งนอนใจ ผมเร่งสร้างสรรค์ระบบแบบอดหลับอดนอน เพื่อให้ระบบของตัวเอง "โดดเด่น" กว่าคู่แข่ง แต่เพราะเราทำได้ คนอื่นก็ทำได้ และคนอื่นก็สามารถ "ลอกความคิด" ของเราได้ ผมลองศึกษาเรื่อง "สิทธิบัตร" ก็พบว่า ประเทศของเราไม่ได้คุ้มครอง "ความคิด" ไม่ได้ให้ความสนใจกับ "ทรัพย์สินทางปัญญา" จนไม่สามารถเรียกร้องอะไร จากการถูกลอกเลียนแบบได้

** เขาให้เหตุผลว่า งาน Programming เป็นเหมือนงานวรรณกรรม ถ้าไม่ได้เหมือนกันภายใน Sorce Code ก็แสดงว่าไม่ได้ลอกเลียนแบบกัน  ร้องไห้


เวลาที่ผ่านมากับเงินที่หามาได้ หมดไปกับการดูแลทีมงาน และลงทุนจ้างส่วนประกอบของระบบ ผมเป็นเจ้าของบริษัทที่มีแค่มอเตอร์ไซต์ 1 คันและเช่าบ้านอยู่ เช่าบ้านมาได้ 7 ปีก็เลยตัดสินใจยื่นกู้ซื้อบ้านราคา 1 ล้านต้นๆ ไปเมื่อปีที่แล้ว และกู้ซื้อรถมือสอง 1 คัน (ผ่อนเดือนละ 4 พันกว่าบาท แฟนจะได้ไม่ลำบาก) สรุปเป็นค่าใช้จ่ายเดือนหนึ่ง คือ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต 3 ใบ ผ่อนสินเชื่อส่วนบุคคล 2 รายการ รวมประมาณ 5 หมื่นบาท มีค่าจ้างทีมงานและคนในครอบครัวอีก 3-4 หมื่นบาทรวมเป็นค่าใช้จ่ายเดือนละเกือบ 1 แสนบาท


แต่เพราะ เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว ระบบที่ผมทำจึงมีคนใช้น้อยลงเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ "รายได้ ไม่พอรายจ่าย" ในวันนี้ผมจึงไม่สามารถรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้บริษัท(เล็กๆ) ของตัวเองได้อีกต่อไป ผมกำลังจะติดลบเดือนละ 35,000-40,000 บาท ในชีวิตนี้ผมไม่เคยผ่อนบัตรเครดิต และสินเชื่อใดๆล่าช้าเลย แต่ปลายเดือนนี้คงจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมจะจ่ายหนี้ล่าช้า และกำลังจะ "ไม่มีเงินจ่ายหนี้"

กิจการของผมกำลังจะ "เจ๊ง" ผมกำลังจะกลายเป็น "บุคคลล้มละลาย" เพราะผมไม่เหลือบัตรเครดิตอะไรให้กดอีกแล้ว และถ้าขอกู้สินเชื่อเพิ่ม ก็จะยิ่งสร้างภาระให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น


ช่วยให้คำแนะนำผมหน่อยครับ ในสถาณการณ์แบบนี้ ผมควรทำอย่างไร?

1. ผมจะบอกธนาคารผู้ให้สินเชื่ออย่างไรว่า ขอเวลาผมสัก 3 เดือน 5 เดือน
ให้ผมปรับปรุงกิจการของผมให้มีรายได้อีกครั้ง แล้วผมก็จะจ่ายหนี้ตามปรกติ

2. ผมมี "ระบบเว็บไซต์" ที่มั่นใจว่า "ไม่เหมือนใครในโลก" ผมควรจะหา "แหล่งเงินทุน" ได้ที่ไหน?

3. ผมอยากขายบ้าน แต่เพิ่งผ่อนไปได้ 9 เดือน ถ้าขายภายใน 3 ปีจะมีค่าปรับ ไม่ทราบว่ามีวิธีขายดาวน์ หรือเปลี่ยนสัญญาเพื่อไม่ให้เสียเงินเยอะไหมครับ?

แห้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
ตกใจหมด นึกว่า บริษัทที่ขายอุปกรณ์ไอที

ยิ่งขายของให้บริษัทแบบนี้อยู่............... ช่วงนี้ บัญชี จ่ายช้าจริงๆ

เศร้าเศร้าเศร้าเศร้าเศร้าเศร้า

โดยส่วนตัว เมื่อปีที่แล้ว ถึงสองปีที่แล้ว ต้องยอมรับว่า การค้าแย่จริงๆ ที่สำคัญคือ งบกระแสเงินสด หรือ ทุน

วิธีการ คือ ตัดงบอย่างเดียวเลย ไม่ว่าจะค่าใช้จ่ายอะไร ตัดได้ ตัดหมด วัตถุดิบบางอย่างใช้ร่วมกันได้ ยุบใช้ร่วมกัน

เวลาทำงาน ถ้าต้องทำน้อยลงจริงๆ ก็ต้องคุยกับพนักงานขอลดเวลาทำงานเพื่อให้ คชจ.ตรงนี้ลดลง

ส่วนตัว ในแง่เจ้าของบริษัท ถ้าคุณไม่เงินจ่ายเงินเดือนจริงๆ คุยกับพนักงานตรงๆ ว่าสิ้นเดือนนี้ จ่ายได้แค่นี้ ถ้าพนักงานคนไหน

ได้งานที่ใหม่ ให้ออกไปได้ (ถ้าระบบงานคุณ สามารถทำคนเดียวได้ .... จริงๆ แต่เริ่มคุณก็ทำคนเดียว) ก็ไม่ต้องมีลูกน้อง

ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ เช่น รถ (ถ้าผ่อนอยู่ ขายดาวน์ แล้วให้เค้าผ่อนต่อ ถ้าหาไม่ได้ ยกรถให้เพื่อนไปผ่อนต่อ แต่คุณต้องทำเรื่องที่ไฟแนนทซ์

ให้เรียบร้อยนะ ต้องโอนชื่อไปเป็นชื่อเค้าให้หมด อย่าให้ไฟแนนซ์ยึดรถ เพราะ เค้าจะขายรถคุณไปราคาถูกๆ และบังคับคุณให้ใช้หนี้ต่อ)

ขายทรัพย์สินมีค่า เช่น พระเครื่อง ทอง เครื่องประดับ

ถ้างานไม่จำเป็นต้องมี ออฟฟิต ก็ยกเลิกเช่าออฟฟิต ทำงานที่บ้านแทน จะลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต จิปาถะ

ทำงานด้าน ไอที ปรึกษาเพื่อนๆ ดูว่า จะรับงานพิเศษเขียนโปรแกรม ออกแบบ รับเขียนโปรแกรม หาอาชีพเสริม

ส่วนบ้าน จำเป็นต้องมีอยู่ หยุดจ่ายไปก่อนได้ สองสามเดือน เค้าจะโทรมาทวง ต่อรองกับเค้าให้ดี

ถ้ายังไม่จ่าย เค้าจะฟ้องศาล ก็ไปศาลตามปรกติ ศาลจะถามว่ามีรายได้แค่ไหน ทำอาชีพอะไร

ถ้าจ่ายไม่ไหว ศาลอาจพิพากษาให้ยึดบ้าน ก็จะมีกรมบังคับคดี

กว่ากรมบังคับคดี จะมาประกาศขายบ้าน โดยคุณสามารถไปคัดค้านการขายได้ ถ้าราคาไม่เหมาะสม

กว่าจะเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด ก็ต้อง ปีกว่าๆ (คุณสามารถอยู่บ้านนี้ได้ ปีกว่าๆ โดยหยุดจ่ายไปก่อน แต่มูลหนี้ยังอยู่นะ)

ศึกษาข้อมูลใน ชมรมหนี้บัตรเครดิต หาจากกูเกิ้ล

สิ่งที่คุณจะสูญเสีย คือ "เครดิต" ต่อไปธนาคารจะไม่พิจารณาให้กู้เงิน

ถ้าคุณคิดว่า งานในอนาคตคุณ จะรับจ็อบ ฟรีแลนซ์ เขียนโปรแกรม รับจ้าง ก็ไม่ต้องสนใจ ตรงนี้มาก
ความคิดเห็นที่ 96
เห็นใจ จขกท. นะครับ ผมเองเป็นผู้ประกอบการเช่นเดียวกันกับ จขกท. เคยผ่านปัญหาลักษณะคล้ายๆกันครับ และเชื่อเหลือเกินว่าเจ้าของกิจการเกือบทั้งหมดก็เจอปัญหาเดียวกันนี้ครับ แชร์ประสบการณ์ และมุมมองกันนะครับ

ผมเองทำกิจการมาประมาณ 10 ปีครับ เคยมีประสบการณ์ในธุรกิจ IT เช่นเดียวกันในช่วงแรกๆ หลังจากผ่านไปได้ 3 ปีก็เล็งเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงที่เร็ว และก็ตรวจสอบตัวเองว่าเรามีความสามารถเหนือกว่าคนอื่นจริงหรือไม่ ผมยอมรับกับตัวเองว่าไม่สามารถเหนือกว่าคนอื่นได้จริง ผมจึงตัดสินใจรีบเก็บเงิน ใช้ให้น้อย ผมมีรายได้ประมาณ 3 แสนกว่าบาทต่อเดือน นั่งรถเมล์ ซื้อคอนโดถูกๆ (5 แสน) หลังจากเก็บเงินได้หลักล้าน ผมจึงตัดสินใจลงทุนในธุรกิจอื่นที่มี cycle ช้ากว่า IT และ Focus เพียงธุรกิจเดียว ส่วนธุรกิจเดิมนั้นผมตัดสินใจให้หุ้นกับลูกน้องที่อยู่ด้วยกันมาแต่เริ่มต้นบางส่วน และดำเนินกิจการได้จนถึงปัจจุบัน แต่กำไรนั้นน้อยมากจนแทบไม่มีในบางเดือนครับ แต่ก็ยังประคับประคองชีวิตของพนักงานไปได้อย่างไม่ลำบาก

คำแนะนำสำหรับคำถาม 3 ข้อนั้นผมเห็นด้วยกับเม้นบนๆครับ ผมจึงไม่ขอให้คำแนะนำเพิ่มครับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่สามารถแนะนำได้ แต่แชร์ให้เก็บไปคิดครับ ไม่ได้แปลว่ามันจะถูกนะครับ

ในธุรกิจใหม่ของผม จากเงินที่ผมมีประมาณ 5 ล้านบาท ผ่านไป 6 เดือน ผมเหลือเงินในบัญชีหลักหมื่นบาท และเมื่อจ่ายเงินเดือนพนักงานไปหมด ผมเหลือเงินเพียงแค่หลักพันในบัญชีครับ ในขณะที่คชจ.ปัจจุบันผมมีหลักแสนต่อเดือน มีลูกสาว 1 คน 2 ขวบ วินาทีนั้นผมแทบร้องไห้ เครียด เข้าใจคนที่คิดฆ่าตัวตายขึ้นมาทันที มีคำถามนึงผุดขึ้นมาในหัวผมว่า "ตอนนี้เรากำลังดันทุรัง" หรือว่า "กำลังสู้ไม่ถอย" กันแน่ .... ผมไม่รู้คำตอบจริงๆครับ ว่าความจริงมันคืออะไร แต่ผมตัดสินใจทำต่อ ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงของครอบครัวทุกคน ไม่ว่าจะพ่อ แม่ ภรรยา แต่ผม focus สุดๆครับ วิเคราะห์ทุกเม็ด ละเอียดที่สุดในทุกๆเรื่อง ผ่านมาอีก 6 เดือน ผมกลับมามี 5 ล้านบาทอีกครั้ง พร้อมกับประสบการณ์ 1 ปีในธุรกิจใหม่ที่จะทำให้ปีที่ 2-3 ของผมนั้น ราบรื่นมากขึ้น แต่ก็ไม่ประมาท

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากจังหวะนั้นคือ ไม่มีใครบอกได้ว่า "เรากำลังดันทุรัง" หรือ "กำลังสู้ไม่ถอย" นอกจากตัวเราเองครับ
อีกสิ่งที่มองเห็นชัดมากคือ เราควรให้ความสำคัญกับ "ความเสี่ยง" มากกว่า "การเติบโต" ครับ เพราะหากเราดำเนินธุรกิจด้วยความคิดที่ต้องการเติบโตมากจนลืมมองความเสี่ยงละก็ เมื่อเวลาที่ไม่เป็นใจมาถึง เราจะล้มทั้งยืนครับ การจัดการกับความเสี่ยงนั้นง่ายมากครับ เพียงแค่เราเก็บ "เงินสำรอง" สำหรับธุรกิจก่อน อย่างน้อย 6 เดือนครับ ผมเห็นได้ชัดว่าเงินที่จขกท.ได้จากธุรกิจนั้นนำไปจ่ายให้กับเรื่องส่วนตัว โดยอาจจะประมาท ไม่ได้เก็บเงินสด สำรองสำหรับธุรกิจถึง 6 เดือนแน่ๆใช่ไหมครับ คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าเงินสำรอง 6 เดือนนั้น มากพอที่จะลงทุนสร้างผลกำไร สร้างการเติบโตให้บริษัท ดีกว่านอนอยู่เฉยๆ และนั่นคือกับดักครับ ถ้าเราสังเกตบริษัทในตลาดหุ้นที่รอดจากวิกฤติปี 40 ได้ล้วนแล้วแต่เพราะ "เงินสำรอง" ทั้งสิ้นครับ เห็นแบบนี้แล้วต่อไปหากว่าธุรกิจของจขกท.สามารถรอดจากบททดสอบนี้ไปได้ก็ขอให้ตระหนักถึง "ความเสี่ยง" ให้จงหนักครับ

สุดท้าย ผมขอให้จขกท.ตัดสินใจตามสัญชาตญาณของตัวเอง อย่าฟังคนรอบข้างมากนัก เรียนรู้ให้เร็ว ปรับตัวให้เร็ว ขอให้โชคดีครับ

อ้อ เห็นได้ชัดอีกอย่างว่าจขกท.ขาดการวิเคราะห์ธุรกิจนะครับ แนะนำให้หาความรู้เรื่องนี้มากๆครับ หากเราเป็น freelance หรือ โปรแกรมเมอร์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง คุณอาจไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้ แต่หากคุณคือเจ้าของธุรกิจ คุณก็ควรให้ความสำคัญกับ "ธุรกิจ" เป็นอันดับ 1 ครับ business plan, marketing plan, hr plan, production plan แผนต่างๆเหล่านี้ หากเราทำมันทั้งหมด จะทำให้เรามองเห็นธุรกิจเราเองชัดมาก และ "เจ๊ง" ยากมากครับ
ความคิดเห็นที่ 18
คุณเข้าใจเหตุผล ของ 80 / 20 หรือเปล่า  เหตุที่คุณอยู่ในกลุ่ม 80 ไม่ใช้ 20 จริงๆแล้วคนที่ประสพความสำเร็จน้อยกว่า 20 อีก ผมว่าอย่างเก่งไม่ถึง 5
แล้วพวกที่อยู่ในกลุ่ม 5 มีอะไรที่เราไม่มี หรือคุณไม่มีทราบไหม  ?
ประหยัด มัธยัทท์ อดออม เข้าใจปัญหา  หาทางออก ไม่โทษคนรอบข้าง แก้ปัญหา ไม่แก้ตัว รู้จักวางแผนการเงิน ไม้ใช้จ่ายเกินตัว
ไม่คิดเข้าข้างตนเอง มองปัญหารอบด้าน
คุณคิดว่าคุณขาดข้อไหนบ้างละ
ความคิดเห็นที่ 38
ขอบคุณทุกคำแนะนำนะครับ

ระบบที่ผมทำยังสร้างรายได้อยู่ แต่มัน "น้อยลงเรื่อยๆ" จนถึงจุดที่ "รายได้ ไม่พอ รายจ่าย"
ผมจึงต้องการเวลาปรับปรุงพัฒนา และประชาสัมพันธ์ รวมทั้งแหล่งเงินทุน

ตอนนี้มีคำแนะนำดีๆมากมาย ที่ผมจะนำไปใช้จริงๆ

คนที่มีความรู้ด้าน "เทคนิค" แต่ไม่มีความเข้าใจด้าน "การตลาด" มักจะไปไม่รอดจริงๆนั่นแหละครับ !! แต่ผมจะสู้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่