คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 28
ขอบคุณทุกๆกำลังใจนะคะ ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์นะคะ พอมาอยู่ต่างประเทศ นี่รู้เลยค่ะ ชีวิตก็เหมือนเกมส์ เกมส์หนึ่ง ที่ต้องมีการวางแผน ทุกอย่างต้องแข่งกะตัวเองทั้งนั้น ชีวิตไม่ได้มีให้ใช้สุรุ่ยสุร่าย ถ้าวางแผนไม่ดี เกมส์จบทันที ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ที่อยู่ต่างประเทศและไม่อยู่ต่างประเทศนะคะ ชีวิตต้องสู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 23
ให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ค่ะ ตนเองเป็นคนหนึ่งที่ตัดสินใจลาออกจากงานในไทยมาต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายสำคัญคืออยากเรียนต่อต่างประเทศอยากได้ปริญญาหนึ่งใบมาไว้ครอบครอง ขออนุญาตเล่าเรื่องราวตนเองให้ จขกท อ่านคร่าวๆค่ะ ซึ่งจริงๆ ก็เคยเขียนไว้บ้างในนี้ ตนเองภาษาอังกฤษเรื่องการพุดและการฟังไม่ดีมากๆ คะแนน TOEFL สมัยนั้นการฟังตนเองได้ต่ำสุด Part อื่นไม่มีปัญหา ตนเองต้องเริ่มหางานทำโดยเริ่มจากการทำงานในร้านอาหารไทยเช่นกัน แต่ไม่ได้ปิดโอกาสตนเองไว้แค่นั้น สมัครงานอื่นๆไปด้วยค่ะ ตอนมาถึงใหม่ๆ Supervisor ของคู่ชีวิตบอกว่างานเล็กงานใหญ่ให้ทำไปก่อนอย่างน้อยๆได้ออกไปเจอผู้คน ได้มีโอกาสใช้ภาษา ช่วงนั้นเริ่มทำงานเป็นเด็กเสริ์ฟ สนุกดีค่ะเพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ถึงแม้จะสนุกและดีใจที่ได้เงิน แต่ไม่เคยลืมเป้าหมายตนเองว่าต้องการอะไร มาต่างประเทศทำไม
หลังจากนั้นเริ่มสมัครงานอื่นๆที่มีการจ่ายเงินตามระบบ และลาออกจากร้านอาหารไทย จากรายได้ที่น้อยนิด รายได้เริ่มขยับขึ้นมาจนมีเพียงพอที่จะจ่ายค่าเรียน แต่ก็ยังไม่พอสำหรับการเรียนเอก พอเพียงปริญญาโท มองหาทุนการศึกษาจากไทยอยู่พักใหญ่แต่ก็ล้มเหลวหมด จึงตัดสินใจจะเรียนแค่โท บางครั้งโชคชะตาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกันกับความพยายามในชีวิต ตนเองได้รับการช่วยเหลือจาก Prof. ท่านหนึ่ง ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ Prof. ท่านนั้นได้ให้โอกาสให้การสนับสนุนคนไทยอย่างตนเองมากๆ ตนเองรู้จักว่าตนเองมีความชำนาญอะไรและต้องการอะไร ช่วงที่มีโอกาสเข้าไปคุยกับ Professor ท่านเป็นคนนำเรื่องทุกอย่างเข้าที่ประชุมคณะจนในที่สุดตนเองได้รับข่าวแจ้งมาว่าทางสถาบันยินดีจ่ายเงินค่าเทอมให้ทั้งหมดเป็นระยะเวลา 3 ปี Prof. เขียนขอโทษที่ไม่สามารถจ่ายค่าครองชีพได้พร้อมจบประโยคสุดท้ายใน email ว่า "We would like to have you with us"
สำหรับตนเองข่าวนั้นถือเป็นข่าวแรกในชีวิตที่ดีใจสุดๆ น้ำตาไหลพรากๆออกมาไม่รู้ตัว ตอนนั้นอยู่ในบ้านคนเดียวมันตื้นตันวิ่งขึ้นวิ่งลงชั้นบนชั้นล่างอยู่หลายรอบพร้อมใบหน้าที่เปียกแฉะ ตั้งสติได้โทรแจ้งข่าวคู่ชีวิต โทรกลับไทยบอกทางบ้านว่าได้ทุนเรียนแล้ว หลังจากนั้นส่ง email ขอบคุณ Prof. และวินาทีนั้นบอกตนเองว่าจะทำชีวิตการเรียนให้ดีที่สุด ช่วงนั้นตนเองทำงาน parttime ด้วยการเป็นคนทำความสะอาดหลังเวลาเรียนซึ่งแจ้งให้ Prof. เช่นกัน แกเข้าใจและสนับสนุนให้ทำ การเป็นคนทำความสะอาดต้องบอกว่าหนักค่ะ รายได้ดีแต่งานหนักกว่าในร้านอาหารไทยมากๆ แต่ด้วยความต้องการเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันตนเองต้องอดทนและทำหน้าที่ของการเป็นคนทำความสะอาดให้ดีที่สุดเช่นกัน ตนเองแจ้ง supervisor ที่ทำความสะอาด ว่าขอเริ่มงานประมาณ 6 โมงเย็น เวลาการทำงานงานจริงๆคือ 3.5 h แต่ตนเองไม่สามารถทำเสร็จภายในเวลาได้เนื่องจากความคล่องตัวความไวไม่เทียบเท่ากับพนักงานคนอื่นๆซึ่งเป็นผู้ชาย จึงเป็นคนทำความสะอาดที่เสร็จคนสุดท้ายประจำเริ่มงาน 6 โมงเย็น เสร็จประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ทำเลยเวลาไม่ได้ O.T. นะคะเพราะตนเองทำล่าช้าเอง เดินไปขึ้น bus กลับถึงบ้านเที่ยงคืนชีวิตเป็นแบบนี้ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เคยคิดถามตนเองหลายครั้งว่ามาทำแบบนี้ทำไม ตอนอยู่ไทยไม่เคยทำงานใช้แรงงานมาอยู่ต่างประเทศเป็นผู้ใช้แรงงานเต็มตัว บางครั้งมีพนักงาน office ที่ทำงานดึกดื่นเข้ามาคุยด้วยคนเหล่านั้นทำงานในองค์กรที่ดีรายได้สูงแต่พวกเขาบอกว่าเสาร์อาทิตย์ก็เป็นคนทำความสะอาดเช่นกัน อยากได้เงินไปซื้อบ้านไวๆ
นักวิจัยอาวุโสในมหาวิทยาลัยที่ตนเองศึกษาขณะนั้นกลางวันเป็นนักวิจัย กลางคืนไปเป็น security ที่ casino การอยู่ในประเทศนั้นทำให้ตนเองเห็นคุณค่าเห็นความเท่าเทียมกันระหว่างคนทำงานในทุกระดับ เวลาทำงานหากพนักงานใน office ยังอยู่พวกเขาจะกล่าวขอบคุณตนเองทุกครั้งที่ทำความสะอาดเก็บขยะตามโต๊ะให้ สิ่งเหล่านี้ยิ่งเพิ่มความรู้สึกภูมิใจในการเป็นคนทำความสะอาดของตนเอง ทุกวันที่เสร็จสิ้นงานแต่ละวันตนเองจะมองย้อนกลับไปที่ตึกทุกครั้งและบอกตัวเองว่าวันนี้ทำเสร็จแล้วพรุ่งนี้มาเริ่มกันใหม่และหวังว่าพนักงานในแต่ละโต๊ะของแต่ละชั้นรวมทั้งหมด 3 ชั้นครึ่งที่ตนเองทำความสะอาด คิดเป็นจำนวนโต๊ะประมาณ 100 กว่าโต๊ะของทุกวันจะพึงพอใจในการทำความสะอาดของตนเอง หน้าที่ของตนเองคือทิ้งขยะของทุกโต๊ะในแต่ละวัน ปัดฝุ่นทุกโต๊ะ ดูดฝุ่นพื้น ทำความสะอาดห้องครัวของแต่ละชั้นและเปลี่ยน tissue ในห้องน้ำ แต่ก็ยังไม่ลืมหน้าที่หลักของตนเองใช้เวลากับเรื่องการเรียนที่บ้านต่อก่อนเข้านอน
ช่วงแรกๆของการเรียนคุยกับ Prof. ต้องใช้กระดาษเขียนสื่อความเข้าใจระหว่างกัน ตนเองจึงพัฒนาเรื่องภาษาโดยช่วงเสาร์อาทิตย์ตนเองใช้เวลาไปเรียนภาษาเพิ่มเติมใน community college ซึ่งค่าเรียนไม่แพง จนในที่สุดมีการพัฒนาทางภาษาที่ดีขึ้นค่ะ 3 เดือนผ่านไปงานที่ได้รับมอบหมายจาก Prof. ทำสำเร็จและได้รับการตีพิมพ์ในวารสารที่มีอยู่ใน rank ที่ดี Prof. ดีใจมากส่ง email แจ้ง Head of Deaprtment ทั้งคณะเพราะเป็นงานแรกที่ Prof.มาจับและต่างจาก background ของแก โดย prof. cc email ถึงตนเอด้วยและให้ credit ของงานนี้กับตนเอง หลังจากนั้น Prof. ได้เงินเข้ามาแกจึงจัดสรรเงินมาให้เป้นค่าครองชีพ Prof. เนื่องจากแกทราบว่าตนเองทำงาน part time หนักเพียงไร บอกว่า
" You have a long night and I would like to support you"
หลังจากได้ทุนเต็มซึ่งเป็นทุนให้เปล่าไม่มีข้อผูกมัด ตนเองตัดสินใจลาออกจากงานทำความสะอาดมาทุ่มเทให้กับการเรียนเต็ม ผลิตผลงานออกมาให้เต็มที่ภายใต้การดูแลของ Prof. หลังเรียนจบได้งานทำได้โอกาสที่ดีขึ้นหลายๆอย่าง ล่าสุดได้รับการติดต่อและชักชวนชวนจาก prof ท่านหนึ่งในประเทศที่ตนเองอยู่ในปัจจุบันให้เข้าร่วมงานกับแกในตำแหน่งที่น่าสนใจในวงการวิชาการและเป็นตำแหน่งที่สูงกว่างานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่างตนเองตัดสินใจปฏิเสธการชักชวน
จากคนที่ไม่ได้รู้เรื่องเรื่องภาษา ซึ่งปัจจุบันถึงจะดีกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้ดีมากตนเองยังคงฝึกและปรับปรุงเรียนรู้ในเรื่องภาษาอังกฤษอยู่ จากคนที่พูดไม่คล่องฟังไม่รู้เรื่องในอดีต ตนเองในปัจจุบันได้มีโอกาสไปนำเสนองานทางวิชาการของตนเองด้วยภาษาอังกฤษทั้งแบบได้รับเชิญและไม่ได้รับเชิญ ได้รับบทบาทให้เป็นคนประเมินงานทางวิชาการที่ตนเองเป็นผู้ชำนาญ มองย้อนกลับไปตนเองรู้สึกดีทุกครั้งกับเส้นทางชีวิตของตนเองในต่างแดน ส่วนเรื่องรายได้ รายได้ตนเองในปัจจุบันทิ้งห่างจากรายได้เริ่มต้นของงานแรกในต่างแดนไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามสำหรับตนเองแล้วไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่รายได้ต่ำหรือสูงสิ่งที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือตนเองทุ่มเทกับมันเต็มที่เสมอในทุกๆงานที่ทำ ในขณะเดียวกันก็หาโอกาสพักผ่อนคลายเครียดเพื่อให้เกิด work-life balance ให้กับชีวิตตนเองและครอบครัว
งานหายากแต่ไม่ใช่ว่ามันจะหาไม่ได้เลย อ่อนตรงไหน ปรับตรงไหน หาก จขกท มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการอะไร ขอให้ตั้งเป้าแล้วหาทางทำมันให้ได้ อย่าไปจมปลักกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนทำลายเป้าหมายที่เราต้องการไป โชคดีค่ะ
หลังจากนั้นเริ่มสมัครงานอื่นๆที่มีการจ่ายเงินตามระบบ และลาออกจากร้านอาหารไทย จากรายได้ที่น้อยนิด รายได้เริ่มขยับขึ้นมาจนมีเพียงพอที่จะจ่ายค่าเรียน แต่ก็ยังไม่พอสำหรับการเรียนเอก พอเพียงปริญญาโท มองหาทุนการศึกษาจากไทยอยู่พักใหญ่แต่ก็ล้มเหลวหมด จึงตัดสินใจจะเรียนแค่โท บางครั้งโชคชะตาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกันกับความพยายามในชีวิต ตนเองได้รับการช่วยเหลือจาก Prof. ท่านหนึ่ง ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ Prof. ท่านนั้นได้ให้โอกาสให้การสนับสนุนคนไทยอย่างตนเองมากๆ ตนเองรู้จักว่าตนเองมีความชำนาญอะไรและต้องการอะไร ช่วงที่มีโอกาสเข้าไปคุยกับ Professor ท่านเป็นคนนำเรื่องทุกอย่างเข้าที่ประชุมคณะจนในที่สุดตนเองได้รับข่าวแจ้งมาว่าทางสถาบันยินดีจ่ายเงินค่าเทอมให้ทั้งหมดเป็นระยะเวลา 3 ปี Prof. เขียนขอโทษที่ไม่สามารถจ่ายค่าครองชีพได้พร้อมจบประโยคสุดท้ายใน email ว่า "We would like to have you with us"
สำหรับตนเองข่าวนั้นถือเป็นข่าวแรกในชีวิตที่ดีใจสุดๆ น้ำตาไหลพรากๆออกมาไม่รู้ตัว ตอนนั้นอยู่ในบ้านคนเดียวมันตื้นตันวิ่งขึ้นวิ่งลงชั้นบนชั้นล่างอยู่หลายรอบพร้อมใบหน้าที่เปียกแฉะ ตั้งสติได้โทรแจ้งข่าวคู่ชีวิต โทรกลับไทยบอกทางบ้านว่าได้ทุนเรียนแล้ว หลังจากนั้นส่ง email ขอบคุณ Prof. และวินาทีนั้นบอกตนเองว่าจะทำชีวิตการเรียนให้ดีที่สุด ช่วงนั้นตนเองทำงาน parttime ด้วยการเป็นคนทำความสะอาดหลังเวลาเรียนซึ่งแจ้งให้ Prof. เช่นกัน แกเข้าใจและสนับสนุนให้ทำ การเป็นคนทำความสะอาดต้องบอกว่าหนักค่ะ รายได้ดีแต่งานหนักกว่าในร้านอาหารไทยมากๆ แต่ด้วยความต้องการเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันตนเองต้องอดทนและทำหน้าที่ของการเป็นคนทำความสะอาดให้ดีที่สุดเช่นกัน ตนเองแจ้ง supervisor ที่ทำความสะอาด ว่าขอเริ่มงานประมาณ 6 โมงเย็น เวลาการทำงานงานจริงๆคือ 3.5 h แต่ตนเองไม่สามารถทำเสร็จภายในเวลาได้เนื่องจากความคล่องตัวความไวไม่เทียบเท่ากับพนักงานคนอื่นๆซึ่งเป็นผู้ชาย จึงเป็นคนทำความสะอาดที่เสร็จคนสุดท้ายประจำเริ่มงาน 6 โมงเย็น เสร็จประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ทำเลยเวลาไม่ได้ O.T. นะคะเพราะตนเองทำล่าช้าเอง เดินไปขึ้น bus กลับถึงบ้านเที่ยงคืนชีวิตเป็นแบบนี้ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เคยคิดถามตนเองหลายครั้งว่ามาทำแบบนี้ทำไม ตอนอยู่ไทยไม่เคยทำงานใช้แรงงานมาอยู่ต่างประเทศเป็นผู้ใช้แรงงานเต็มตัว บางครั้งมีพนักงาน office ที่ทำงานดึกดื่นเข้ามาคุยด้วยคนเหล่านั้นทำงานในองค์กรที่ดีรายได้สูงแต่พวกเขาบอกว่าเสาร์อาทิตย์ก็เป็นคนทำความสะอาดเช่นกัน อยากได้เงินไปซื้อบ้านไวๆ
นักวิจัยอาวุโสในมหาวิทยาลัยที่ตนเองศึกษาขณะนั้นกลางวันเป็นนักวิจัย กลางคืนไปเป็น security ที่ casino การอยู่ในประเทศนั้นทำให้ตนเองเห็นคุณค่าเห็นความเท่าเทียมกันระหว่างคนทำงานในทุกระดับ เวลาทำงานหากพนักงานใน office ยังอยู่พวกเขาจะกล่าวขอบคุณตนเองทุกครั้งที่ทำความสะอาดเก็บขยะตามโต๊ะให้ สิ่งเหล่านี้ยิ่งเพิ่มความรู้สึกภูมิใจในการเป็นคนทำความสะอาดของตนเอง ทุกวันที่เสร็จสิ้นงานแต่ละวันตนเองจะมองย้อนกลับไปที่ตึกทุกครั้งและบอกตัวเองว่าวันนี้ทำเสร็จแล้วพรุ่งนี้มาเริ่มกันใหม่และหวังว่าพนักงานในแต่ละโต๊ะของแต่ละชั้นรวมทั้งหมด 3 ชั้นครึ่งที่ตนเองทำความสะอาด คิดเป็นจำนวนโต๊ะประมาณ 100 กว่าโต๊ะของทุกวันจะพึงพอใจในการทำความสะอาดของตนเอง หน้าที่ของตนเองคือทิ้งขยะของทุกโต๊ะในแต่ละวัน ปัดฝุ่นทุกโต๊ะ ดูดฝุ่นพื้น ทำความสะอาดห้องครัวของแต่ละชั้นและเปลี่ยน tissue ในห้องน้ำ แต่ก็ยังไม่ลืมหน้าที่หลักของตนเองใช้เวลากับเรื่องการเรียนที่บ้านต่อก่อนเข้านอน
ช่วงแรกๆของการเรียนคุยกับ Prof. ต้องใช้กระดาษเขียนสื่อความเข้าใจระหว่างกัน ตนเองจึงพัฒนาเรื่องภาษาโดยช่วงเสาร์อาทิตย์ตนเองใช้เวลาไปเรียนภาษาเพิ่มเติมใน community college ซึ่งค่าเรียนไม่แพง จนในที่สุดมีการพัฒนาทางภาษาที่ดีขึ้นค่ะ 3 เดือนผ่านไปงานที่ได้รับมอบหมายจาก Prof. ทำสำเร็จและได้รับการตีพิมพ์ในวารสารที่มีอยู่ใน rank ที่ดี Prof. ดีใจมากส่ง email แจ้ง Head of Deaprtment ทั้งคณะเพราะเป็นงานแรกที่ Prof.มาจับและต่างจาก background ของแก โดย prof. cc email ถึงตนเอด้วยและให้ credit ของงานนี้กับตนเอง หลังจากนั้น Prof. ได้เงินเข้ามาแกจึงจัดสรรเงินมาให้เป้นค่าครองชีพ Prof. เนื่องจากแกทราบว่าตนเองทำงาน part time หนักเพียงไร บอกว่า
" You have a long night and I would like to support you"
หลังจากได้ทุนเต็มซึ่งเป็นทุนให้เปล่าไม่มีข้อผูกมัด ตนเองตัดสินใจลาออกจากงานทำความสะอาดมาทุ่มเทให้กับการเรียนเต็ม ผลิตผลงานออกมาให้เต็มที่ภายใต้การดูแลของ Prof. หลังเรียนจบได้งานทำได้โอกาสที่ดีขึ้นหลายๆอย่าง ล่าสุดได้รับการติดต่อและชักชวนชวนจาก prof ท่านหนึ่งในประเทศที่ตนเองอยู่ในปัจจุบันให้เข้าร่วมงานกับแกในตำแหน่งที่น่าสนใจในวงการวิชาการและเป็นตำแหน่งที่สูงกว่างานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่างตนเองตัดสินใจปฏิเสธการชักชวน
จากคนที่ไม่ได้รู้เรื่องเรื่องภาษา ซึ่งปัจจุบันถึงจะดีกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้ดีมากตนเองยังคงฝึกและปรับปรุงเรียนรู้ในเรื่องภาษาอังกฤษอยู่ จากคนที่พูดไม่คล่องฟังไม่รู้เรื่องในอดีต ตนเองในปัจจุบันได้มีโอกาสไปนำเสนองานทางวิชาการของตนเองด้วยภาษาอังกฤษทั้งแบบได้รับเชิญและไม่ได้รับเชิญ ได้รับบทบาทให้เป็นคนประเมินงานทางวิชาการที่ตนเองเป็นผู้ชำนาญ มองย้อนกลับไปตนเองรู้สึกดีทุกครั้งกับเส้นทางชีวิตของตนเองในต่างแดน ส่วนเรื่องรายได้ รายได้ตนเองในปัจจุบันทิ้งห่างจากรายได้เริ่มต้นของงานแรกในต่างแดนไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามสำหรับตนเองแล้วไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่รายได้ต่ำหรือสูงสิ่งที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือตนเองทุ่มเทกับมันเต็มที่เสมอในทุกๆงานที่ทำ ในขณะเดียวกันก็หาโอกาสพักผ่อนคลายเครียดเพื่อให้เกิด work-life balance ให้กับชีวิตตนเองและครอบครัว
งานหายากแต่ไม่ใช่ว่ามันจะหาไม่ได้เลย อ่อนตรงไหน ปรับตรงไหน หาก จขกท มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการอะไร ขอให้ตั้งเป้าแล้วหาทางทำมันให้ได้ อย่าไปจมปลักกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนทำลายเป้าหมายที่เราต้องการไป โชคดีค่ะ
แสดงความคิดเห็น
คนไทยในต่างแดนเหนื่อยบ้างไหมคะ ทำไมเราเหนื่อยจัง
เราเคยคิดนะคะว่า งานเด็กเสิฟ ก็คืองาน ได้เงินเหมือนกัน มากกว่าคนทำออฟฟิสในไทย แต่เราคิดถึงอนาคตข้างหน้า เราก็ไม่อยากทำเด็กเสิฟไปตลอดชีวิต จะย้ายไปอยู่เมืองไทย เงินเดือนก็น้อยนิด จะพอกินไหม
อยากถามเพื่อนๆค่ะ ระหว่าง เลือกมาอยู่ต่างประเทดแบบเรา เหงา ไม่ค่อยมีเพื่อน แต่ได้เงินเยอะ กับ อยู่เมืองไทย มีเพื่อน มีครอบครัว มีความสุข ได้ทำงานที่อยากทำ โชว์ความสามารถที่มี เพื่อนๆจะเลือกอะไรคะ ?????