<เงินๆทองๆ> พ่อตายแต่ลูกแท้ๆไม่มีสิทธิ์ในมรดก? เรื่องจริงยิ่งกว่าละครหลังข่าวภาคค่ำ

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เหตุการณ์จริง แต่จะไม่ขอเปิดเผยนามของบุคคลในเรื่องให้ได้ทราบ เพียงแค่อยากจะนำเรื่องราวมาแบ่งปันชาวพันทิป และขอความเห็นในเรื่องราวต่อไปนี้
(อาจจะยาวไปสักนิดนะคะ ใครที่อดทนอ่านได้จนจบถือว่าสุดยอดมาก ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ)


            เมื่อไม่นานมานี้ พ่อของดิฉันได้เสียชีวิตลง เพราะน้ำท่วมปอด รวมถึงโรคที่ท่านเป็นอยู่ นั่นคือ เส้นเลือดหัวใจตีบ และโรคอื่นๆที่มาแทรก ทำให้ท่านไม่สามารถทำงานหนักๆได้เหมือนแต่ก่อน ตัวดิฉันเองซึ่งรู้ข่าวตอนที่ท่านป่วยก็อยากจะไปเยี่ยมใจจะขาด แต่ว่าติดปัญหาบางประการ ซึ่งจะเขียนให้ทุกท่านได้อ่าน ในบรรทัดต่อๆไป ดิฉันจึงรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งเช้าของวันต่อมา ทางญาติที่ไปเฝ้าพ่อ ก็โทรมาบอกว่า พ่อเสียแล้วนะ ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย ไม่เคยนึกฝันว่าพ่อจะมาด่วนจากไปแบบนี้

            เท้าความถึงสมัยอดีตกันเลยละกันนะคะ จะได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ว่าเรื่องราวเหล่านี้ มาจากมุมมองของคนเป็นลูกอย่างดิฉันคนเดียว   

           พ่อเอ(นามสมมุติ) แต่งงานกับแม่บี(นามสมมุติ) แต่งงานกันมานานจนในปีที่ 20 ของการแต่งงานจึงมีลูก ซึ่งก็คือตัวดิฉันเอง แต่ด้วยความเข้าใจผิดหรือทะเลาะอะไรกันก็มิอาจทราบได้ แม่บีขอหย่ากับพ่อเอ ทั้งสองหย่าขาดจากกันไป สองปีให้หลัง ทั้งสองปรับความเข้าใจกันและจดทะเบียนสมรสกันอีกครั้งจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่พอดิฉันอายุได้ประมาณ 8 ขวบ แม่กับพ่อก็ทะเลาะกันอีก ด้วยความที่งานของพ่อเอนั้น จำต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ สามปีหรือสี่ปีจึงจะได้กลับบ้านมาครั้งหนึ่ง แม่ก็เริ่มพาผู้ชายคนอื่นมาที่บ้าน และในวันที่พ่อเอได้เดินทางกลับมาบ้าน พ่อเอก็จับได้ว่าแม่บีพาคนอื่นมาที่บ้าน พ่อเอจึงลาขาดจากแม่บีและทิ้งดิฉันไว้กับแม่บีโดยไม่ได้หย่ากัน ต่อมาแม่บีล้มป่วยหนัก ของที่พ่อเอทิ้งไว้ให้ เช่น บ้าน รถ ทรัพย์สินภายในบ้าน รวมถึงเงินสดจำนวนหนึ่ง ก็เริ่มร่อยหรอลง แม่บีนำรถและบ้านไปขายเพื่อรักษาตัวเองรวมถึงเลี้ยงดูดิฉัน และออกหาบ้านเช่านับตั้งแต่นั้น โดยไม่มีบ้านอยู่เป็นหลักแหล่ง *** และผู้ชายคนที่แม่พาเข้าบ้านนั้น ชื่อลุงดี(นามสมมุติ) ในวันที่ไม่มีใครอยู่บ้าน ลุงดีก็ได้เข้ามาข่มขืนดิฉันซึ่งอยู่ในวัยแปดขวบเรื่อยมา ไม่ว่าแม่บีจะย้ายบ้านไปอยู่ที่ใด ก็มักจะติดต่อลุงดีเสมอ แถมยังให้มานอนค้างที่บ้าน มาอยู่ด้วยกัน และดิฉันก็ต้องจมอยู่กับความทุกข์ที่ถูกลุงดีปู้ยี่ปู้ยำ แต่ก็ไม่กล้าบอกแม่บี กลัวแม่บีจะเสียใจ (ความคิดในขณะนั้น)จำต้องยอมเรื่อยมา

           นับตั้งแต่นั้นมา จวบจนดิฉันอายุได้ 15 ปี พ่อเอที่ดิฉันคิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้วก็ติดต่อมา โดยโทรศัพท์เข้ามาที่เบอร์ของคุณครูประจำวิชาที่กำลังสอนดิฉันอยู่ในขณะนั้น มันทำให้ดิฉันบ่อน้ำตาแตก และรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาดิฉันไม่เคยโกรธพ่อเอเลย คิดไว้ว่าท่านคงมีเหตุจำเป็นที่ต้องทิ้งเรากับแม่ ตั้งแต่พ่อเอได้กลับมาติดต่อกับดิฉันอีกครั้ง ชีวิตดิฉันก็เปลี่ยนไปมาก เพราะมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากได้อะไรก็มีปัญญาซื้อหามาได้ ไม่ต้องไปทำงานพิเศษงกๆให้เหนื่อยอีกแล้ว แต่เรื่องที่ถูกลุงดีกระทำชำเรา ก็ยังมีอยู่ทุกวัน *พ่อเอกลับมาคราวนี้ ท่านบอกดิฉันไม่ให้บอกแม่ว่า ติดต่อกะท่านอยู่ และท่านไม่อยากข้องเกี่ยวกับแม่บีอีกต่อไป แต่จะรับผิดชอบ ส่งเสียดิฉันเรียน และในตอนนั้นท่านก็มีภรรยาใหม่ (แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส) ชื่อแม่ซี(นามสมมุติ)

            จนกระทั่งดิฉันจบมอ 6 แม่บีถึงได้รู้ว่า ดิฉันแอบติดต่อกับพ่อเอ แต่แม่บีก็ไม่ได้มาก้าวก่ายหรือมายุ่งกับเงินที่พ่อเอส่งให้ดิฉันเลย และเมื่อดิฉันได้เข้ามหา'ลัย ซึ่งค่าใช้จ่ายก็แพงมาก แต่ดีที่ว่า ดิฉันกู้เงิน กยศ. ทำให้เรื่องค่าเทอมและค่าครองชีพนั้นไม่เป็นปัญหา มีเพียงค่าหอพักและค่าอาหาร ที่เงินค่าครองชีพ 2200 ไม่พอใช้ไปจนสิ้นเดือน พ่อเอจึงจำเป็นต้องคุยกะแม่บีเพื่อให้แม่บีสบายใจ(คุยทางโทรศัพท์) พ่อเอบอกกับแม่บีว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เราจะรับผิดชอบเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ แม่บีจึงสบายใจขึ้น และยอมให้ดิฉันได้เข้าไปเรียนในมหา'ลัยที่ชอบ คณะที่ใฝ่ฝัน  

           แต่เหตุการณ์ร้ายๆก็ได้เกิดขึ้น เนื่องมาจากดิฉันนั้น เป็นพวกขี้เหงา ไม่ค่อยมีเพื่อน และตั้งแต่เด็กจนโต แม่จะขังดิฉันไว้ในบ้านไม่ยอมให้ออกไปไหน ถึงแม้ว่าแม่ต้องไปทำงาน ก็จะล็อกประตูใส่กุญแจข้างนอกไว้ และทำกับข้าวไว้ให้ทาน แต่ลุงดีจะเป็นคนที่มีกุญแจ ลุงดีมักจะอาศัยจังหวะที่แม่บีไปทำงาน ลักลอบมาไขประตู และสำเร็จความใคร่ของตัวเอง ด้วยการมีอะไรกับดิฉันอยู่เรื่อยไป แต่ไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ที่แสนน่ารังเกียจของดิฉันกับลุงดีเลย เมื่อดิฉันรู้ว่าจะได้มาเรียนไกลบ้าน และที่สำคัญคือไกลจากลุงดีที่ชอบเอาเปรียบดิฉันด้วย ดิฉันเลยดีใจ พอเรียนมหา'ลัยไปได้สองสามเดือน ดิฉันก็เริ่มมีแฟนที่รู้จักกันทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่เคยเป็นที่นิยมอย่าง Hi5 โดยไม่ได้เจอหน้ากันเลย จนกระทั่งวันหนึ่งที่เรานัดกันว่าจะมาเจอกัน นายเอฟ(นามสมมุติ)ก็มาตามนัด และดิฉันก็ยอมมีอะไรกันกับนายเอฟตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน (เพราะคิดว่าเสียครั้งแรกไปแล้ว เสียให้คนอื่นอีกก็คงไม่เป็นไร และเป็นคนที่เรารักด้วย) ถึงแม้ว่าจะเสียตัวให้นายเอฟไปแล้ว แต่โชคยังดีที่นายเอฟก็ยังรักและทำตัวเสมอต้นเสมอปลายกับดิฉันตลอดมา รวมถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ ที่เขาชอบหลั่งข้างนอกโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยด้วยเช่นกัน

            จนในที่สุด หลายๆคนที่อ่านมาถึงตรงนี้น่าจะเดาออกว่า ปัญหาอะไรที่จะเกิดขึ้นตามมา บอกเลยว่า ทุกคนคิดถูก ปัญหาท้องไม่พร้อมนั่นเอง ในวันครบรอบครบกันได้สองปี มันก็พลาดจนได้ ดิฉันตั้งท้องโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กว่าจะรู้จริงๆก็ปาไปเดือนที่ห้าแล้ว เพราะดิฉันเป็นคนเครียดง่าย และประจำก็มักจะหายไปบ่อยๆ จึงไม่ได้คิดอะไร ต่อมามันหายไปนาน นายเอฟจึงซื้อที่ตรวจครรภ์มาให้ตรวจ แน่ล่ะ...มันขึ้นมาเลย สองขีด เด็กวัยรุ่นสองคนที่โง่เง่าไม่รู้จักป้องกันนั่งเครียดกันอยู่ในห้องอย่างไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาที่ร่วมกันก่ออย่างไรดี และทางที่คิดได้ตอนนั้นคือ ทำแท้ง !!!

            แต่นายเอฟก็ทำใจแข็งได้แค่ไปซื้อยาขับเลือด อย่างยาสตรีเบนโลมาให้ โดยหวังว่าคงจะแท้งไปเอง ดฺฉันใจหนึ่งก็อยากทำอีกใจก็กลัวบาป จึงกินๆหยุดๆ เพราะท้องมันบีบรัด มันปั่นป่วนในท้องบอกไม่ถูก สุดท้าย ดิฉันก็หยุดกินและตัดสินใจบอกนายเอฟว่า จะเอาลูกไว้ ปล.นายเอฟไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว แต่ออกมาทำงานแทน   

            นายเอฟดีใจที่ดิฉันไม่คิดเอาลูกออก แต่พอตัดสินใจเอาเด็กไว้ ปัญหาใหม่ก็ตามมาคือ จะบอกพ่อแม่ยังไง แล้วไหนจะเรื่องเรียนอีก ดิฉันตัดสินใจบอกแม่บีแต่ไม่บอกพ่อเอ เพราะพ่อเอเริ่มป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ตั้งแต่ที่พ่อเอแยกทางกับแม่บีไป ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจึงคิดจะปิดพ่อเอไว้ เพราะไม่อยากให้ท่านเครียด และผิดหวัง เพราะท่านรักและเอ็นดูดิฉันมาก พอดิฉันตัดสินใจบอกแม่บีไป ตอนแรกท่านก็ตกใจแต่สุดท้าย ท่านพูดเพียงว่า เรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ให้มันแล้วกันไป ไม่ว่าลูกจะผิดพลาดยังไง ลูกก็เป็นลูกของแม่   ดิฉันได้ฟังก็ร้องไห้ และรู้สึกเสียใจที่ทำให้แม่บีต้องมีน้ำตา และผิดหวังในตัวดิฉัน แต่เรืองราวดีๆดูท่าว่าจะเข้ามาในชีวิตบ้าง เมื่อได้บอกแม่บีไปแล้ว ท่านก็นั่งรถมาหาที่หอบ้างบางคราว ซื้อนู่นซื้อนี่มาให้กิน คอยดูแล คอยห่วงเสียยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่รู้ว่าดิฉันท้องเสียอีก ส่วนนายเอฟนั้น ก็เทียวไปเทียวมา คอยดูแลไม่ได้ห่างเช่นเดียวกัน และนายเอฟพร้อมด้วยพี่สาวของเขานี่แหละ ที่พาไปฝากครรภ์ ความรู้สึกในขณะนั้น ตื่นเต้นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อว่า ตั้งครรภ์แค่ห้าเดือนแต่น้ำหนักดิฉันอยูที่ 75 กิโลกรัม ซึ่งแต่เดิมดิฉันหนัก 60 กิโลกรัม ถือว่าขึ้นมาเยอะมากๆ จนคุณหมอบอกให้ควบคุมน้ำหนัก เพราะกลัวจะเกิดยากนั่นเอง แต่มีหรือที่ดิฉันจะฟัง ก็คนท้องนี่นา อยากกินนู่นนี่สารพัด กินแล้วก็นอนหลับได้ทั้งวัน

            ในที่สุด ดิฉันก็ทนอาย ทนความลำบาก ด้วยการไปเรียน จนจบปีสอง เทอมหนึ่งด้วยความทุลักทุเลอย่างมาก ในขณะที่ท้องได้แปดเดือนใกล้คลอดเข้าไปแล้ว ในช่วงปิดเทอม ดิฉันจึงเดินทางมาอยู่กับแม่บีที่บ้าน แต่ก่อนมานั้นนายเอฟได้บอกกับพ่อของเขา ให้มากับเขาเพื่อขอขมาที่ได้กระทำการล่วงเกินดิฉันที่บ้านของแม่บี ซึ่งหลังเสร็จสิ้นพิธีดังกล่าว นายเอฟก็ไม่ได้แวะเวียนมาหาอีกเลย เพราะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อเตรียมไว้สำหรับลูกที่ใกล้จะได้ลืมตาดูโลก

พาร์ทต่อไป จะเป็นเนื้อเรื่องของพ่อและปัญหาที่เกิดขึ้นนะคะ ใครที่มีข้อคิดเห็นยังไง ก็ขอให้อดใจไว้ก่อน แล้วค่อยแสดงความคิดเห็นหลังได้อ่านพาร์ทที่สองนี้จนจบนะคะ




*** จากที่ได้อ่านความเห็นของหลายๆท่าน ก็มีทั้งให้กำลังใจ ให้ความรู้ทางกฎหมาย และเสียงวิพากษ์วิจารย์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ดิฉันก็ขอขอบคุณที่หลายๆท่านให้ความสนใจนะคะ ขอบคุณจริงๆ

ตอนนี้ก็คุยกับแม่บี ว่าจะรอทางนั้นเคลียร์เรื่องต่างๆให้แล้วเสร็จ และดูว่าเขาจะกรุณามีใจเมตตาส่งเสียดิฉันเรียนอยู่มั้ย เพราะไม่อยากขึ้นโรงขึ้นศาล และเป็นศัตรูกัน ถ้าหากเขาไม่รับผิดชอบ ดิฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ คงทำใจยอมรับและออกมาหางานทำ เพื่อส่งให้แม่บีที่หลังจากดิฉันคลอดแม่บีก็ต้องออกจากงานเพื่อมาดูแลหลาน เพราะท่านก็อายุ 60กว่าเข้าไปแล้ว และเมื่อขาดทรัพย์ของพ่อที่จะมาส่งเสียให้เรียน ทางครอบครัวเราก็ไม่มีปัญญาเรียนต่อ คงต้องทำงานเก็บเงิน เลี้ยงแม่เลี้ยงลูก จนกว่าจะตั้งตัวได้ แล้วค่อยเรียนก็คงไม่สายเกินไป นี่คือทางออกที่ดิฉันคิดได้ในขณะนี้ ขอบคุณหลายๆคนที่เข้ามาตอบกระทู้กันนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่