จำนวนคนอ่านล่าสุด 89111 คน วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 23:55 น. ข่าวสดออนไลน์
"นิ้วกลม" เขียนถึงพี่ๆ เพื่อนๆมวลมหาประชาชน (ไม่เฉพาะที่เป่านกหวีด)
หมายเหตุ: "นิ้วกลม" หรือ นายสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียน ชื่อดังระดับประเทศ ขวัญใจคนรุ่นใหม่ เขียนผ่านเฟซบุ๊ก
http://www.facebook.com/Roundfinger แสดงทัศนะ ต่อวิกฤตการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นเรื่อง "ถึง พี่ๆ เพื่อนๆ มวลมหาประชาชน (ไม่เฉพาะที่เป่านกหวีด)" มีเนื้อหาดังนี้
***************** วันนี้เพื่อนสนิทและพี่ๆ ที่เคารพหลายคนออกไปเป่า นกหวีด นับเป็นเรื่องโชคดีที่สองสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นั่ง สนทนาแลกเปลี่ยนทรรศนะกับเพื่อนสนิทมิตรสหายห ลากหลายกลุ่ม เราเลยได้เข้าใจ “รายละเอียด” ของความ คิดและพฤติกรรมของกันและกันมากกว่าการมานั่งเดา จากการอ่านสเตตัส แล้วเตรียมป้ายมาแปะให้กันและกั นว่าไอ้นี่สีไหน อยู ่ข้างไหน
ไม่เลือกข้าง มันไทย เฉย ทำมาเป็นไทยอดทน บลา บลา บลา ทันทีที่ได้นั่ง คุยกันเราจะเข้าใจได้ทันทีว่า คนเราไม่สามารถแบ่งฝั่ง แบ่งฝ่ายได้ง่ายๆ หยาบๆ แบบนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึก ว่า ช่วงนี้ไม่เขียนสเตตัสดีกว่า ถ้าอยากแลกเปลี่ยนก็นัด กันมานั่งคุย
ในสมัยที่คุณทักษิณยังเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ไปสวนลุมฯ ทุกเย็นวันศุกร์กับเพื่อนครีเอทีฟในออฟฟิศ ตอนนั้นเราตะโกนคำว่า “ทักษิณออกไป ทักษิณออกไป” กันดังลั่น บรรยากาศตอนนั้นก็คล้ายๆ ม็อบนกหวีดในวันนี้ แหละครับ เราไปเจอเพื่อนๆ พี่ๆ โดยมิได้นัดหมายกัน มากมาย กระทั่งคุณสนธิเริ่มเรียกร้องนายกฯม.7 ผมก็ ค่อยๆ ถอยห่างจากม็อบ เพราะไม่เห็นด้วย ผมอยากเห็น ประชาชนไล่ทักษิณได้ด้วยพลังของพวกเราเอง และก็ อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามหลักการและระบบที่มีอยู่ คือ ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ก็ใช่ครับ พรรคเดิมที่พวกเราไล่ ไปอาจจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก แต่อย่างน้อยเราก็ยัง รักษาหลักการเอาไว้ได้ แต่แล้วสิ่งที่ผมกับเพื่อนอีกหลาย คนไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเกิดการรัฐประหาร ในวันที่ 19กันยาปี 49
ในตอนนั้นผมรู้สึกเซ็งและเสียดา ยที่ประชาชนกำลังจะไล่ รัฐบาลได้สำเร็จอยู่แล้วเชียว ก็ดันมีอำนาจนอกระบบมา จัดการไปเสียก่อน แน่นอนว่าตอนนั้นก็มีรายละเอียดของ สถานการณ์ ม็อบสองสีอาจจะยกพวกตีกันตอนไหนก็ ไม่มีใครรู้ เมื่อมีคนอ้างว่า การรัฐประหารที่นิ่มนวลที่สุดคร ั้งนั้นช่วยหลีกเลี่ยงการเสียเล ือดเสียเนื้อ ผมก็รับฟัง แม้ไม่ เห็นด้วยเลยกับการรัฐประหาร แต่ผมก็เผื่อใจไว้เช่นกันว่า มันอาจเป็นทางออกที่จะป้องกันความรุนแรงก็เป็นได้ แต่ เมื่อเวลาผ่านไป รัฐประหารครั้งนั้นกลับกลายเป็นเชื้อฟืน ให้ความขัดแย้งลุกลาม กระทั่งนำไปสู่เหตุการณ์ความรุน แรงหลายครั้ง ซึ่งผู้สูญเสียก็มีทั้งฝั่งเหลื องและฝั่งแดง
แถมการรัฐประหารยังทำให้คุณทักษิณกลับกลายเป็น ตัวแทนของฝ่ายประชาธิปไตยไปเสียฉิบ! จากนายกฯ ที่ ไม่เคยฟังคำทักท้วงตักเตือน ปิดช่องทางการตรวจสอบ ปิดปากสื่อ รวมถึงกรณีตากใบ กลายมาเป็นตัวแทนของ ประชาธิปไตยไปได้อย่างไร ที่เป็นไปได้ก็เพราะเราเอา เขาออกไปด้วยวิธีนอกระบบ นั่นทำให้การปลดนายกฯ อย่างคุณสมัครด้วยความผิดฐานทำกับข้าวออกทีวี และ ยุบพรรคพลังประชาชนถูกตั้งคำถามจากฝ่ายเสื้อแดง เหตุการณ์พลิกผันกลายเป็นคุณทักษิณกลายเป็นฝ่าย “ชอบธรรม” ในสายตาคนเสื้อแดง เหตุการณ์เดินทางมา ไกลโพ้นจากตอนที่เราเกือบจะไล่คุณทักษิณได้ด ้วยพลัง ของประชาชน กลับกลายเป็นการรัฐประหารกลับไปเพิ่ม ความชอบธรรมให้คนที่ถูกประชาชนไล่
จากบทเรียนครั้งนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร และ วิถีทางนอกระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผมเห็นด้วยครับ ว่าเราต้องจัดการกับนักการเมืองที่โกงกิน นักการเมืองที่ ไม่รับผิด แต่เราก็ต้องจัดการด้วยวิถีทางที่อยู่ในระบอบ ประชาธิปไตย มิฉะนั้น การจัดการนั้นก็จะไม่ได้รับความ ชอบธรรม เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นจาก “เสียงส่วนใหญ่” ใน ประเทศ หากเกิดขึ้นจาก “เสียงส่วนหนึ่ง” เท่านั้น ซึ่งมันจะ นำไปสู่ปัญหางูกินหาง เมื่อ “เสียงส่วนใหญ่” ไม่ยอมรับ อำนาจนั้น
...
เมื่อมาถึงม็อบนกหวีด จากวันแรกถึงวันนี้ สิ่งที่ผมเห็นด้วย มาตลอดคือการแสดงออกทางการเมืองให้รัฐบาลที่ม อง ข้ามหัวประชาชน ออกกฎหมายยกโทษความผิดให้ตัวเอง กู้เงิน 2 ล้านล้านโดยไม่แจกแจงรายละเอียด การดัน นโยบายจำนำข้าวโดยไม่ฟังเถียงทักท้วง แถมยังมีข้อมูล เรื่องทุจริตคอรัปชั่นอีกเต็มไปหมด ได้สำนึกบ้างว่า ยังมี ประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมือง ไม่ยอมรับการกระทำ สามานย์ของนักการเมือง และพร้อมจะออกมาส่งเสียงอีก มากมาย จะว่าไป ม็อบนกหวีดเป็นม็อบที่เห็นแล้วมีความ หวัง ว่าในอนาคตนักการเมือง (ไม่ว่าจากพรรคใด) คงจะ ทำตัวแย่ๆ หรือโกงกินกันได้ยากขึ้น เมื่อประชาชนตื่นตัว และตรวจสอบกันขนาดนี้
แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยมาตลอดเ ช่นกันคือ ข้อเรียกร้อง จากคุณสุเทพ ที่บอกว่ายุบสภาก็ไม่เอา ลาออกก็ไม่เอา และเสนอจะตั้งสภาประชาชน และล่าสุดคือนายกฯ ม.7 (อีกแล้ว) นั่นแปลว่าคุณสุเทพกำลังเสนอให้ “เสียงส่วน หนึ่ง” ซึ่งไม่ใช่ “เสียงส่วนใหญ่” มีอำนาจในการแต่งตั้ง “สภาประชาชน” ขึ้นมา เพราะกระทั่งถึงทุกวันนี้แล้วผม รวมถึงเพื่อนๆ บางคนที่ออกไปเป่านกหวีดก็ยังข้ องใจว่า สภาประชาชนจะมาด้วยวิธีไหน ใครเป็นคนแต่งตั้ง “ประชาชน” ที่ว่านั้นเป็นประชาชนกลุ่มไหน ใช่เสียงส่วน ใหญ่ของประเทศหรือเปล่า
อย่างที่บอกครับ ว่าโชคดีที่ได้นั่งคุยกับเพื่อนๆ แบบตาม องตา จึงได้เข้าใจว่า เพื่อนบางคนออกไปร่วมชุมนุมโดยไ ม่ได้เห็นด้วยกับคุณสุเทพทั้งหม ด หลายคนบอกผมว่า “กู ก็ขอแค่ยุบสภานั่นแหละ แต่ถ้าไม่ออกไปเลย ยุบสภา ก็อาจจะไม่ได้” ผมจึงเข้าใจเพื่อนที่ออกไปเป่านกหวีด มากขึ้น แต่เพื่อนบางคนก็อยากได้สภาประชาชนจริงๆ แม้ยังไม่รู้วิธีการก็ตาม เพื่อนกลุ่มนี้จะให้เหตุผลว่า “เอา พวกมันออกไปก่อน ด้วยวิธีอะไรก็ได้ แล้วค่อยว่ากัน” นี่ แหละครับ รายละเอียดที่หลากหลาย ซึ่งเราไม่สามารถ แปะป้ายได้ว่า “ไอ้นี่นกหวีด” หรือ “ไอ้นี่ไทยเฉย” เพราะ บางที “ไอ้นกหวีด” กับ “ไอ้ไทยเฉย” บางคนนี่คิดแทบจะ ไม่ต่างกันเลย ต่างแค่คนหนึ่งเลือกออกไปร่วมชุมนุม ขณะที่อีกคนเลือกที่จะนั่งดูบลูสกายอยู่ที่บ้าน แล้วส่าย หัวกับข้อเสนอของลุงกำนัน ส่วนไอ้คนแรกไปส่ายหัวอยู่ ในม็อบ
ขณะที่บางคนก็จะบอกว่า “อย่าเพิ่งมาสนใจรายละ เอียดตอนนี้ได้มั้ย คิดต่างกันนิดหน่อยก็ร่วมๆ ขบวนกันไป ก่อน เอามันออกไปก่อน” ซึ่งไอ้ระดับของการ “เอามันออก ไป” ก็แตกต่างกันอีก บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจาก การเป็นรัฐบาล” บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจาก การเมืองไทย” บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจาก ประเทศไทย” นี่ก็เป็นรายละเอียดที่ยากจะแปะป้ายเช่น กัน
...
จากการเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ พี่ๆ ในไลน์ ในเฟซบุ๊ค ผม คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่จะได้เห็น “มวลมหาประชาชน” จำนวนมหาศาลออกไปแสดงพลังกัน และก็เป็นเช่นนั้น จริงๆ ใน “มวลมหา” นั้น ย่อมมีที่แตกต่างกันในรายละเอีย ดตามที่ได้บอกไป ตามที่ได้นั่งคุยมา ผมดีใจที่การไม่ ออกไปร่วมเป่านกหวีดของผมนั้นไม่ถูกค่อนขอดจากเ พื่อนสนิทว่า “ไม่รักชาติ” หรือ “ทำตัวเป็นไทยเฉย” เพราะเราคุยกันจนเข้าใจแล้วแต่ใช่ว่าเราจะสามารถนั่ง คุยแบบนี้ได้กับทุกคน ผมเคารพทางที่เพื่อนเลือกเดิน เพื่อนก็เคารพการแสดงออกของผมเช่นกัน เราคิดไม่ต่าง กันหรอก อยากเห็นสังคมไทยดีขึ้น อยากให้เมืองไทยไร้ คอรัปชั่น อยากเห็นคนผิดถูกลงโทษ เพียงแค่วิธีการใน การแสดงออกต่างกันเท่านั้น
หากข้อเรียกร้องของลุงกำนันคือก ารยุบสภา ผมไปร่วม เป่านกหวีดด้วยอย่างแน่นอน เพราะมันถูกต้องตามระบบ และหลักการที่ผมเชื่อ แต่เมื่อไปไกลกว่านั้นและยังอธิ บายได้ไม่ชัดเจน ผมจึงเลือกที่จะนั่งติดตามสถานการณ์ อยู่ที่บ้าน ภาวนาให้ไม่มีเหตุรุนแรง เครียด เซ็ง เวลาเกิด เหตุปะทะกัน คิดใคร่ครวญตลอดว่า ในทักษะและวิชาชีพ ที่เราทำอยู่ เราจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับสังคมใน โมงยามเช่นนี้ได้บ้าง ซึ่งสำหรับผมแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียก ว่า “เฉย”
อย่างที่บอกครับ ว่าเมื่อได้รับบทเรียนจากการใช้อำนาจ นอกระบบมา “ประหาร” รัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมาก ใน มุมมองของผม วิธีนั้นนำไปสู่ความขัดแย้งและความ รุนแรงที่มากขึ้น หากเลือกได้ ผมจะไม่อยู่ข้างที่เลือกใช้ วิธีการนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะอยู่ข้างคนเลว คน โกง ผมจะส่งเสียงของผมแบบนี้ และจัดการลงโทษกับ พรรคเพื่อไทยด้วยวิธีเดินเข้าคูหาแล้วกาเบอร์ อื่น และผม จะยอมรับ หากเสียงส่วนใหญ่ยังเลือกพรรคนี้มาเป็น รัฐบาล กระนั้น ผมก็จะทำหน้าที่จับตา ตรวจสอบ ส่งเสียง เมื่อพรรคนี้กระทำผิด ซึ่งผมคิดว่า พวกเขาจะต้อง “ยำเกรง” ประชาชนมากขึ้น ประพฤติผิดน้อยลง ไม่ใช่ เพราะพวกเขาบรรลุธรรม แต่เพราะพลังตรวจสอบจาก ภาคประชาชนเข้มแข็งขึ้นต่างหาก เรารวมพลเป่านกหวีด กันได้ขนาดนี้ หากมีเหตุการณ์ทุเรศๆ อีก ทำไมเราจะรวม พลังกันอีกไม่ได้เล่า
เช่นกันกับพรรคประชาธิปัตย์ หากยังคงเล่นเกมการเมือง แบบนี้โดยไม่มีความคิดจะปฏิรูปพรรคให้ดีขึ้นก็คงทำใจ ยากที่จะลงคะแนนให้ กระนั้น ก็ยังหวังว่าพรรค ประชาธิปัตย์ซึ่งพูดเสมอว่าเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาก็จะลง เลือกตั้งและต่อสู้กันในระบบ ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ทุก พรรคมีโอกาสเสนอทางเลือก เสนอนโยบาย เพื่อให้ ประชาชนพิจารณา และ “เลือก” กันผ่านการเลือกตั้ง มาสู้ กันในระบบเถอะครับ ซึ่งจะว่าไป ในนาทีนี้ หากมี “พรรค ทางเลือก” ที่มีข้อเสนอใหม่ๆ และทางออกใหม่ๆ มาลง เลือกตั้งก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับประชาชน ที่ระอาใจกับสองพรรคใหญ่ที่มีอยู่
ผมยังเชื่อในระบบตรวจสอบที่มาจา กประชาชน และยัง เคารพเสียงส่วนใหญ่ของพี่น้องร่วมชาติ ซึ่งหนึ่งคนหนึ่ง เสียงเท่ากัน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร จบการศึกษาชั้นไหน ก็ตาม ใช่ครับ การงานของทุกคนยังมีอีกมาก ในการช่วย เรียกร้องนโยบายที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในด้าน ต่างๆ ทั้งเรื่องการเข้าถึงทรัพยากร อำนาจต่อรองของคน ตัวเล็กตัวน้อย ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ (นโยบาย ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน) การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น (ซึ่งลุงกำนันก็พูด แต่ไม่ยักทำตอนเป็นรัฐบาล) ความ เหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา ให้คนในชนบทมีการศึกษาที่ ใกล้เคียงกับคนในเมือง มิใช่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินอย่ างที่เป็นอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ยังเป็นภาระหน้าที่ของคนใน สังคมไทยทุกคน มิใช่แค่ต่อต้านการทุจริต แต่เรายังต้อง กระจายความเท่าเทียมไปสู่ท้องถิ่นและคนในชนบท เพื่อ ความเข้มแข็งทางปัญญา ความเข้มแข็งทางอำนาจเพื่อ ต่อรองกับผู้มีอำนาจที่เอาแต่ใจ และเพื่อให้ประชาชนไม่ ต้องพึ่งพานโยบายประชานิยม และเชื่อมั่นในพลังของ ตนเอง
ใช่ครับ ที่พูดมาทั้งหมดนั้นช้า ใช้เวลา แต่ผมเลือกที่จะรอ ผมเชื่อว่า สังคมจะเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ไม่มีใครฉลาด กว่าใคร คนเมืองเองก็ยังมองไม่เห็นปัญหาอีกหลายส่วน คนต่างจังหวัดเองก็ยังต้องการการแก้ปัญหาอีกหลาย อย่าง หากเราเคารพหลักการสำคัญของประชาธิปไตยที่ ว่า “หนึ่งคนหนึ่งเสียงเท่ากัน” เราคงจะยินดีให้เวลาและ เรียนรู้ไปพร้อ
"นิ้วกลม" เขียนถึงพี่ๆ เพื่อนๆมวลมหาประชาชน (ไม่เฉพาะที่เป่านกหวีด)
"นิ้วกลม" เขียนถึงพี่ๆ เพื่อนๆมวลมหาประชาชน (ไม่เฉพาะที่เป่านกหวีด)
หมายเหตุ: "นิ้วกลม" หรือ นายสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียน ชื่อดังระดับประเทศ ขวัญใจคนรุ่นใหม่ เขียนผ่านเฟซบุ๊ก http://www.facebook.com/Roundfinger แสดงทัศนะ ต่อวิกฤตการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นเรื่อง "ถึง พี่ๆ เพื่อนๆ มวลมหาประชาชน (ไม่เฉพาะที่เป่านกหวีด)" มีเนื้อหาดังนี้
***************** วันนี้เพื่อนสนิทและพี่ๆ ที่เคารพหลายคนออกไปเป่า นกหวีด นับเป็นเรื่องโชคดีที่สองสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นั่ง สนทนาแลกเปลี่ยนทรรศนะกับเพื่อนสนิทมิตรสหายห ลากหลายกลุ่ม เราเลยได้เข้าใจ “รายละเอียด” ของความ คิดและพฤติกรรมของกันและกันมากกว่าการมานั่งเดา จากการอ่านสเตตัส แล้วเตรียมป้ายมาแปะให้กันและกั นว่าไอ้นี่สีไหน อยู ่ข้างไหน ไม่เลือกข้าง มันไทย เฉย ทำมาเป็นไทยอดทน บลา บลา บลา ทันทีที่ได้นั่ง คุยกันเราจะเข้าใจได้ทันทีว่า คนเราไม่สามารถแบ่งฝั่ง แบ่งฝ่ายได้ง่ายๆ หยาบๆ แบบนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึก ว่า ช่วงนี้ไม่เขียนสเตตัสดีกว่า ถ้าอยากแลกเปลี่ยนก็นัด กันมานั่งคุย
ในสมัยที่คุณทักษิณยังเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ไปสวนลุมฯ ทุกเย็นวันศุกร์กับเพื่อนครีเอทีฟในออฟฟิศ ตอนนั้นเราตะโกนคำว่า “ทักษิณออกไป ทักษิณออกไป” กันดังลั่น บรรยากาศตอนนั้นก็คล้ายๆ ม็อบนกหวีดในวันนี้ แหละครับ เราไปเจอเพื่อนๆ พี่ๆ โดยมิได้นัดหมายกัน มากมาย กระทั่งคุณสนธิเริ่มเรียกร้องนายกฯม.7 ผมก็ ค่อยๆ ถอยห่างจากม็อบ เพราะไม่เห็นด้วย ผมอยากเห็น ประชาชนไล่ทักษิณได้ด้วยพลังของพวกเราเอง และก็ อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามหลักการและระบบที่มีอยู่ คือ ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ก็ใช่ครับ พรรคเดิมที่พวกเราไล่ ไปอาจจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก แต่อย่างน้อยเราก็ยัง รักษาหลักการเอาไว้ได้ แต่แล้วสิ่งที่ผมกับเพื่อนอีกหลาย คนไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเกิดการรัฐประหาร ในวันที่ 19กันยาปี 49
ในตอนนั้นผมรู้สึกเซ็งและเสียดา ยที่ประชาชนกำลังจะไล่ รัฐบาลได้สำเร็จอยู่แล้วเชียว ก็ดันมีอำนาจนอกระบบมา จัดการไปเสียก่อน แน่นอนว่าตอนนั้นก็มีรายละเอียดของ สถานการณ์ ม็อบสองสีอาจจะยกพวกตีกันตอนไหนก็ ไม่มีใครรู้ เมื่อมีคนอ้างว่า การรัฐประหารที่นิ่มนวลที่สุดคร ั้งนั้นช่วยหลีกเลี่ยงการเสียเล ือดเสียเนื้อ ผมก็รับฟัง แม้ไม่ เห็นด้วยเลยกับการรัฐประหาร แต่ผมก็เผื่อใจไว้เช่นกันว่า มันอาจเป็นทางออกที่จะป้องกันความรุนแรงก็เป็นได้ แต่ เมื่อเวลาผ่านไป รัฐประหารครั้งนั้นกลับกลายเป็นเชื้อฟืน ให้ความขัดแย้งลุกลาม กระทั่งนำไปสู่เหตุการณ์ความรุน แรงหลายครั้ง ซึ่งผู้สูญเสียก็มีทั้งฝั่งเหลื องและฝั่งแดง
แถมการรัฐประหารยังทำให้คุณทักษิณกลับกลายเป็น ตัวแทนของฝ่ายประชาธิปไตยไปเสียฉิบ! จากนายกฯ ที่ ไม่เคยฟังคำทักท้วงตักเตือน ปิดช่องทางการตรวจสอบ ปิดปากสื่อ รวมถึงกรณีตากใบ กลายมาเป็นตัวแทนของ ประชาธิปไตยไปได้อย่างไร ที่เป็นไปได้ก็เพราะเราเอา เขาออกไปด้วยวิธีนอกระบบ นั่นทำให้การปลดนายกฯ อย่างคุณสมัครด้วยความผิดฐานทำกับข้าวออกทีวี และ ยุบพรรคพลังประชาชนถูกตั้งคำถามจากฝ่ายเสื้อแดง เหตุการณ์พลิกผันกลายเป็นคุณทักษิณกลายเป็นฝ่าย “ชอบธรรม” ในสายตาคนเสื้อแดง เหตุการณ์เดินทางมา ไกลโพ้นจากตอนที่เราเกือบจะไล่คุณทักษิณได้ด ้วยพลัง ของประชาชน กลับกลายเป็นการรัฐประหารกลับไปเพิ่ม ความชอบธรรมให้คนที่ถูกประชาชนไล่
จากบทเรียนครั้งนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร และ วิถีทางนอกระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผมเห็นด้วยครับ ว่าเราต้องจัดการกับนักการเมืองที่โกงกิน นักการเมืองที่ ไม่รับผิด แต่เราก็ต้องจัดการด้วยวิถีทางที่อยู่ในระบอบ ประชาธิปไตย มิฉะนั้น การจัดการนั้นก็จะไม่ได้รับความ ชอบธรรม เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นจาก “เสียงส่วนใหญ่” ใน ประเทศ หากเกิดขึ้นจาก “เสียงส่วนหนึ่ง” เท่านั้น ซึ่งมันจะ นำไปสู่ปัญหางูกินหาง เมื่อ “เสียงส่วนใหญ่” ไม่ยอมรับ อำนาจนั้น
...
เมื่อมาถึงม็อบนกหวีด จากวันแรกถึงวันนี้ สิ่งที่ผมเห็นด้วย มาตลอดคือการแสดงออกทางการเมืองให้รัฐบาลที่ม อง ข้ามหัวประชาชน ออกกฎหมายยกโทษความผิดให้ตัวเอง กู้เงิน 2 ล้านล้านโดยไม่แจกแจงรายละเอียด การดัน นโยบายจำนำข้าวโดยไม่ฟังเถียงทักท้วง แถมยังมีข้อมูล เรื่องทุจริตคอรัปชั่นอีกเต็มไปหมด ได้สำนึกบ้างว่า ยังมี ประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมือง ไม่ยอมรับการกระทำ สามานย์ของนักการเมือง และพร้อมจะออกมาส่งเสียงอีก มากมาย จะว่าไป ม็อบนกหวีดเป็นม็อบที่เห็นแล้วมีความ หวัง ว่าในอนาคตนักการเมือง (ไม่ว่าจากพรรคใด) คงจะ ทำตัวแย่ๆ หรือโกงกินกันได้ยากขึ้น เมื่อประชาชนตื่นตัว และตรวจสอบกันขนาดนี้
แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยมาตลอดเ ช่นกันคือ ข้อเรียกร้อง จากคุณสุเทพ ที่บอกว่ายุบสภาก็ไม่เอา ลาออกก็ไม่เอา และเสนอจะตั้งสภาประชาชน และล่าสุดคือนายกฯ ม.7 (อีกแล้ว) นั่นแปลว่าคุณสุเทพกำลังเสนอให้ “เสียงส่วน หนึ่ง” ซึ่งไม่ใช่ “เสียงส่วนใหญ่” มีอำนาจในการแต่งตั้ง “สภาประชาชน” ขึ้นมา เพราะกระทั่งถึงทุกวันนี้แล้วผม รวมถึงเพื่อนๆ บางคนที่ออกไปเป่านกหวีดก็ยังข้ องใจว่า สภาประชาชนจะมาด้วยวิธีไหน ใครเป็นคนแต่งตั้ง “ประชาชน” ที่ว่านั้นเป็นประชาชนกลุ่มไหน ใช่เสียงส่วน ใหญ่ของประเทศหรือเปล่า
อย่างที่บอกครับ ว่าโชคดีที่ได้นั่งคุยกับเพื่อนๆ แบบตาม องตา จึงได้เข้าใจว่า เพื่อนบางคนออกไปร่วมชุมนุมโดยไ ม่ได้เห็นด้วยกับคุณสุเทพทั้งหม ด หลายคนบอกผมว่า “กู ก็ขอแค่ยุบสภานั่นแหละ แต่ถ้าไม่ออกไปเลย ยุบสภา ก็อาจจะไม่ได้” ผมจึงเข้าใจเพื่อนที่ออกไปเป่านกหวีด มากขึ้น แต่เพื่อนบางคนก็อยากได้สภาประชาชนจริงๆ แม้ยังไม่รู้วิธีการก็ตาม เพื่อนกลุ่มนี้จะให้เหตุผลว่า “เอา พวกมันออกไปก่อน ด้วยวิธีอะไรก็ได้ แล้วค่อยว่ากัน” นี่ แหละครับ รายละเอียดที่หลากหลาย ซึ่งเราไม่สามารถ แปะป้ายได้ว่า “ไอ้นี่นกหวีด” หรือ “ไอ้นี่ไทยเฉย” เพราะ บางที “ไอ้นกหวีด” กับ “ไอ้ไทยเฉย” บางคนนี่คิดแทบจะ ไม่ต่างกันเลย ต่างแค่คนหนึ่งเลือกออกไปร่วมชุมนุม ขณะที่อีกคนเลือกที่จะนั่งดูบลูสกายอยู่ที่บ้าน แล้วส่าย หัวกับข้อเสนอของลุงกำนัน ส่วนไอ้คนแรกไปส่ายหัวอยู่ ในม็อบ
ขณะที่บางคนก็จะบอกว่า “อย่าเพิ่งมาสนใจรายละ เอียดตอนนี้ได้มั้ย คิดต่างกันนิดหน่อยก็ร่วมๆ ขบวนกันไป ก่อน เอามันออกไปก่อน” ซึ่งไอ้ระดับของการ “เอามันออก ไป” ก็แตกต่างกันอีก บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจาก การเป็นรัฐบาล” บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจาก การเมืองไทย” บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจาก ประเทศไทย” นี่ก็เป็นรายละเอียดที่ยากจะแปะป้ายเช่น กัน
...
จากการเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ พี่ๆ ในไลน์ ในเฟซบุ๊ค ผม คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่จะได้เห็น “มวลมหาประชาชน” จำนวนมหาศาลออกไปแสดงพลังกัน และก็เป็นเช่นนั้น จริงๆ ใน “มวลมหา” นั้น ย่อมมีที่แตกต่างกันในรายละเอีย ดตามที่ได้บอกไป ตามที่ได้นั่งคุยมา ผมดีใจที่การไม่ ออกไปร่วมเป่านกหวีดของผมนั้นไม่ถูกค่อนขอดจากเ พื่อนสนิทว่า “ไม่รักชาติ” หรือ “ทำตัวเป็นไทยเฉย” เพราะเราคุยกันจนเข้าใจแล้วแต่ใช่ว่าเราจะสามารถนั่ง คุยแบบนี้ได้กับทุกคน ผมเคารพทางที่เพื่อนเลือกเดิน เพื่อนก็เคารพการแสดงออกของผมเช่นกัน เราคิดไม่ต่าง กันหรอก อยากเห็นสังคมไทยดีขึ้น อยากให้เมืองไทยไร้ คอรัปชั่น อยากเห็นคนผิดถูกลงโทษ เพียงแค่วิธีการใน การแสดงออกต่างกันเท่านั้น
หากข้อเรียกร้องของลุงกำนันคือก ารยุบสภา ผมไปร่วม เป่านกหวีดด้วยอย่างแน่นอน เพราะมันถูกต้องตามระบบ และหลักการที่ผมเชื่อ แต่เมื่อไปไกลกว่านั้นและยังอธิ บายได้ไม่ชัดเจน ผมจึงเลือกที่จะนั่งติดตามสถานการณ์ อยู่ที่บ้าน ภาวนาให้ไม่มีเหตุรุนแรง เครียด เซ็ง เวลาเกิด เหตุปะทะกัน คิดใคร่ครวญตลอดว่า ในทักษะและวิชาชีพ ที่เราทำอยู่ เราจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับสังคมใน โมงยามเช่นนี้ได้บ้าง ซึ่งสำหรับผมแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียก ว่า “เฉย”
อย่างที่บอกครับ ว่าเมื่อได้รับบทเรียนจากการใช้อำนาจ นอกระบบมา “ประหาร” รัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมาก ใน มุมมองของผม วิธีนั้นนำไปสู่ความขัดแย้งและความ รุนแรงที่มากขึ้น หากเลือกได้ ผมจะไม่อยู่ข้างที่เลือกใช้ วิธีการนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะอยู่ข้างคนเลว คน โกง ผมจะส่งเสียงของผมแบบนี้ และจัดการลงโทษกับ พรรคเพื่อไทยด้วยวิธีเดินเข้าคูหาแล้วกาเบอร์ อื่น และผม จะยอมรับ หากเสียงส่วนใหญ่ยังเลือกพรรคนี้มาเป็น รัฐบาล กระนั้น ผมก็จะทำหน้าที่จับตา ตรวจสอบ ส่งเสียง เมื่อพรรคนี้กระทำผิด ซึ่งผมคิดว่า พวกเขาจะต้อง “ยำเกรง” ประชาชนมากขึ้น ประพฤติผิดน้อยลง ไม่ใช่ เพราะพวกเขาบรรลุธรรม แต่เพราะพลังตรวจสอบจาก ภาคประชาชนเข้มแข็งขึ้นต่างหาก เรารวมพลเป่านกหวีด กันได้ขนาดนี้ หากมีเหตุการณ์ทุเรศๆ อีก ทำไมเราจะรวม พลังกันอีกไม่ได้เล่า
เช่นกันกับพรรคประชาธิปัตย์ หากยังคงเล่นเกมการเมือง แบบนี้โดยไม่มีความคิดจะปฏิรูปพรรคให้ดีขึ้นก็คงทำใจ ยากที่จะลงคะแนนให้ กระนั้น ก็ยังหวังว่าพรรค ประชาธิปัตย์ซึ่งพูดเสมอว่าเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาก็จะลง เลือกตั้งและต่อสู้กันในระบบ ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ทุก พรรคมีโอกาสเสนอทางเลือก เสนอนโยบาย เพื่อให้ ประชาชนพิจารณา และ “เลือก” กันผ่านการเลือกตั้ง มาสู้ กันในระบบเถอะครับ ซึ่งจะว่าไป ในนาทีนี้ หากมี “พรรค ทางเลือก” ที่มีข้อเสนอใหม่ๆ และทางออกใหม่ๆ มาลง เลือกตั้งก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับประชาชน ที่ระอาใจกับสองพรรคใหญ่ที่มีอยู่
ผมยังเชื่อในระบบตรวจสอบที่มาจา กประชาชน และยัง เคารพเสียงส่วนใหญ่ของพี่น้องร่วมชาติ ซึ่งหนึ่งคนหนึ่ง เสียงเท่ากัน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร จบการศึกษาชั้นไหน ก็ตาม ใช่ครับ การงานของทุกคนยังมีอีกมาก ในการช่วย เรียกร้องนโยบายที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในด้าน ต่างๆ ทั้งเรื่องการเข้าถึงทรัพยากร อำนาจต่อรองของคน ตัวเล็กตัวน้อย ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ (นโยบาย ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน) การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น (ซึ่งลุงกำนันก็พูด แต่ไม่ยักทำตอนเป็นรัฐบาล) ความ เหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา ให้คนในชนบทมีการศึกษาที่ ใกล้เคียงกับคนในเมือง มิใช่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินอย่ างที่เป็นอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ยังเป็นภาระหน้าที่ของคนใน สังคมไทยทุกคน มิใช่แค่ต่อต้านการทุจริต แต่เรายังต้อง กระจายความเท่าเทียมไปสู่ท้องถิ่นและคนในชนบท เพื่อ ความเข้มแข็งทางปัญญา ความเข้มแข็งทางอำนาจเพื่อ ต่อรองกับผู้มีอำนาจที่เอาแต่ใจ และเพื่อให้ประชาชนไม่ ต้องพึ่งพานโยบายประชานิยม และเชื่อมั่นในพลังของ ตนเอง
ใช่ครับ ที่พูดมาทั้งหมดนั้นช้า ใช้เวลา แต่ผมเลือกที่จะรอ ผมเชื่อว่า สังคมจะเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ไม่มีใครฉลาด กว่าใคร คนเมืองเองก็ยังมองไม่เห็นปัญหาอีกหลายส่วน คนต่างจังหวัดเองก็ยังต้องการการแก้ปัญหาอีกหลาย อย่าง หากเราเคารพหลักการสำคัญของประชาธิปไตยที่ ว่า “หนึ่งคนหนึ่งเสียงเท่ากัน” เราคงจะยินดีให้เวลาและ เรียนรู้ไปพร้อ