The Secret Life of Walter Mitty : "คุณเคยมีความฝัน" บ้างไหม

The Secret Life of Walter Mitty เป็นเรื่องราวของมิตตี้ ชายวัยกลางคนธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจในห้องฟิล์มของบริษัทนิตยสาร Life มิตตี้มักจะมีอาการฝันกลางวันแบบหลุดโลกอยู่เสมอๆ เรียกได้ว่าเข้าขั้นเพ้อเจ้อเลยแหละ

ทีนี้คราวซวยก็มาเยือนมิตตี้จนได้ เมื่อนิตยสาร Life ถูกซื้อกิจการไปและเปลี่ยนรูปแบบใหม่เป็นนิตยสารออนไลน์ ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ลดจำนวนพนักงาน และเรื่องราวอีกมากมาย ฯลฯ

แต่ซวยยกกำลังสอง เมื่อมิตตี้ดันทำฟิล์มเลขที่ 25 จาก "ฌอน" ช่างภาพสุดติสท์ผู้ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์มือถือหายไป โดยภาพนั้นสำคัญสุดๆ เนื่องจากเป็นภาพที่จะถูกนำมาขึ้นปกของนิตยสารเล่มสุดท้ายของบริษัท และทั้งหมดนี้มันคือเป็นความรับผิดชอบของมิตตี้ด้วยน่ะสิ!!!

เตือนภัย : ตั้งแต่บรรทัดต่อจากนี้ไป จะเปิดเผยเนื้อหาของหนัง และการรีวิวของผมนะครับ!!

.
.
.
.



ก่อนอื่น... ผมอยากถามว่า "คุณเคยมีความฝัน" บ้างไหมครับ?

ความฝันเหมือนกับมิตตี้ในวัยรุ่นที่เคยเป็นแชมป์สเกตบอร์ด ตัดผมทรงโมฮอกส์ ออกไปท่องเที่ยว backpack และมีชีวิตอย่างอิสระ จวบจนพ่อของเขาจากไป ทำให้ชีวิตของมิตตี้ต้องพลิกผันขึ้นๆลงๆ มาเป็นมนุษย์เงินเดือนที่แสนจะอาภัพอย่างเช่นทุกวันนี้

ทุกวันนี้เราทุกคนล้วนเป็นแบบนั้น นั่งอยู่กับงานที่น่าเบื่อ ทำงานเพื่อให้เวลาหมดๆไป พร้อมกับลืมเลือนสิ่งที่เราฝันไปทั้งหมดสิ้น เหลือเพียงแต่ว่า จะทำอะไรต่อไปดีน้อ...

The Secret Life of Walter Mitty เป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องธรรมดามากๆ เล่าเรื่องช้าๆ เนิบๆ ปล่อยไปตามสบาย (บางคนหลับคาโรงก็มี) แต่ถ้าหากคุณไม่หลับ คุณจะรู้เลยว่าหนังกำลังเล่าเรื่อง "ชีวิต" แบบจริงๆ และมันคือ... ชีวิตของคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง

หลายๆคนสามารถใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเมื่อไรที่เจอกับ "ปัญหา" นั่นแหละ ชีวิตของเราทุกคนจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อย่างมิตตี้ก็เจอกับปัญหาที่ทำฟิลม์หาย ทำให้ต้องร่อนเร่ไปหลายประเทศ ทั้ง กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์ อาฟกานิสถาน เพื่อตามหาเพียงแค่ฟิลม์เล็กๆ แผ่นเดียว โดยที่ท้ายที่สุดแล้วมันก็อยู่ที่กระเป๋าสตางค์ข้างหลังตรูดของเค้านั่นเองแหละ!!

ว่าแต่ "ปัญหา" กับ "ความฝัน" มันเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ... ผมจะบอกให้ฟังว่า การที่เราไม่อยากฝัน เพราะเราทุกคนล้วนกลัวปัญหา ลองคิดดูสิว่า ถ้าหากคุณอยากมีธุรกิจส่วนตัว แต่ทุกวันนี้คุณยังทำงานง่กๆเงิ่นๆ รับเงินเดือนอยู่ทุกเดือน อยู่ไปเรือยๆ แล้วบอกกับตัวเองอยู่ทุกวันว่ายังไม่พร้อม... จนท้ายที่สุดคุณก็ไม่มีวันพร้อมอยู่ดี และทั้งหมดนี้แหละคือ "ปัญหา" และมันเป็น "ปัญหา" จากที่เราไม่กล้า "ฝัน"

ในช่วงแรกของเรื่อง มิตตี้มีจินตนาการที่กว้างไกล มีความคิดในโลกส่วนตัว ฝันกลางวันอยู่เสมอ แต่หลังจากที่เค้าได้ตัดสินใจก้าวขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อไปยังเรือเดินสมุทรกลางทะเล เค้าก็หยุดฝันกลางวัน และเดินทางเพื่อตามหาฟิลม์ในโลกแห่งความจริง เพื่อที่จะเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดต่อไป ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารชื่อเดียวกับพ่อในไอซ์แลนด์ ภูเขาไฟระเบิด

หลังจากที่มิตตี้หยุดฝัน สิ่งรอบตัว ทิวทัศน์รอบตัวของมิตตี้ ก็เริ่มจะสวยขึ้น เหมือนกับจะบอกว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เราก็ยังคงฝันอยู่ได้ มิตตี้เล่นสเกตบอร์ดข้ามภูเขา เดินทางพิชิตเทือกเขาหิมาลัย แกะรอยจากภาพรอบตัว จนตามตัว "ฌอน" เจอ เพื่อที่จะให้ "ฌอน" บอกว่า เค้าใส่ฟิลม์หมายเลข 25 ไว้ในกระเป๋าสตางค์ทีสลักสโลแกนของ Life นั่นเองแหละ

และเหมือนกับ "ฌอน" กำลังจะบอกมิตตี้ว่า สิ่งที่เขาตามหาทั้งหมดนั้น จริงๆมันอยู่ในตัวของมิตตี้เอง ...

ในตอนแรกนั้นมิตตี้พยายามจะที่ใช้บริการจัดหาคู่ เพื่อที่จะบอกรักสาวที่เขาชอบโดยการส่งข้อความหรือสัญลักษณ์น่ารักๆไปให้ แต่หลังจากที่มิตตี้เดินทางตามหาฟิลม์เลขที่ 25 และเล่า "งานอดิเรก" ใส่ลงในโปรไฟล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น กระโดดจากเฮลิคอปเตอร์ หนีภูเขาไฟ ปีนเทือกเขาหิมาลัย กับ "ท๊อด" เจ้าของเวปไซด์บริการจัดหาคู่ "E-Harmony" ก็ทำให้เขากลายเป็น Somebody ใน Internet ขึ้นมา มีสาวๆมากมายต้องการจะนัดเดทด้วย แต่มิตตี้รู้แล้วว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การเป็น Somebody แต่คือการเป็น"ตัวเอง" นี่แหละคือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด


เชื่อว่าหลายๆคนดูหนังเรื่องนี้จบ คงจะได้แรงบันดาลใจ อยากออกไปท่องเที่ยว ไปโลกกว้าง ไปค้นหาตัวเอง แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมเข้าใจว่าหนังพยายามจะบอกกับเรานั้น ไม่ใช่การตามหาความฝัน แต่เป็นการแยกความฝันออกจากความจริง

... และลงมือทำ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่