เอเอฟพี – “เทพยานี โคบราเกด” นักการทูตหญิงอินเดียวัย 39 ปี ซึ่งเป็นต้นเหตุความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานเป็นอย่างมากระหว่างสหรัฐฯและอินเดีย ได้เปิดใจล่าสุดกับ Sunday express สื่ออินเดียว่า เธอต้องละทิ้งครอบครัวที่มีลูกสาวที่ยังเล็กๆ 2 คนไว้ยังนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ในขณะที่เธอต้องเดินทางกลับอินเดียในทันที พร้อมลั่นจะต้องล้างมลทินของตนเองให้จงได้
เจ้าหน้าที่กงสุลอินเดีย “เทพยานี โคบราเกด” วัย 39 ปี ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับประเทศอินเดียในวันศุกร์(10) หลังจากเธอได้ถูกทางการสหรัฐฯตั้งข้อกล่าวหาฐานปลอมวีซ่าเพื่อนำคนงานเข้าสหรัฐฯ และ ให้การเท็จ
โดย เทพยานี โคบราเกดที่มีความคุ้มกันทางการทูตเต็มได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากสหรัฐฯได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เธอถูกศาลรัฐบาลกลางสหรัฐตั้งข้อกล่าวหา ซึ่งล่าสุดเธอได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นอินเดีย เปิดเผยความรู้สึกที่ปวดร้าวที่ต้องทิ้งลูกสาว 2 คน วัย 7 ปี และ 4 ปีไว้กับสามีนักวิชาการชาวอเมริกันเอาในสหรัฐฯ
“ดิฉันไม่ทราบเลยว่าจะได้กลับมาอยู่ร่วมกับครอบครัวที่มีทั้งสามีและลูกสาวตัวน้อย 2 คนอีกได้เมื่อไร ดิฉันคิดถึงพวกเขามากๆ” โคบราเกดได้เผยกับ Sunday Express สื่ออินเดีย
“จะเกิดอะไรขึ้นหากลูกสาวทั้งสองเลือกที่จะศึกษา ทำงาน และ ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ จะเกิดอะไรขึ้นหากดิฉันไม่สามารถเดินทางกลับเข้าสหรัฐฯได้อีกแล้ว ซึ่งในขณะนี้ดิฉันก็ไม่สามารถกลับเข้าไปได้ มันจะหมายความว่าดิฉันไม่สามารถได้อยู่ร่วมกับครอบครัวของดิฉันอีกแล้ว??? ” โคบราเกดเปิดเผยต่อไป
นอกจากนี้เธอยังกล่าวต่อว่า “ดิฉันรู้ดีว่าดิฉันซื่อตรง และจะต้องล้างมลทิน ข้อกล่าวหาในครั้งนี้ให้ได้ แต่ทว่าไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร และไม่รู้ว่าครอบครัวของดิฉันต้องเผชิญกับเรื่องนี้อีกนานเท่าไร”
การถูกจับกุมของ เทพยานี โคบราเกด เกิดขึ้นภายนอกโรงเรียนของบุตรสาวของเธอในวันที่ 12 ธันวาคม 2013 และเธอเองได้ถูกนำตัวไปกักขังไว้ ซึ่งโคบราเกดได้เปิดเผยว่าเธอถูกเปลื้องผ้าตรวจค้น รวมถึงถูกตรวจในช่องคลอดด้วย ซึ่งการเปิดเผยครั้งนี้สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวอินเดียไปทั่วประเทศที่เข้าใจว่า กงสุลหญิงนั้นมีสิทธิคุ้มกันทางการทูตอยู่อย่างสมบูรณ์
ในขณะที่อัยการของสหรัฐฯปฎิเสธ และดำเนินการตั้งข้อหาโคบราเกดในนิวยอร์ก ฐานบังคับให้คนทำงานบ้านชาวอินเดียทำงานอย่างหนักร่วมๆ 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นเวลานาน ด้วยค่าจ้างที่ต่ำราว 1.22 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งคนงานของเธอต้องทำงานถึงแม้ว่าจะป่วย และบ่อยครั้งที่ไม่ได้มีวันหยุดเป็นของตนเอง
และโคบราเกดได้รับสิทธิคุ้มกันทางการทูตอย่างสมบูรณ์ในสัปดาห์สุดท้ายหลังจากรัฐบาลอินเดียร้องขอให้ทางวอชิงตัน ออกวีซ่า G1 ที่ออกให้สำหรับนักการทูตอินเดียที่ทำงานในองค์การสหประชาชาติ ซึ่งตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ
ซึ่งการจับกุมตัวของโคบราเกดทำให้ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของทั้ง2ชาติที่มีความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์นั้นต้องสั่นคลอนหนักเมื่อทางกรุงนิวเดลีได้ออกคำสั่งรื้อแบริเออร์ป้องกันรอบสถานทูตสหรัฐฯออกทั้งหมด สั่งให้เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงนิวเดลีเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานคนงานท้องถิ่นชาวอินเดียทั้งหมด รวมไปถึงยกเลิกสิทธิพิเศษต่างๆที่ให้กับเจ้าหน้าที่สถาทูตสหรัฐฯในการนำเข้าอาหารและสุราโดยที่ไม่ต้องเสียภาษี
และในวัยพุธ(8) กระทรวงการต่างประเทศอินเดียได้ออกคำสั่งให้สปอร์ตคลับของสถานทูตห้ามบุคคลที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่กงสุลเข้าใช้บริการ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับแขกนักธุรกิจของสถานทูตเป็นอย่างมาก ในขณะที่สหรัฐฯได้โต้ตอบโดยรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ เอิร์นเนส โมนิซ ได้ประกาศยกเลิกการไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้
และล่าสุดในวันศุกร์(10) รัฐบาลอินเดียได้ขอให้สหรัฐฯถอนเจ้าหน้าที่ทางการทูตประจำกรุงนิวเดลีที่มีตำแหน่งเท่ากับ เทพยานี โคบราเกด เดินทางกลับสหรัฐฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่การทูตคนนี้มีส่วนช่วยให้ครอบครัวของคนทำงานของนักการทูตหญิงอินเดียได้รับวีซ่าเพื่อเดินทางไปสหรัฐฯ โดยพวกเขาได้รับการคุ้มครองจากอัยการสหรัฐฯ
ด้านอัยการสหรัฐฯกล่าวว่า การที่ครอบครัวของคนงานอินเดียต้องอพยพไปยังสหรัฐฯเป็นเพราะถูกคุกคาม
ซึ่งการสัมภาษณ์ที่โคบราเกดให้กับสื่ออินเดียนั้นเปิดเผยว่า เธอจะต่อสู้ทางคดีต่อไปเพื่อล้างมลทินข้อกล่าวหาให้กับตนเอง รวมทั้งมีความพยายามที่จะทำให้คดีของเธอที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐบาลกลางที่นิวยอร์กตกไป
“ถึงแม้ว่าดิฉันจะเดินทางกลับมายังที่ประเทศอินเดียแล้ว แต่ดิฉันมีความตั้งใจที่จะต้องล้างมลทินข้อกล่าวหาให้ได้ ซึ่งตอนนี้เป็นที่แน่ชัดว่าดิฉันต้องพรากจากครอบครัวที่รัก และดิฉันต้องทุกข์ทรมานเพราะความคิดถึงลูกสาวทั้ง 2 คน ที่ยังเล็กๆอยู่” โคบราเกดเผย
“ดิฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงพูดคุยกับลูกสาวทั้ง 2 คน เมื่อคืนนี้ และเด็กน้อยทั้ง 2 คนก็คิดถึงดิฉันมากแล้ว ลูกสาวคนเล็กวัย 4 ปีถามดิฉันว่า “เมื่อไหร่แม่จะกลับบ้านเรา” และดิฉันไม่มีคำตอบให้แก” โคบราเกดกล่าวทั้งน้ำตา
โคบราเกดไม่สามารถเดินทางกลับเข้าสหรัฐฯได้ ยกเว้นเธอต้องยอมถูกจับกุมตัวที่สนามบิน และ ชื่อของเธอได้เข้าไปอยู่ในรายชื่อที่ต้องถูกจับตามองของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ “ไม่ให้ออกวีซ่าเพื่อเข้าสหรัฐฯ”
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000004391
“โคบราเกด” กงสุลหญิงอินเดียอื้อฉาวที่ถูกเปลื้องผ้าตรวจ เปิดใจทั้งน้ำตาหลังต้องทิ้ง "ลูกสาวเล็กๆ 2 คน" ไว้ที่สหรัฐฯ
เจ้าหน้าที่กงสุลอินเดีย “เทพยานี โคบราเกด” วัย 39 ปี ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับประเทศอินเดียในวันศุกร์(10) หลังจากเธอได้ถูกทางการสหรัฐฯตั้งข้อกล่าวหาฐานปลอมวีซ่าเพื่อนำคนงานเข้าสหรัฐฯ และ ให้การเท็จ
โดย เทพยานี โคบราเกดที่มีความคุ้มกันทางการทูตเต็มได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากสหรัฐฯได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เธอถูกศาลรัฐบาลกลางสหรัฐตั้งข้อกล่าวหา ซึ่งล่าสุดเธอได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นอินเดีย เปิดเผยความรู้สึกที่ปวดร้าวที่ต้องทิ้งลูกสาว 2 คน วัย 7 ปี และ 4 ปีไว้กับสามีนักวิชาการชาวอเมริกันเอาในสหรัฐฯ
“ดิฉันไม่ทราบเลยว่าจะได้กลับมาอยู่ร่วมกับครอบครัวที่มีทั้งสามีและลูกสาวตัวน้อย 2 คนอีกได้เมื่อไร ดิฉันคิดถึงพวกเขามากๆ” โคบราเกดได้เผยกับ Sunday Express สื่ออินเดีย
“จะเกิดอะไรขึ้นหากลูกสาวทั้งสองเลือกที่จะศึกษา ทำงาน และ ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ จะเกิดอะไรขึ้นหากดิฉันไม่สามารถเดินทางกลับเข้าสหรัฐฯได้อีกแล้ว ซึ่งในขณะนี้ดิฉันก็ไม่สามารถกลับเข้าไปได้ มันจะหมายความว่าดิฉันไม่สามารถได้อยู่ร่วมกับครอบครัวของดิฉันอีกแล้ว??? ” โคบราเกดเปิดเผยต่อไป
นอกจากนี้เธอยังกล่าวต่อว่า “ดิฉันรู้ดีว่าดิฉันซื่อตรง และจะต้องล้างมลทิน ข้อกล่าวหาในครั้งนี้ให้ได้ แต่ทว่าไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร และไม่รู้ว่าครอบครัวของดิฉันต้องเผชิญกับเรื่องนี้อีกนานเท่าไร”
การถูกจับกุมของ เทพยานี โคบราเกด เกิดขึ้นภายนอกโรงเรียนของบุตรสาวของเธอในวันที่ 12 ธันวาคม 2013 และเธอเองได้ถูกนำตัวไปกักขังไว้ ซึ่งโคบราเกดได้เปิดเผยว่าเธอถูกเปลื้องผ้าตรวจค้น รวมถึงถูกตรวจในช่องคลอดด้วย ซึ่งการเปิดเผยครั้งนี้สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวอินเดียไปทั่วประเทศที่เข้าใจว่า กงสุลหญิงนั้นมีสิทธิคุ้มกันทางการทูตอยู่อย่างสมบูรณ์
ในขณะที่อัยการของสหรัฐฯปฎิเสธ และดำเนินการตั้งข้อหาโคบราเกดในนิวยอร์ก ฐานบังคับให้คนทำงานบ้านชาวอินเดียทำงานอย่างหนักร่วมๆ 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นเวลานาน ด้วยค่าจ้างที่ต่ำราว 1.22 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งคนงานของเธอต้องทำงานถึงแม้ว่าจะป่วย และบ่อยครั้งที่ไม่ได้มีวันหยุดเป็นของตนเอง
และโคบราเกดได้รับสิทธิคุ้มกันทางการทูตอย่างสมบูรณ์ในสัปดาห์สุดท้ายหลังจากรัฐบาลอินเดียร้องขอให้ทางวอชิงตัน ออกวีซ่า G1 ที่ออกให้สำหรับนักการทูตอินเดียที่ทำงานในองค์การสหประชาชาติ ซึ่งตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ
ซึ่งการจับกุมตัวของโคบราเกดทำให้ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของทั้ง2ชาติที่มีความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์นั้นต้องสั่นคลอนหนักเมื่อทางกรุงนิวเดลีได้ออกคำสั่งรื้อแบริเออร์ป้องกันรอบสถานทูตสหรัฐฯออกทั้งหมด สั่งให้เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงนิวเดลีเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานคนงานท้องถิ่นชาวอินเดียทั้งหมด รวมไปถึงยกเลิกสิทธิพิเศษต่างๆที่ให้กับเจ้าหน้าที่สถาทูตสหรัฐฯในการนำเข้าอาหารและสุราโดยที่ไม่ต้องเสียภาษี
และในวัยพุธ(8) กระทรวงการต่างประเทศอินเดียได้ออกคำสั่งให้สปอร์ตคลับของสถานทูตห้ามบุคคลที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่กงสุลเข้าใช้บริการ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับแขกนักธุรกิจของสถานทูตเป็นอย่างมาก ในขณะที่สหรัฐฯได้โต้ตอบโดยรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ เอิร์นเนส โมนิซ ได้ประกาศยกเลิกการไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้
และล่าสุดในวันศุกร์(10) รัฐบาลอินเดียได้ขอให้สหรัฐฯถอนเจ้าหน้าที่ทางการทูตประจำกรุงนิวเดลีที่มีตำแหน่งเท่ากับ เทพยานี โคบราเกด เดินทางกลับสหรัฐฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่การทูตคนนี้มีส่วนช่วยให้ครอบครัวของคนทำงานของนักการทูตหญิงอินเดียได้รับวีซ่าเพื่อเดินทางไปสหรัฐฯ โดยพวกเขาได้รับการคุ้มครองจากอัยการสหรัฐฯ
ด้านอัยการสหรัฐฯกล่าวว่า การที่ครอบครัวของคนงานอินเดียต้องอพยพไปยังสหรัฐฯเป็นเพราะถูกคุกคาม
ซึ่งการสัมภาษณ์ที่โคบราเกดให้กับสื่ออินเดียนั้นเปิดเผยว่า เธอจะต่อสู้ทางคดีต่อไปเพื่อล้างมลทินข้อกล่าวหาให้กับตนเอง รวมทั้งมีความพยายามที่จะทำให้คดีของเธอที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐบาลกลางที่นิวยอร์กตกไป
“ถึงแม้ว่าดิฉันจะเดินทางกลับมายังที่ประเทศอินเดียแล้ว แต่ดิฉันมีความตั้งใจที่จะต้องล้างมลทินข้อกล่าวหาให้ได้ ซึ่งตอนนี้เป็นที่แน่ชัดว่าดิฉันต้องพรากจากครอบครัวที่รัก และดิฉันต้องทุกข์ทรมานเพราะความคิดถึงลูกสาวทั้ง 2 คน ที่ยังเล็กๆอยู่” โคบราเกดเผย
“ดิฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงพูดคุยกับลูกสาวทั้ง 2 คน เมื่อคืนนี้ และเด็กน้อยทั้ง 2 คนก็คิดถึงดิฉันมากแล้ว ลูกสาวคนเล็กวัย 4 ปีถามดิฉันว่า “เมื่อไหร่แม่จะกลับบ้านเรา” และดิฉันไม่มีคำตอบให้แก” โคบราเกดกล่าวทั้งน้ำตา
โคบราเกดไม่สามารถเดินทางกลับเข้าสหรัฐฯได้ ยกเว้นเธอต้องยอมถูกจับกุมตัวที่สนามบิน และ ชื่อของเธอได้เข้าไปอยู่ในรายชื่อที่ต้องถูกจับตามองของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ “ไม่ให้ออกวีซ่าเพื่อเข้าสหรัฐฯ”
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000004391