แม้ว่าญี่ปุ่นจะสร้างภาพยนตร์อุลตร้าแมนออกฉายแทบจะปีเว้นปี แต่ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เข้าโรงฉายในบ้านเรา เมื่อก่อนกระแสหนังโรงอุลตร้าจะเงียบมากเพราะติดปัญหาพิพาททางลิขสิทธิ์ พอหลังจากคดีจบลง DEXได้เป็นเจ้าของLC แต่ก็ยังนำULTRA MOVIE มาฉายได้เพียง2เรื่อง แถมยังเป็นการฉายจำกัดโรงอีกทำให้คนไทยไม่มีโอกาสไปดูในโรงหนังได้ทั่วถึง และหากไม่นับหนังโรงในอดีตอย่าง ULTRAMAN COSMOS2 BLUE PLANET และหนุมานพบ7ยอดมนุษย์แล้ว ภาพยนตร์เรื่องULTRAMAN ZEROนี้ถือเป็นครั้งแรกเลยที่มีการฉายทั่วทุกโรงในเครือSF MAJOR จริงๆ ซึ่งผมอยากแนะนำให้หลายๆคนได้ไปชมกัน เพราะภาคนี้ถือเป็นหนังโรงอุลตร้าแมนที่แฟนๆให้การยอมรับว่าดีที่สุดในไตรภาคของULTRAMAN ZERO เลยครับ
อุลตร้าแมนเซโร่ เดอะมูวีย์ เบเรี่ยล จักรพรรดิ์ทมิฬ หรือชื่อหนังในภาษาญี่ปุ่น ULTRAMAN ZERO THE MOVIE Chou Kessen BERIAL Ginga Teikoku ( Super Decissive Battle BERIAL the Galactic Empire ) ส่วนชื่อภาษาอังกฤษที่ใช้นอกประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการคือ ULTRAMAN ZERO THE MOVIE REVENGE OF BERIAL เป็นหนังโรงภาคที่สองของอุลตร้าแมนเซโร่ ออกฉายเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2010 ถือเป็นภาพยนตร์ที่สร้างออกมาเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปี การกำเนิดอุลตร้าแมนด้วยเช่นกัน เนื้อหาในภาคนี้ดำเนินtimelineต่อจากหนังภาคULTRA GALAXY LEGEND เพื่อความสมบูรณ์ในการรับชม ท่านควรหาหนังภาคก่อนหน้านี้มาดูเสียก่อน เพื่อจะได้เข้าใจที่มามากขึ้นครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ชื่อภาษาไทย "อุลตร้ากาแลคซี่ เดอะมูวีย์ กำเนิดอุลตร้าแมนเซโร่ ถือเป็นภาคแรกของไตรภาค ที่พูดถึงการปรากฏตัวของเบริอัล และเซโร่
อุลตร้าแมนเซโร่VSดาร์คลอป เซโร่ เป็นOVA SERIES 2ตอนจบ ที่เป็นบทโหมโรงหนังภาคที่กำลังฉายนี้
เนื้อหาคร่าวๆของหนังโรงภาคนี้ กล่าวถึงผู้ร้ายจากภาคที่แล้วที่ชื่อุลตร้าแมนเบริอัลที่คิดว่าถูกกำจัดไปแล้ว แต่มันกลับมีชีวิตอยู่ไปกบดานอยู่ในจักรวาลต่างมิติ ในคราวนี้มันได้สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ์กาแลคซี่ และสร้างกองทัพแสดงแสนยานุภาพไปทั่วทั้งจักรวาล ยึดครองดวงดาวต่างๆไปมากมายเพื่อช่วงชิงทรัพยากรมาสร้างกองทัพไว้สำหรับบุกดาวM78 เพื่อการล้างแค้นอีกครั้ง อุลตร้าแมนเซโร่จึงต้องออกเดินทางไปจัดการเบริอัล ซึ่งกบดานอยู่ในมิติจักรวาลอื่น ที่ซึ่งแหล่งพลังงานจากดาวอุลตร้าไม่อาจส่งไปถึงได้ เซโร่ต้องเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่รุ้จักเพียงลำพัง ได้พบกับพันธมิตรใหม่ที่ช่วยชี้เบาะแสถึง"โล่ห์แห่งวาราจ"ขุมพลังที่สามารถโค่นกองทัพเบริอัลลงได้
แม้ว่ารูปหน้าหนังจะเห็นมีพี่น้องอุลตร้าเยอะแยะไปหมด แต่ตัวละครดำเนินเรื่องหลักๆ จะเป็นอุลตร้าแมนเซโร่กันพวกพ้องกลุ่มต้วละครใหม่ ในขณะที่บทบาทพี่น้องอุลตร้าแทบจะเป็นตัวประกอบไปเลย พลอตเรื่องภาคนี้ออกแนวอนิเมชั่นแอดเวนเจอร์ ที่พระเอกเดินทางไปสู่ดินแดนที่ตนเองไม่รู้จักเพียงลำพัง เพื่อปราบศัตรู แล้วได้เจอกับเพื่อนร่วมทางใหม่ ร่วมผจญภัยไปด้วยกัน ตามหาขุมทรัพย์หรือไอเท็มที่จะนำมาใช้ปราบบอส (การดำเนินออกสไตล์เมะโบราณไปหน่อย มีการใช้ผุ้บรรยายอธิบายเรือ่งราวในบางฉาก และมีการเปิดinsert song แทรกในเนื้อเรื่องด้วย) เนื้อหาในภาคนี้จึงมีความเป็นดราม่า เน้นเรื่องมิตรภาพ การพบพานและลาจากมากกว่าแอคชั่นคิวบู๊ แต่พอถึงฉากต่อสู้กันแล้ว ก็ถือว่าทำได้สนุกและลุ้นพอสมควรครับ โดยเฉพาะหากผุ้ชมที่ไม่เคยดูอุลตร้าแมนมูวีย์มาก่อน น่าจะดูเรื่องนี้ได้สนุกกว่ากลุ่มที่ติดตามดูทุกภาค ซึ่งจะรู้ทันมุกของหนังอุลตร้าอยู่แล้ว
ฉากหลังของหนังภาคนี้ คือสงครามอวกาศในจักรวาลต่างมิติ ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ของอุลตร้ามูวีย์ ที่เต็มไปด้วยฉากวิจิตรตระการตา และล้ำจินตนาการ เช่น การนำเสนอภาพของช่องว่างต่างมิติหรือจักรวาลต่างพิภพให้เห็นเป็นรูปธรรม การเดินทางไปยังดาวกระจกซึ่งเป็นดาวในมิติที่สอง ความอลังการของกองทัพยานอวกาศของศัตรู หรือยานแม่ขนาดยักษ์ที่ใหญ่เท่าดาวเคราะห์ดวงนึงเลยทีเดียว และเหตุผลที่ผุ้สร้างเลือกให้อุลตร้าแมนเซโร่ต้องไปผจญภัยในจักรวาลต่างมิตินี้ เพื่อเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ตัวเอกของเรื่องมีข้อจำกัดและเสียเปรียบในการต่อสู้ เพราะอย่างที่ทราบว่า เซโร่ถือเป็นอุลตร้าแมนที่เก่งเทพ และเกรียนเหลือคณานับ ถ้าให้สุ้ในสถานะปรกติ คงชนะได้โดยไม่ยาก แต่การเดินทางไปยังโลกต่างมิตินี้ จะไม่มีแหล่งงานพลาสม่าสำหรับให้อุลตร้าแมนชาร์จเติมพลังอีกเลย ซึ่งต่างจากการมาดาวโลกที่อุลตร้าแมนสามารถเติมพลังจากดวงอาทิตย์ได้ จุดนี้มีส่วนช่วยให้ผู้ชมลุ้นมากขึ้น
สิ่งที่เป็นแก่นของเนื้อหาอุลตร้าแมนยุคใหม่ ที่พยายามสื่อถึงผุ้ชมตลอดมา ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่คีย์เวิร์ด3คำ คือ ความหวัง ความกล้า และเชื่อมั่นในมิตรภาพ สามสิ่งนี้คือ สาระที่อุลตร้าแมนเกือบทุกภาคนำเสนอมาตลอด รวมถึงภาคนี้เอง ที่ผุ้สร้างได้สร้างเงื่อนไขให้ฝ่ายตัวเอกมีความเสียเปรียบตั้งแต่ต้น เพื่อเน้นย้ำให้คีย์เวิร์ดสามคำนี้มีพลังยิ่งขึ้น ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นตัวละครแสดงถึงสามสิ่งนี้อยู่ตลอด และด้วยพลอตเรื่องที่เป็นการผจญภัยในอวกาศ ต้องทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ต้องสู้กับศัตรูเป็นกองทัพ ในขณะที่ฝ่ายตัวเอกมีพวกแค่4คน ทำให้คนดูต้องเอาใจช่วยพวกพระเอกมากขึ้น ว่าจะสามารถตามหาโล่แห่งวาลาจซึ่งเป็นขุมพลังอันเดียวที่จะพลิกสถานการณ์สงครามได้หรือไม่ แต่เมื่อถึงฉากไคลแมกซ์ของเรื่องที่พวกตัวเอกทำท่าว่าจะแพ้ หนังถึงค่อยสื่อถึงประเด็นสำคัญว่า " ขุมพลังแท้จริงที่ใช้ปกป้องจักรวาลนั้น หาใช่มาจากวัตถุสิ่งของแต่อย่างใด แต่มันอยู่ในจิตใจของทุกคนต่างหาก ว่าหากยังมีความหวังแม้ในยามสิ้นหวัง ปาฏิหารย์ย่อมเกิดได้ " จุดนี้หนังสื่อออกมาได้ประทับใจมากครับ
ดารานักแสดงในเรื่องนี้ ต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี ทั้งนักแสดงหลักในเรื่องที่ผมไม่รู้จักไม่ทราบประวัติผลงานมาก่อน แต่ทุกคนเล่นเรื่องนี้ได้เป็นธรรมชาติดีมาก เช่นเดียวกับเหล่าบรรดาสูทแอคเตอร์ที่ต้องสวมชุดยอดมนุษย์ ทุกคนต่างแสดงท่าทางอารมณ์ได้มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ทั้งๆที่พวกเค้าใส่หน้ากากไว้ ไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าเลยครับ
แต่สำหรับคนที่ต้องชมเป็นพิเศษหน่อยคงหนีไม่พ้น นักแสดงเด็กที่เล่นเป็นนาโอะ น้องชายของพระเอก และเป็นผู้บังคับจันบอทด้วยครับ เพราะบทของหนังค่อนข้างเทไปที่เด็กคนนี้เยอะ ต้องเค้นอารมณ์มากกว่าตัวละครคนอื่น ซึ่งเค้าก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม ถือว่าน้องคนนี้แสดงหนังได้เก่งเกินตัวนะครับ
ในด้านของคิวบู๊และฉากแอคชั่นเรื่องนี้ หากเอาไปเทียบกับหนังภาคแรกที่สู้กันยังกะหนังจีน เน้นลีลากระบวนท่าพริ้วไหวแถมซัดกันทั้งเรื่อง ภาคสองจะสู้กันน้อยกว่า แต่อัดกันหนักหน่วงดีครับ คือฉากคิวบู๊ดูเรียบง่ายแต่เน้นออกอาวุธแบบมีพลัง โดยเฉพาะฉากSHOWDOWNระหว่างเซโร่กับเบริอัลนี่ มันส์จริงๆครับ ช่วงเวลาไม่กี่วิที่สู้กัน แต่แฝงไว้ด้วยชั้นเชิงรุกรับฉับไวและดูมีพลังมากกว่าภาคแรก แต่โดยรวมถือว่าทั้งเรื่องยังสู้กันน้อยกว่าภาคแรกอยู่ครับ แต่สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือ สเกลหนังที่ใหญ่ขึ้น มุมกล้องที่สวยงาม งานภาพCGที่ละเอียดขึ้นกว่าเดิม เนื้อหาบทละครในหนังที่ดูเป็นเหตุเป็นผล และมีความลึกซึ้งกว่าภาคที่แล้ว และการเปิดตัวละครใหม่ๆ พร้อมฉากสเปเชียลเอฟเฟ็กที่ยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งหมดนี้ช่วยกลบประเด็นเรื่องคิวบู๊ในหนังออกไปเลย เพราะแม้ว่าเรื่องนี้จะมีความเป็นดราม่ามากขึ้น แต่ก็ดำเนินเรื่องได้กระชับ ดูสนุกทั้งเรื่องแม้ว่าจะสู้กันน้อยกว่าภาคทีแล้วก็ตามครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฉากการดวลอันดุเดือดของเซโร่กับเบริอัล แม้จะเพียงแค่ไม่กี่นาที แต่ก็ทำออกมาได้ประทับใจ ทั้งสองฝ่ายต่างโชว์ชั้นเชิงคิวบู๊ผลัดกันรุกรับได้อย่างสวยงาม รวดเร็วดีครับ และผลการต่อสู้ในซีนนี้ แสดงให้เห็นว่า เบริอัลพัฒนาฝีมือขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
อีกจุดหนึ่งที่ผมประทับใจหนังเรือ่งนี้เป็นพิเศษ นั่นคือ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ที่มีความไพเราะแทบทุกเพลง ซึ่งงานดนตรีประกอบหนังหรือBGMนี้ มีส่วนช่วยทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมกับฉากในหนังมากขึ้น โดยผู้รับผิดชอบในส่วนนี้คือ คุณ เคนจิ คาวาอิ ซึ่งมีผลงานในการทำBGMให้อนิเมชั่นชื่อดังมากมาย ซึ่งในหนังอุลตร้าแมนภาคนี้ ดนตรีประกอบค่อนข้างโดดเด่นมาก ราวกับว่าเพลงมันมีMOTIONอยุ่ในตัว ผมได้ลองฟังซาวดืแทร็คเพลงเรื่องนี้ก่อนดูหนัง ยังรู้สึกว่าเพลงมันบอกเล่าฉากหรือเรื่องราวในหนังได้เลยด้วยซ้ำว่า ทำนองแบบนี้ ฉากในหนังมันเป็นอย่างไร ตัวละครกำลังทำอะไรรุ้สึกอย่างไร และเมื่อได้ชมตัวหนังจริงๆมันก็ตรงกับภาพที่เราคิดไว้เกิน80%เลยทีเดียวครับ
ตัวอย่าง music score เพลงธีมประจำตัวของอุลตร้าแมนเซโร่ สามเวอร์ชั่น
ผมไม่อาจคาดเดาว่ารายได้หนังเรื่องนี้ในบ้านเราจะคุ้มทุนหรือเปล่า เพราะแม้แต่ที่ญี่ปุ่นเอง รายได้ของภาพยนตร์ภาคนี้ก็ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จถล่มทลาย ทั้งที่ใช้ทุนสร้างสูงมาก แต่อย่างน้อยหนังเรือ่งนี้ก็ได้แสดงให้เห็นว่า ซึบุราญ่าตั้งใจสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเป็น"หนังใหญ่"จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพงานโปรดักท์ชั่น เนื้อเรื่องบทบาทตัวละคร สเปเชียลเอฟเฟกท์ และดนตรีประกอบ ทุกอย่างอยู่ในระดับที่สูงเกินมาตรฐานหนังแปลงร่างไปแล้วครับ บอกได้เพียงแค่ว่า หนังเรื่องนี้สร้างได้สมศักดิ์ศรีกับการเป็นหนังใหญ่จริงๆครับ จึงอยากให้ทุกคนได้ไปชมกัน
รีวิวULTRAMAN ZERO THE MOVIE พร้อมเกร็ดข้อมูลเล็กๆน้อยๆ
อุลตร้าแมนเซโร่ เดอะมูวีย์ เบเรี่ยล จักรพรรดิ์ทมิฬ หรือชื่อหนังในภาษาญี่ปุ่น ULTRAMAN ZERO THE MOVIE Chou Kessen BERIAL Ginga Teikoku ( Super Decissive Battle BERIAL the Galactic Empire ) ส่วนชื่อภาษาอังกฤษที่ใช้นอกประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการคือ ULTRAMAN ZERO THE MOVIE REVENGE OF BERIAL เป็นหนังโรงภาคที่สองของอุลตร้าแมนเซโร่ ออกฉายเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2010 ถือเป็นภาพยนตร์ที่สร้างออกมาเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปี การกำเนิดอุลตร้าแมนด้วยเช่นกัน เนื้อหาในภาคนี้ดำเนินtimelineต่อจากหนังภาคULTRA GALAXY LEGEND เพื่อความสมบูรณ์ในการรับชม ท่านควรหาหนังภาคก่อนหน้านี้มาดูเสียก่อน เพื่อจะได้เข้าใจที่มามากขึ้นครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เนื้อหาคร่าวๆของหนังโรงภาคนี้ กล่าวถึงผู้ร้ายจากภาคที่แล้วที่ชื่อุลตร้าแมนเบริอัลที่คิดว่าถูกกำจัดไปแล้ว แต่มันกลับมีชีวิตอยู่ไปกบดานอยู่ในจักรวาลต่างมิติ ในคราวนี้มันได้สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ์กาแลคซี่ และสร้างกองทัพแสดงแสนยานุภาพไปทั่วทั้งจักรวาล ยึดครองดวงดาวต่างๆไปมากมายเพื่อช่วงชิงทรัพยากรมาสร้างกองทัพไว้สำหรับบุกดาวM78 เพื่อการล้างแค้นอีกครั้ง อุลตร้าแมนเซโร่จึงต้องออกเดินทางไปจัดการเบริอัล ซึ่งกบดานอยู่ในมิติจักรวาลอื่น ที่ซึ่งแหล่งพลังงานจากดาวอุลตร้าไม่อาจส่งไปถึงได้ เซโร่ต้องเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่รุ้จักเพียงลำพัง ได้พบกับพันธมิตรใหม่ที่ช่วยชี้เบาะแสถึง"โล่ห์แห่งวาราจ"ขุมพลังที่สามารถโค่นกองทัพเบริอัลลงได้
แม้ว่ารูปหน้าหนังจะเห็นมีพี่น้องอุลตร้าเยอะแยะไปหมด แต่ตัวละครดำเนินเรื่องหลักๆ จะเป็นอุลตร้าแมนเซโร่กันพวกพ้องกลุ่มต้วละครใหม่ ในขณะที่บทบาทพี่น้องอุลตร้าแทบจะเป็นตัวประกอบไปเลย พลอตเรื่องภาคนี้ออกแนวอนิเมชั่นแอดเวนเจอร์ ที่พระเอกเดินทางไปสู่ดินแดนที่ตนเองไม่รู้จักเพียงลำพัง เพื่อปราบศัตรู แล้วได้เจอกับเพื่อนร่วมทางใหม่ ร่วมผจญภัยไปด้วยกัน ตามหาขุมทรัพย์หรือไอเท็มที่จะนำมาใช้ปราบบอส (การดำเนินออกสไตล์เมะโบราณไปหน่อย มีการใช้ผุ้บรรยายอธิบายเรือ่งราวในบางฉาก และมีการเปิดinsert song แทรกในเนื้อเรื่องด้วย) เนื้อหาในภาคนี้จึงมีความเป็นดราม่า เน้นเรื่องมิตรภาพ การพบพานและลาจากมากกว่าแอคชั่นคิวบู๊ แต่พอถึงฉากต่อสู้กันแล้ว ก็ถือว่าทำได้สนุกและลุ้นพอสมควรครับ โดยเฉพาะหากผุ้ชมที่ไม่เคยดูอุลตร้าแมนมูวีย์มาก่อน น่าจะดูเรื่องนี้ได้สนุกกว่ากลุ่มที่ติดตามดูทุกภาค ซึ่งจะรู้ทันมุกของหนังอุลตร้าอยู่แล้ว
ฉากหลังของหนังภาคนี้ คือสงครามอวกาศในจักรวาลต่างมิติ ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ของอุลตร้ามูวีย์ ที่เต็มไปด้วยฉากวิจิตรตระการตา และล้ำจินตนาการ เช่น การนำเสนอภาพของช่องว่างต่างมิติหรือจักรวาลต่างพิภพให้เห็นเป็นรูปธรรม การเดินทางไปยังดาวกระจกซึ่งเป็นดาวในมิติที่สอง ความอลังการของกองทัพยานอวกาศของศัตรู หรือยานแม่ขนาดยักษ์ที่ใหญ่เท่าดาวเคราะห์ดวงนึงเลยทีเดียว และเหตุผลที่ผุ้สร้างเลือกให้อุลตร้าแมนเซโร่ต้องไปผจญภัยในจักรวาลต่างมิตินี้ เพื่อเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ตัวเอกของเรื่องมีข้อจำกัดและเสียเปรียบในการต่อสู้ เพราะอย่างที่ทราบว่า เซโร่ถือเป็นอุลตร้าแมนที่เก่งเทพ และเกรียนเหลือคณานับ ถ้าให้สุ้ในสถานะปรกติ คงชนะได้โดยไม่ยาก แต่การเดินทางไปยังโลกต่างมิตินี้ จะไม่มีแหล่งงานพลาสม่าสำหรับให้อุลตร้าแมนชาร์จเติมพลังอีกเลย ซึ่งต่างจากการมาดาวโลกที่อุลตร้าแมนสามารถเติมพลังจากดวงอาทิตย์ได้ จุดนี้มีส่วนช่วยให้ผู้ชมลุ้นมากขึ้น
สิ่งที่เป็นแก่นของเนื้อหาอุลตร้าแมนยุคใหม่ ที่พยายามสื่อถึงผุ้ชมตลอดมา ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่คีย์เวิร์ด3คำ คือ ความหวัง ความกล้า และเชื่อมั่นในมิตรภาพ สามสิ่งนี้คือ สาระที่อุลตร้าแมนเกือบทุกภาคนำเสนอมาตลอด รวมถึงภาคนี้เอง ที่ผุ้สร้างได้สร้างเงื่อนไขให้ฝ่ายตัวเอกมีความเสียเปรียบตั้งแต่ต้น เพื่อเน้นย้ำให้คีย์เวิร์ดสามคำนี้มีพลังยิ่งขึ้น ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นตัวละครแสดงถึงสามสิ่งนี้อยู่ตลอด และด้วยพลอตเรื่องที่เป็นการผจญภัยในอวกาศ ต้องทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ต้องสู้กับศัตรูเป็นกองทัพ ในขณะที่ฝ่ายตัวเอกมีพวกแค่4คน ทำให้คนดูต้องเอาใจช่วยพวกพระเอกมากขึ้น ว่าจะสามารถตามหาโล่แห่งวาลาจซึ่งเป็นขุมพลังอันเดียวที่จะพลิกสถานการณ์สงครามได้หรือไม่ แต่เมื่อถึงฉากไคลแมกซ์ของเรื่องที่พวกตัวเอกทำท่าว่าจะแพ้ หนังถึงค่อยสื่อถึงประเด็นสำคัญว่า " ขุมพลังแท้จริงที่ใช้ปกป้องจักรวาลนั้น หาใช่มาจากวัตถุสิ่งของแต่อย่างใด แต่มันอยู่ในจิตใจของทุกคนต่างหาก ว่าหากยังมีความหวังแม้ในยามสิ้นหวัง ปาฏิหารย์ย่อมเกิดได้ " จุดนี้หนังสื่อออกมาได้ประทับใจมากครับ
ดารานักแสดงในเรื่องนี้ ต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี ทั้งนักแสดงหลักในเรื่องที่ผมไม่รู้จักไม่ทราบประวัติผลงานมาก่อน แต่ทุกคนเล่นเรื่องนี้ได้เป็นธรรมชาติดีมาก เช่นเดียวกับเหล่าบรรดาสูทแอคเตอร์ที่ต้องสวมชุดยอดมนุษย์ ทุกคนต่างแสดงท่าทางอารมณ์ได้มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ทั้งๆที่พวกเค้าใส่หน้ากากไว้ ไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าเลยครับ
แต่สำหรับคนที่ต้องชมเป็นพิเศษหน่อยคงหนีไม่พ้น นักแสดงเด็กที่เล่นเป็นนาโอะ น้องชายของพระเอก และเป็นผู้บังคับจันบอทด้วยครับ เพราะบทของหนังค่อนข้างเทไปที่เด็กคนนี้เยอะ ต้องเค้นอารมณ์มากกว่าตัวละครคนอื่น ซึ่งเค้าก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม ถือว่าน้องคนนี้แสดงหนังได้เก่งเกินตัวนะครับ
ในด้านของคิวบู๊และฉากแอคชั่นเรื่องนี้ หากเอาไปเทียบกับหนังภาคแรกที่สู้กันยังกะหนังจีน เน้นลีลากระบวนท่าพริ้วไหวแถมซัดกันทั้งเรื่อง ภาคสองจะสู้กันน้อยกว่า แต่อัดกันหนักหน่วงดีครับ คือฉากคิวบู๊ดูเรียบง่ายแต่เน้นออกอาวุธแบบมีพลัง โดยเฉพาะฉากSHOWDOWNระหว่างเซโร่กับเบริอัลนี่ มันส์จริงๆครับ ช่วงเวลาไม่กี่วิที่สู้กัน แต่แฝงไว้ด้วยชั้นเชิงรุกรับฉับไวและดูมีพลังมากกว่าภาคแรก แต่โดยรวมถือว่าทั้งเรื่องยังสู้กันน้อยกว่าภาคแรกอยู่ครับ แต่สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือ สเกลหนังที่ใหญ่ขึ้น มุมกล้องที่สวยงาม งานภาพCGที่ละเอียดขึ้นกว่าเดิม เนื้อหาบทละครในหนังที่ดูเป็นเหตุเป็นผล และมีความลึกซึ้งกว่าภาคที่แล้ว และการเปิดตัวละครใหม่ๆ พร้อมฉากสเปเชียลเอฟเฟ็กที่ยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งหมดนี้ช่วยกลบประเด็นเรื่องคิวบู๊ในหนังออกไปเลย เพราะแม้ว่าเรื่องนี้จะมีความเป็นดราม่ามากขึ้น แต่ก็ดำเนินเรื่องได้กระชับ ดูสนุกทั้งเรื่องแม้ว่าจะสู้กันน้อยกว่าภาคทีแล้วก็ตามครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อีกจุดหนึ่งที่ผมประทับใจหนังเรือ่งนี้เป็นพิเศษ นั่นคือ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ที่มีความไพเราะแทบทุกเพลง ซึ่งงานดนตรีประกอบหนังหรือBGMนี้ มีส่วนช่วยทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมกับฉากในหนังมากขึ้น โดยผู้รับผิดชอบในส่วนนี้คือ คุณ เคนจิ คาวาอิ ซึ่งมีผลงานในการทำBGMให้อนิเมชั่นชื่อดังมากมาย ซึ่งในหนังอุลตร้าแมนภาคนี้ ดนตรีประกอบค่อนข้างโดดเด่นมาก ราวกับว่าเพลงมันมีMOTIONอยุ่ในตัว ผมได้ลองฟังซาวดืแทร็คเพลงเรื่องนี้ก่อนดูหนัง ยังรู้สึกว่าเพลงมันบอกเล่าฉากหรือเรื่องราวในหนังได้เลยด้วยซ้ำว่า ทำนองแบบนี้ ฉากในหนังมันเป็นอย่างไร ตัวละครกำลังทำอะไรรุ้สึกอย่างไร และเมื่อได้ชมตัวหนังจริงๆมันก็ตรงกับภาพที่เราคิดไว้เกิน80%เลยทีเดียวครับ
ตัวอย่าง music score เพลงธีมประจำตัวของอุลตร้าแมนเซโร่ สามเวอร์ชั่น
ผมไม่อาจคาดเดาว่ารายได้หนังเรื่องนี้ในบ้านเราจะคุ้มทุนหรือเปล่า เพราะแม้แต่ที่ญี่ปุ่นเอง รายได้ของภาพยนตร์ภาคนี้ก็ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จถล่มทลาย ทั้งที่ใช้ทุนสร้างสูงมาก แต่อย่างน้อยหนังเรือ่งนี้ก็ได้แสดงให้เห็นว่า ซึบุราญ่าตั้งใจสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเป็น"หนังใหญ่"จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพงานโปรดักท์ชั่น เนื้อเรื่องบทบาทตัวละคร สเปเชียลเอฟเฟกท์ และดนตรีประกอบ ทุกอย่างอยู่ในระดับที่สูงเกินมาตรฐานหนังแปลงร่างไปแล้วครับ บอกได้เพียงแค่ว่า หนังเรื่องนี้สร้างได้สมศักดิ์ศรีกับการเป็นหนังใหญ่จริงๆครับ จึงอยากให้ทุกคนได้ไปชมกัน